สวัสดีค่ะ ปกติเราไม่ค่อยตั้งกระทู้ยาว ๆ แบบนี้มาก่อน แต่คราวนี้คิดว่าประสบการณ์ที่เราเพิ่งผ่านมา อาจจะมีประโยชน์กับทุกคนบ้างไม่มากก็น้อย เลยอยากมาเล่าเกี่ยวกับการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ที่ทีแรกเราคิดว่ามันง่าย แต่พอถึงเวลาจริง ๆ แล้วมันกลับไม่เป็นแบบที่เราคิด แล้วเราจะมีวิธีปรับเปลี่ยนทัศนคติยังไงให้เรามีความสุขกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกันดีกว่านะคะ
ขอบอกประวัติคร่าว ๆ ก่อนนะคะ เรา สามีและลูก 4 คน ย้ายมาอยู่ที่แคนาดากันทั้งครอบครัวเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ช่วง 2 ปีแรกที่ย้ายมาเราเป็นแม่บ้านดูแลลูกคนเล็ก จนพอลูกเข้า ร.ร. เราก็เลยทำงานพาร์ทไทม์เป็นพนักงานเสริ์ฟที่ร้านอาหารไทย ช่วงวันที่ไม่ได้ทำงาน เราก็จะทำงานบ้าน ซื้อของเข้าบ้าน ทำงานฝีมือขายออนไลน์กับขายตาม Flea market เท่าที่จะพอหาที่ลงขายได้ เราเพิ่งมาเริ่มต้นออกกำลังกายเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว โดยบางทีก็ออกไปยิมบ้าง บางทีก็เล่นที่บ้าน ไม่ถึงกับเป็นกิจวัตร แต่ก็ออกกำลังกายมาโดยตลอด โดยปกติเราเป็นคนตัวเล็ก เราสูง 150 ซม. น้ำหนักตลอด 8 ปีที่ผ่านมาหลังจากคลอดลูกคนเล็ก น้ำหนักเราจะคงอยู่ที่ 41-42 ก.ก. มาโดยตลอด ไม่เคยเกินหรือลดไปกว่านี้ เราไม่เคยมีโรคประจำตัว มีตอนเป็นเด็กคือโรคหอบหืด ซึ่งหายไปตอนเราเริ่มโตขึ้น ไม่เคยต้องเข้า รพ. เพราะอาการเจ็บป่วย นอกจากไปคลอดลูก เป็นหวัดก็น้อยครั้งมาก จะเป็นทีก็แค่ 2 ปีครั้ง (ครั้งนึงไม่เกิน 2-3 วัน) ไม่เคยต้องกินยาประจำ ถือว่าเป็นคนที่สุขภาพดีคนนึงเลยทีเดียว หมอประจำครอบครัวที่นี่เคยบอกเราตอนที่ไปตรวจสุขภาพประจำปี เค้าจะมีการถามประวัติก่อนที่จะทำการตรวจเราก็ตอบคำถามตามข้างบนที่กล่าวมา หมอยังบอกเราว่า You are such a lucky girl. เพราะคำพูดหมอที่บอกเราวันนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเริ่มหันมาสนใจการออกกำลังกาย และดูแลเรื่องอาหารการกินมากกว่าแต่ก่อน เพราะเราอยากจะเก็บความโชคดีกับเราไว้ให้นานที่สุด แต่ก็นะ บทคนเราจะเจ็บป่วยมันเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้จริง ๆ อาจจะเป็นเพราะจากประวัติในครอบครัวเรามีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งอยู่แล้วด้วย “กรรมพันธุ์” ถ้าเราเอะใจมากกว่านี้ ขอรับการตรวจที่แน่นอนกว่านี้ เราไม่คิดเลยว่า “ความชะล่าใจ” จะส่งผลกระทบมาจนถึงทุกวันนี้
*เริ่มสังเกตุตัวเองอย่างไรว่าผิดปกติ
เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว เราเริ่มมีอาการถ่ายอุจจาระปนมากับเลือด แต่เราก็คิดเอาเองว่าคงเป็นเพราะตัวเองเป็นคนกินเผ็ดมากกกกกกกก เพราะตอนนั้นมันเริ่มมีนิดเดียว แล้วก็ไม่ได้มีทุกวัน แต่ก็มีเรื่อย ๆ พอวันที่เราต้องไปเช็คร่างกายประจำปี เราก็บอกเรื่องนี้กับหมอ หมอเลยส่งเราไปที่แล็ป แล้วที่แล็ปก็ให้เรา X-Ray พร้อมกับให้เรากลืนแป้งแบเรี่ยม เช็คเลือด เช็คความดัน ผลออกมาวันถัดไปคือปกติดีไม่มีอะไร นี่คือความชะล่าใจในตอนนั้นของเรา ถ้าเราบอกหมอแค่คำเดียวว่าเราอยากเช็คมากกว่านี้ หมอก็คงส่งเราไปส่องกล้องหรืออะไรก็ว่าไป แต่ตอนนั้นเหมือนเราหลอกตัวเองไปด้วยว่า “ไม่มีอะไรคือไม่มีอะไร” สบายใจ หายห่วง แต่จริง ๆ คือมันเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ จนมาครึ่งปีให้หลัง เรารู้สึกแล้วว่ามันไม่ปกติ ก็หาในอากู๋ อาการของมะเร็งลำไส้ ก็ตรงเกือบทุกอย่าง แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่ตรง ตรงที่เลือดเรายังไม่เป็นสีคล้ำ ยังออกมาเป็นสีสดอยู่ เราไม่มีอาการอ่อนเพลียหรืออะไร นอกจากบางทีนอนดึก ตื่นเช้า ซึ่งก็เป็นปกติ แต่ไอ้ที่ไม่ปกติคือ เราเริ่มมีอาการกรดไหลย้อนบ่อยขึ้น ปวดท้องถ่ายบ่อยขึ้น อุจจาระเริ่มมีขนาดเล็กลง เลือดออกมากขึ้น มากจนเหมือนเวลาที่มีประจำเดือนช่วงวันที่มาเยอะ แล้วเลือดไปกองอยู่ที่โถส้วม จนเรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เราเลยไปหาหมออีกรอบ คราวนี้เราบอกหมอแบบหนักแน่นเลยว่าเราต้องการตรวจแบบซีเรียสแล้วนะ ไม่ไหวแล้ว หมอก็ย้อนกลับมาว่า ถึงเราไม่บอกหมอก็จะส่งไปตรวจแบบซีเรียสอยู่แล้ว
*เมื่อต้องไปส่องกล้อง
หมอส่งเรามาหาหมออีกคนที่เชี่ยวชาญเรื่องส่องกล้อง จริง ๆ เราได้นัดช่วงปลายปีเพราะหมอมีคนไข้เยอะมาก แต่สามีเราขอกับเลขาหมอว่า ขอให้เราอยู่ใน Cancel list ได้มั้ย เพราะจากอาการที่เราบอกสามี เค้าคิดว่าเราคงรอนานขนาดนั้นไม่ได้ ซึ่งเลขาก็โทรมาบอกในวันรุ่งขึ้นว่าให้เราไปอาทิตย์หน้าได้เลย มีคนไข้โทรมายกเลิกพอดี เราก็เลยได้ตรวจเร็วขึ้น ซึ่งวันที่ไปตรวจที่ รพ.เราก็เตรียมทำใจไว้แล้วว่า ไม่ว่าผลจะออกมายังไง “เราพร้อมแล้ว”
การตรวจก็ง่ายมาก เราไม่รู้สึกอะไรเพราะหมอให้ยานอนหลับฉีดเข้าทางเส้นเลือด มีรู้สึกแสบ ๆ ตอนยาเริ่มเข้าเส้น จากนั้นเราก็หลับไม่รู้เรื่องละ ตื่นมาอีกทีก็คือตอนที่หมอดึงกล้องออกมาพอดี จากนั้นพยาบาลก็เข็นเราออกมาอยู่ห้องพัก เราเห็นหน้าหมอก็พอจะรู้แล้ว เลยถามหมอก่อนเลยว่า ข่าวร้ายใช่มั้ยหมอ หมอก็บอกว่า เจอก้อนเนื้องอกประมาณ 4 ซม. ยังไงก็ต้องผ่าตัดเอาออก ส่วนจะเป็นเนื้อร้ายเนื้อดี ต้องตรวจชิ้นเนื้อที่ตัดออกมาอีกที ผลออกมาหลังจากที่ไปตรวจอีก 2 วัน ผลปรากฎว่า…..คุณได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้ค่ะ “มะเร็ง” แน่นอน สามีเป็นคนโทรไปฟังผลให้ เราเห็นเค้าคุยไปน้ำตาไหลไป เราก็พอรู้ละ เราเลยบอกสามีว่าไม่ต้องร้อง จะร้องทำไม ชั้นยังตายไม่ได้ ถ้าชั้นตายใครจะดูแลเธอกับลูก สามีเลยบอกว่าเราจะสู้ไปพร้อม ๆ กัน เค้าจะยืนข้าง ๆ เราเสมอ นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนเราถึงต้องมีคู่ชีวิตไว้ดูแลกันยามเจ็บป่วย ยามแก่ ลูกและสามีคือกำลังใจที่สำคัญสำหรับเราจริง ๆ ค่ะ
ขอโชว์รูปครอบครัวที่เป็นกำลังใจที่ดีที่สุดนะคะ
ช่วงที่กำลังฟิต กล้ามท้องเริ่มมาแผ่ว ๆ
หมอส่องกล้องส่งเราไปหาหมอที่ทำการผ่าตัดลำไส้ เราและสามีได้ไปนั่งคุยก่อนผ่าตัด 2 อาทิตย์ล่วงหน้า หมอก็เอารูปประกอบให้เราดู ว่าเนื้องอกเราอยู่ช่วงนี้ ๆ นะ เค้าจะตัดออกประมาณ 1 ฟุต นะผ่าตัดโดยการส่องกล้อง แผลก็จะเล็กมาก จะเจาะช่วงท้องประมาณ 4-5 จุด เราจะอยู่ รพ.แค่ 2-3 วัน หลังจากนั้นก็ไปพักฟื้นต่อที่บ้านอีก 1 เดือน เอ๊ยยยย!!! ฟังแล้วง่ายดีวุ้ย ถามว่าตื่นเต้นมั้ย บอกเลยว่า “ไม่” ถึงเวลาหมอก็วางยาสลบ ตื่นมาเราก็สบายแล้ว เนื้อมันร้ายก็ตัดมันทิ้ง จากนั้นชีวิตชั้นก็ลั้ลลากลับมาจกส้มตำได้เหมือนเดิม อีกอย่างหมอบอกด้วยว่าผลจาก CT Scan (ครั้งที่ 1) เท่าที่เห็นตอนนี้เราไม่ต้องทำคีโมหรือทรีทเม้นท์ใด ๆ หลังผ่าด้วย เพราะมันยังไม่ผ่านผนังลำไส้ออกมา โอ้ยยยยย….พระเจ้า!!! ชีวิตช้านนนน... ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ วันนั้นสามีโทรบอกครอบครัวทุกคน แม่สามีพาไปเลี้ยงเสต๊กที่ขึ้นชื่อของที่นี่ ทุกคนแฮปปี้รวมถึงเราด้วย ระหว่างรอก่อนวันผ่าตัดเราออกกำลังกายเกือบทุกวัน เน้นเฉพาะช่วงท้อง เพราะคิดว่าถ้าเราฟิต เราคงหายจากแผลผ่าตัดเร็วขึ้น แต่ ๆๆๆๆๆๆๆ………...บทคนเราจะเฮง ๆๆๆๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้กับชีวิตคนเราเสมอ ไว้เราจะมาเล่าในตอนต่อไปนะคะ ว่า......
*ทำไมถึงต้องผ่าตัดอีกเป็นรอบที่ 2
*ทำไมต้องอยู่ รพ.นานถึง 24 วัน จากที่ต้องอยู่แค่ 2-3 วัน
*ทำไมต้องพกถุงขับถ่ายทางหน้าท้อง
*ระหว่างที่อยู่รพ. ต้องเจอกับอะไรบ้าง
คอยติดตามตอนที่ 2 ต่อนะคะ วันนี้ขอไปนอนพักผ่อนก่อน นั่งพิมพ์นาน ๆ เริ่มเจ็บแผลแล้วด้วย มีคำถามอะไรทิ้งไว้ได้นะคะ ถ้าความรู้ที่มีอยู่อันน้อยนิดพอจะตอบได้เราจะตอบให้ค่ะ
แชร์ประสบการณ์ผ่าตัดมะเร็งลำไส้ในแคนาดา หมอใจดีให้ถุงเป็นของแถม ยืดอก พกถุงกันไปสิคร้าาาา
ขอบอกประวัติคร่าว ๆ ก่อนนะคะ เรา สามีและลูก 4 คน ย้ายมาอยู่ที่แคนาดากันทั้งครอบครัวเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ช่วง 2 ปีแรกที่ย้ายมาเราเป็นแม่บ้านดูแลลูกคนเล็ก จนพอลูกเข้า ร.ร. เราก็เลยทำงานพาร์ทไทม์เป็นพนักงานเสริ์ฟที่ร้านอาหารไทย ช่วงวันที่ไม่ได้ทำงาน เราก็จะทำงานบ้าน ซื้อของเข้าบ้าน ทำงานฝีมือขายออนไลน์กับขายตาม Flea market เท่าที่จะพอหาที่ลงขายได้ เราเพิ่งมาเริ่มต้นออกกำลังกายเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว โดยบางทีก็ออกไปยิมบ้าง บางทีก็เล่นที่บ้าน ไม่ถึงกับเป็นกิจวัตร แต่ก็ออกกำลังกายมาโดยตลอด โดยปกติเราเป็นคนตัวเล็ก เราสูง 150 ซม. น้ำหนักตลอด 8 ปีที่ผ่านมาหลังจากคลอดลูกคนเล็ก น้ำหนักเราจะคงอยู่ที่ 41-42 ก.ก. มาโดยตลอด ไม่เคยเกินหรือลดไปกว่านี้ เราไม่เคยมีโรคประจำตัว มีตอนเป็นเด็กคือโรคหอบหืด ซึ่งหายไปตอนเราเริ่มโตขึ้น ไม่เคยต้องเข้า รพ. เพราะอาการเจ็บป่วย นอกจากไปคลอดลูก เป็นหวัดก็น้อยครั้งมาก จะเป็นทีก็แค่ 2 ปีครั้ง (ครั้งนึงไม่เกิน 2-3 วัน) ไม่เคยต้องกินยาประจำ ถือว่าเป็นคนที่สุขภาพดีคนนึงเลยทีเดียว หมอประจำครอบครัวที่นี่เคยบอกเราตอนที่ไปตรวจสุขภาพประจำปี เค้าจะมีการถามประวัติก่อนที่จะทำการตรวจเราก็ตอบคำถามตามข้างบนที่กล่าวมา หมอยังบอกเราว่า You are such a lucky girl. เพราะคำพูดหมอที่บอกเราวันนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเริ่มหันมาสนใจการออกกำลังกาย และดูแลเรื่องอาหารการกินมากกว่าแต่ก่อน เพราะเราอยากจะเก็บความโชคดีกับเราไว้ให้นานที่สุด แต่ก็นะ บทคนเราจะเจ็บป่วยมันเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้จริง ๆ อาจจะเป็นเพราะจากประวัติในครอบครัวเรามีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งอยู่แล้วด้วย “กรรมพันธุ์” ถ้าเราเอะใจมากกว่านี้ ขอรับการตรวจที่แน่นอนกว่านี้ เราไม่คิดเลยว่า “ความชะล่าใจ” จะส่งผลกระทบมาจนถึงทุกวันนี้
*เริ่มสังเกตุตัวเองอย่างไรว่าผิดปกติ
เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว เราเริ่มมีอาการถ่ายอุจจาระปนมากับเลือด แต่เราก็คิดเอาเองว่าคงเป็นเพราะตัวเองเป็นคนกินเผ็ดมากกกกกกกก เพราะตอนนั้นมันเริ่มมีนิดเดียว แล้วก็ไม่ได้มีทุกวัน แต่ก็มีเรื่อย ๆ พอวันที่เราต้องไปเช็คร่างกายประจำปี เราก็บอกเรื่องนี้กับหมอ หมอเลยส่งเราไปที่แล็ป แล้วที่แล็ปก็ให้เรา X-Ray พร้อมกับให้เรากลืนแป้งแบเรี่ยม เช็คเลือด เช็คความดัน ผลออกมาวันถัดไปคือปกติดีไม่มีอะไร นี่คือความชะล่าใจในตอนนั้นของเรา ถ้าเราบอกหมอแค่คำเดียวว่าเราอยากเช็คมากกว่านี้ หมอก็คงส่งเราไปส่องกล้องหรืออะไรก็ว่าไป แต่ตอนนั้นเหมือนเราหลอกตัวเองไปด้วยว่า “ไม่มีอะไรคือไม่มีอะไร” สบายใจ หายห่วง แต่จริง ๆ คือมันเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ จนมาครึ่งปีให้หลัง เรารู้สึกแล้วว่ามันไม่ปกติ ก็หาในอากู๋ อาการของมะเร็งลำไส้ ก็ตรงเกือบทุกอย่าง แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่ตรง ตรงที่เลือดเรายังไม่เป็นสีคล้ำ ยังออกมาเป็นสีสดอยู่ เราไม่มีอาการอ่อนเพลียหรืออะไร นอกจากบางทีนอนดึก ตื่นเช้า ซึ่งก็เป็นปกติ แต่ไอ้ที่ไม่ปกติคือ เราเริ่มมีอาการกรดไหลย้อนบ่อยขึ้น ปวดท้องถ่ายบ่อยขึ้น อุจจาระเริ่มมีขนาดเล็กลง เลือดออกมากขึ้น มากจนเหมือนเวลาที่มีประจำเดือนช่วงวันที่มาเยอะ แล้วเลือดไปกองอยู่ที่โถส้วม จนเรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เราเลยไปหาหมออีกรอบ คราวนี้เราบอกหมอแบบหนักแน่นเลยว่าเราต้องการตรวจแบบซีเรียสแล้วนะ ไม่ไหวแล้ว หมอก็ย้อนกลับมาว่า ถึงเราไม่บอกหมอก็จะส่งไปตรวจแบบซีเรียสอยู่แล้ว
*เมื่อต้องไปส่องกล้อง
หมอส่งเรามาหาหมออีกคนที่เชี่ยวชาญเรื่องส่องกล้อง จริง ๆ เราได้นัดช่วงปลายปีเพราะหมอมีคนไข้เยอะมาก แต่สามีเราขอกับเลขาหมอว่า ขอให้เราอยู่ใน Cancel list ได้มั้ย เพราะจากอาการที่เราบอกสามี เค้าคิดว่าเราคงรอนานขนาดนั้นไม่ได้ ซึ่งเลขาก็โทรมาบอกในวันรุ่งขึ้นว่าให้เราไปอาทิตย์หน้าได้เลย มีคนไข้โทรมายกเลิกพอดี เราก็เลยได้ตรวจเร็วขึ้น ซึ่งวันที่ไปตรวจที่ รพ.เราก็เตรียมทำใจไว้แล้วว่า ไม่ว่าผลจะออกมายังไง “เราพร้อมแล้ว”
การตรวจก็ง่ายมาก เราไม่รู้สึกอะไรเพราะหมอให้ยานอนหลับฉีดเข้าทางเส้นเลือด มีรู้สึกแสบ ๆ ตอนยาเริ่มเข้าเส้น จากนั้นเราก็หลับไม่รู้เรื่องละ ตื่นมาอีกทีก็คือตอนที่หมอดึงกล้องออกมาพอดี จากนั้นพยาบาลก็เข็นเราออกมาอยู่ห้องพัก เราเห็นหน้าหมอก็พอจะรู้แล้ว เลยถามหมอก่อนเลยว่า ข่าวร้ายใช่มั้ยหมอ หมอก็บอกว่า เจอก้อนเนื้องอกประมาณ 4 ซม. ยังไงก็ต้องผ่าตัดเอาออก ส่วนจะเป็นเนื้อร้ายเนื้อดี ต้องตรวจชิ้นเนื้อที่ตัดออกมาอีกที ผลออกมาหลังจากที่ไปตรวจอีก 2 วัน ผลปรากฎว่า…..คุณได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้ค่ะ “มะเร็ง” แน่นอน สามีเป็นคนโทรไปฟังผลให้ เราเห็นเค้าคุยไปน้ำตาไหลไป เราก็พอรู้ละ เราเลยบอกสามีว่าไม่ต้องร้อง จะร้องทำไม ชั้นยังตายไม่ได้ ถ้าชั้นตายใครจะดูแลเธอกับลูก สามีเลยบอกว่าเราจะสู้ไปพร้อม ๆ กัน เค้าจะยืนข้าง ๆ เราเสมอ นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนเราถึงต้องมีคู่ชีวิตไว้ดูแลกันยามเจ็บป่วย ยามแก่ ลูกและสามีคือกำลังใจที่สำคัญสำหรับเราจริง ๆ ค่ะ
ขอโชว์รูปครอบครัวที่เป็นกำลังใจที่ดีที่สุดนะคะ
ช่วงที่กำลังฟิต กล้ามท้องเริ่มมาแผ่ว ๆ
หมอส่องกล้องส่งเราไปหาหมอที่ทำการผ่าตัดลำไส้ เราและสามีได้ไปนั่งคุยก่อนผ่าตัด 2 อาทิตย์ล่วงหน้า หมอก็เอารูปประกอบให้เราดู ว่าเนื้องอกเราอยู่ช่วงนี้ ๆ นะ เค้าจะตัดออกประมาณ 1 ฟุต นะผ่าตัดโดยการส่องกล้อง แผลก็จะเล็กมาก จะเจาะช่วงท้องประมาณ 4-5 จุด เราจะอยู่ รพ.แค่ 2-3 วัน หลังจากนั้นก็ไปพักฟื้นต่อที่บ้านอีก 1 เดือน เอ๊ยยยย!!! ฟังแล้วง่ายดีวุ้ย ถามว่าตื่นเต้นมั้ย บอกเลยว่า “ไม่” ถึงเวลาหมอก็วางยาสลบ ตื่นมาเราก็สบายแล้ว เนื้อมันร้ายก็ตัดมันทิ้ง จากนั้นชีวิตชั้นก็ลั้ลลากลับมาจกส้มตำได้เหมือนเดิม อีกอย่างหมอบอกด้วยว่าผลจาก CT Scan (ครั้งที่ 1) เท่าที่เห็นตอนนี้เราไม่ต้องทำคีโมหรือทรีทเม้นท์ใด ๆ หลังผ่าด้วย เพราะมันยังไม่ผ่านผนังลำไส้ออกมา โอ้ยยยยย….พระเจ้า!!! ชีวิตช้านนนน... ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ วันนั้นสามีโทรบอกครอบครัวทุกคน แม่สามีพาไปเลี้ยงเสต๊กที่ขึ้นชื่อของที่นี่ ทุกคนแฮปปี้รวมถึงเราด้วย ระหว่างรอก่อนวันผ่าตัดเราออกกำลังกายเกือบทุกวัน เน้นเฉพาะช่วงท้อง เพราะคิดว่าถ้าเราฟิต เราคงหายจากแผลผ่าตัดเร็วขึ้น แต่ ๆๆๆๆๆๆๆ………...บทคนเราจะเฮง ๆๆๆๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้กับชีวิตคนเราเสมอ ไว้เราจะมาเล่าในตอนต่อไปนะคะ ว่า......
*ทำไมถึงต้องผ่าตัดอีกเป็นรอบที่ 2
*ทำไมต้องอยู่ รพ.นานถึง 24 วัน จากที่ต้องอยู่แค่ 2-3 วัน
*ทำไมต้องพกถุงขับถ่ายทางหน้าท้อง
*ระหว่างที่อยู่รพ. ต้องเจอกับอะไรบ้าง
คอยติดตามตอนที่ 2 ต่อนะคะ วันนี้ขอไปนอนพักผ่อนก่อน นั่งพิมพ์นาน ๆ เริ่มเจ็บแผลแล้วด้วย มีคำถามอะไรทิ้งไว้ได้นะคะ ถ้าความรู้ที่มีอยู่อันน้อยนิดพอจะตอบได้เราจะตอบให้ค่ะ