สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะมาว่าด้วยเรื่องราวการออกนอกประเทศครั้งแรกของพวกเราทั้ง 4 คนและ 1 กำลังใจ การผจญภัยกำลังจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้ : )
การเดินทางของพวกเราเริ่มต้นจากกลุ่มเพื่อนที่เรียนด้วยกันปกติก็เที่ยวกันบ่อยแต่นั่นมันก็ในประเทศ จนสุดท้ายพวกเราก็ตัดสินใจลองออกไปเผชิญโลกกว้างบ้าง เริ่มแรกเลยเรามีความตั้งใจแรงกล้ามากว่าจะไปเที่ยวลาวกัน จากนั้นก็มีผู้สนใจมากมาที่จะเข้าร่วมทริปกับพวกเราห้าคน แต่สุดท้ายด้วยเหตุผลและปัจจัยหลายๆอย่างก็มาลงเอยที่มาเลเซียและคืนสู่สามัญคือเหลือผู้รอดชีวิตแค่ห้าคนนี่แหละค่ะ แต่ด้วยไม่รู้โชคชะตากลั่นแกล้งหรืออย่างไรหนึ่งในห้าของเราเกิดประสบอุบัติเหตุ ทำให้ไปร่วมทริปกับเราไม่ได้ แต่เธอก็ไม่วายฝากภารกิจให้เพื่อนไปปฎิบัติกันแก้เหงาเมื่อนางไม่อยู่นั่นก็คือ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้การตามหาดอกหญ้าในมาเลยเซีย (เพื่อ ? บ้านเราก็มีนะดอกหญ้า)
ช่วงการเตรียมตัว (กินเวลายาวนานมาก ไม่ใช่เพราะมันยากแต่เพราะพวกเราวุ่นวาย 5555)
เราเริ่มต้นวางแผนหาวันเดินทางก่อน โดยเรากำหนดวันเดินทางไว้วันที่ 2 – 5 สิงหาคม 2559 และ เริ่มทำพาสปอร์ตที่กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ (มาเลเซียไม่ใช้วีซ่านะ) ก่อนจะจองตั๋วเครื่องบิน (คือจริงๆแล้วตอนแรกมีความฉลาดน้อยนึกว่าจองตั๋วเครื่องบินไม่ต้องใช้พาสปอร์ต 5555 พอรู้เลยต้องรีบไปทำ) โดยการเดินทางของเราในครั้งนี้เราเลือกบินไปกับสายการบิน Milindo Air ซึ่งในช่วงที่จองมีโปรโมชั่นพอดี ค่าเครื่องบินไปกลับของเราจึงตกอยู่ที่ราคาคนละ 3,400 บาท นอกจากนี้เราได้ทำการจองที่พักผ่านเว็บไซต์ไปก่อนล่วงหน้าด้วย ที่พักที่เราเลือกไว้ก็ คือ Signature Hotel @ KL sentral ซึ่งเป็นที่พักที่ใกล้จุดรวมรถไฟมากที่สุด ราคาก็พอทำเนาว์ หารเฉลี่ยแล้วตกคนละ 1500 บาท (ไปจ่ายที่มาเลนะคะ) ต่อการเข้าพักทั้งหมด 3 คืน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
การเดินทางจากศูนย์รวมรถไฟก็ง่ายมากเพียงแค่เดินขึ้นมาชั้น 2 KL sentral แล้วเดินเชื่อมเข้าไปในห้าง NU sental แล้วข้ามสะพานลอยที่เชื่อมกับห้าง จากนั้นเลี้ยวเข้าซอยที่มีร้านข้าวแกงคุณลุง เดินประมาณสองบลอคจะเจอร้านอาหารตามสั่งให้เลี้ยวขวา แล้วตรงไปประมาณ 4-5 ช่วงตึกก็จะเจอโรงแรม
ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.channels.nl/407881b-zh.html
เพราะทุกวันคือ One day trip
วันแรก (เดินชิลๆที่เมืองหลวง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วันแรกใสๆในตีม Street
ในตอนเช้าเรานัดเจอกันที่สนามบินดอนเมืองมีเลทกันบ้างตามนิสัย แต่ก็ไม่ได้ช้าอะไรมากมาย เริ่มแรกเราพุ่งตรงไปที่เคาท์เตอร์เช็คอินกันก่อน และ ฝากท้องในมื้อเช้าไว้กับ 7-11 ในสนามบินนั่นเอง หลังจากนั้นเราก็เดินทางเข้าเกทซึ่งก่อนผ่านจะมีเอกสารให้กรอก ด้วยความครั้งแรกนั่นแหละค่ะ กรอกผิดกันกระจายเลย 55555 จากนั้นไม่นานเราก็ขึ้นเครื่องบินพร้อมเดินทางไปมาเลเซียกันค่ะ การเดินทางในครั้งนี้ใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงก็ถึงที่หมายค่ะ สนามบิน Kuala Lumpur International airport (เวลาที่มาเลเซียเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมงนะคะ)

สนามบิน Kuala Lumpur International Airport
หลังจากลงเครื่องออกมาจะเจอร้านขายซิมโทรศัพท์มากมายเลยนะคะ เราสามารถเลือกได้ตามใช้ชอบเลย แต่พวกเราตัดสินใจไม่ซื้อค่ะ เพราะเราซื้อพอคเกตไวไฟไปอยู่แล้วจากที่ไทยนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(แล้วมันก็ใช้ไม่ได้ TT แต่ทางบริษัทยังใจดีที่สุดท้ายคืนเงินให้เรา ขอข้ามไปกับความฉลาดน้อยข้อแรกนะคะ) พอรับสัมภาระใดๆเรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากจุดรับกระเป๋าไม่ไกลจะเจอจุดรับจองบัตร KLIA Ekspress ซึ่งเป็นรถไฟที่วิ่งตรงจากสนามบินสู่ KL sentral ค่ะ ซึ่งราคาค่ารถไฟตอนนั้นตกอยู่ที่ 55 ริงกิต ซื้อแล้วจะได้ตั๋วเป็นบัตรแข็งเหมือนรถไฟฟ้าบ้านเรามาคะ จากนั้นก็เดินลงบันไดเลื่อนจากจุดซื้อตั๋วมารอไม่นานรถไปก็มา ภายในรถไฟกว้างสบายมากและที่สำคัญมีไวไฟฟรีให้ใช้ด้วย อยากนั่งนานๆเลย เราใช้เวลาไม่เกิน 45 นาทีก็เดินทางมาถึง KL sentral และเดินทางเข้าที่พัก

ตั๋วรถไฟของ KL Ekspress

สถานี KL Sentral สถานีรวมรถไฟทุกสายในมาเลยเซียค่ะ คนเยอะตลอดแต่ไม่จอแจค่ะ
หลังจากพักผ่อนและเก็บสัมภาระจนเสร็จสิ้นกระบวนความ เราก็ออกจากโรงแรมเพื่อเที่ยวใน Kuala Lumpur ซึ่งที่แรกที่เราจะไปก็คือ China town นั่นเอง การเดินทางก็ง่ายมากเราเดินทางกลับมาที่ KL sentral อีกครั้ง แล้วเข้าไปตรงรถไฟสาย Kalana Jaya line หาไม่ยากคะ จะเป็นสายที่มีคนใช้บริการเยอะที่สุดเลย เหมือนบีทีเอสบ้านเรา เดินเข้าไปเลือกสถานีปลายทางได้ที่ตู้อัตโนมัติได้เลย เลือกสถานี Pasar Seni ราคาจาก KL sentral จะอยู่ที่ 1.3 ริงกิต (ถูกอยู่นะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เรตราคาค่าเดินทาง
เมื่อถึงสถานี Pasar seni มองจากบนสถานีจะเห็นโคมแดงมากมายเลย เราก็ตามสัญชาตญาณ เดินตามโคมไป ให้เดินมาตามทางออกที่มีร้านขายขนมปังหอมๆนะคะ ลงจากสถานีจะเจอที่จอดรถประจำทางมากมายเลย

สถานี Pasar Seni จ้า

ดินแดนแห่ง China town
เดินไม่นานก็ถึง China town จะว่าเหมือนเยาวราชไหมก็ไม่เชิง เราคิดว่ามันเหมือนสำเพ็งปนเยาวราชมากกว่า มีทั้งของกินและกิ๊ฟช้อปน่ารักๆมากมาย ว่าแล้วก็จะขอแนะนำร้านอาหารสักนิดจิตแจ่มใสนะคะ ร้านติ่มซำยักษ์เลยเรคคอมเมนมาก ป้าคนขายแกเป็นคนจีนหน้าตาใจดี ตอนแรกก็คิดอยู่ว่า มามาเลซียทั้งทีทำไมกินติ่มซำ เอาตามความจริงคืดขนมจีบและซาลาเปาป้าแกใหญ่สะท้านหัวใจมาก โดยป้าแกขายอยู่ที่ราคา10 ชิ้น 6 ริงกิต และ บิ๊กเปา 4 ริงกิต (หารแล้วตกคนละ 2.5 ริงกิต) อร่อยมากกกกกกก ไส้เป็นไส้สุดๆ จริงๆเรากินกันอีกมากมาย แต่ขอละไว้ให้ไปลองกันเองแล้วกันนะคะ

ติ่มซำแสนอร่อย
เมื่อกินเสร็จเราเลือกเดินวนเป็นสี่เหลี่ยมเพื่อกลับไปที่สถานีคะ เดินตามทางมาเรื่อยๆจะเจอภาพวาดตามฝาผนังมากมายที่น่ารักๆ เก็บภาพมาไม่หมดเลย เมื่อสุดจนใกล้วนกลับไปสถานทีรถไฟฟ้าจะเจอ Central Market ก่อนนะคะ ซึ่งที่นี่เองเราจะสามารถเลือกซื้อของฝากกลับบ้านได้มากมายเลย เงินยังมีเยอะต้องรีบซื้อเดี๋ยวคนทางบ้านจะไม่ได้ของฝาก (ที่นี่น่าจะปิดสี่ทุ่มนะคะ อย่าไปดึกกันมากละ)

ภาพวาดบนฝาผนังระหว่างทางเดิน มีเยอะมาก มีตลอดทางเลย

Central market แหล่งของฝาก คนแน่นเชียว
พอเลือกซื้อของฝากเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาประมาณหนึ่งทุ่มแล้ว เราจึงเดินทางต่อไปยังสถานี KLCC ในราคา 1.6 ริงกิต เพื่อไปชมตึก Petronas twin tower แลนด์มาร์คหลักของที่นี่ และ ชมน้ำพุเต้นระบำที่ด้านหลังของห้าง Suria เมื่อไปถึงตึกแฝดพบว่าคนเยอะมากคะ และความฉลาดก็นั่งรอดูน้ำพุนานมากเพราะนึกว่าน้ำพุอยู่หน้าตึกแฝด 555 รอจนร้อนเลยเดินเข้าตึกแฝดทะลุไปห้างซูเรีย กว่าจะถึงบางอ้อ น้ำพุก็เกือบจบแล้ว (เขินจัง) แต่ก็สวยคะ คุ้มที่คนมานั่งรอดูกัน แนะนำว่าถ้าไม่ต้องการไปตอนกลางคืนตรงบริเวณนี้มีสวนสาธารณะ และ สวนน้ำเล็กๆค่ะ สามารถไปเดินเล่นกินบรรยากาศสีเขียวกลางเมืองได้

ตึกแฝดยามค่ำคืน สมกับเป็นแลนด์มาร์ค คนเยอะมาก

ด้านในของตึกแฝด แอร์เย็นสบายคลายเครียดมาก

น้ำพุเต้นระบำ พร้อมเพลงของมาเลเซีย
เมื่อการแสดงน้ำพุจบลงเราก็เดินต่อไปยังห้าง Pavillion ด้วยความคาดหวังที่สูงมากอีกเช่นเคย แต่ที่ไหนได้ไกลมากค่ะ ถามทางจนเหนื่อยเลย แต่ก็เดินไปถึงจนได้ถึงจะไม่สามารถบอกทางที่แน่ชัดได้ก็ตาม 555 ขอบคุณพี่ยามของโรงแรมหรูแถวนั้นมากใจดีที่สุด วันนั้นที่ไปมีการเปิดตัวหนังเรื่อง Suicide Squad ด้วยคะ เซเลปบริตี้แห่งมาเลเต็มเลย แต่คือไม่รู้จัก ก็เลยทำเหมือนว่าเป็นคนแถวนั้นไปซะหน่อย เพราะมาห้างทั้งทีก็ไม่รู้จริงๆว่าจะทำอะไรได้ 555 สำหรับที่นี่ถ้าไปจะแวะห้างนี้หรือไม่แวะก็ได้นะคะ

ไม่รู้เมื่อยหรืออะไรทำหน้าแบบนั้น
สุดท้ายเราก็ยอมเดินกลับมาขึ้นรถไฟที่ KLCC อีกครั้งเพื่อกลับมายังที่พักที่ KL sentral ในราคา 1.6 ริงกิต และ คืนนั้นเองก่อนเข้าที่พัก ดูเหมือนอาหารมื้อเย็นจะหายไปเราเลยต้องมาฝากท้องที่ 7-11 อีกครั้ง (ค่าน้ำเปล่าขวด 1500 mL จะอยู่ที่ 3.2 ริงกิต)

แหล่งพักพิงยามท้องว่าง
สรุปจบทริปวันเเรก
เดินเรื่อยๆค่ะเวลาไม่เร่งมากก็สนุกดีมีเพื่อนเดินก็ยิ่งสนุกหลงด้วยกัน ภาษาอังกฤษก็งูๆปลาๆก็ยังรอดมาได้อีกวัน
มิชชั่นตามหาดอกหญ้าไม่คอมพลีทนะคะ
บ้านเมืองเค้าสะอาดดีคะ การคมนาคมสะดวกด้วย
ด้านการเงิน 
เราเริ่มมีการจัดการการเงินกันนิดหน่อยคะ เนื่องจากเราต้องเดินทางกันเยอะพอสมควรค่ะ
เราแลกเงินไป 5000 บาทไทย แลกที่ซุปเปอร์ริช ราชดำริ ได้เงินริงกิดมาประมาณ 570 กว่าริงกิต
ค่าใช้จ่ายเราสี่คนตกลงวางเงินกองกลางสำหรับค่าเดินทางและอาหารบางมื้อไว้คนละ 200 ริงกิต (+50 ริงกิต ค่ามัดจำโรงแรม)
ค่าเดินทาง 150 ริงกิตที่เสียให้ค่าโรงแรม ค่าอาหารและค่าอื่นๆที่เสียไป (จะถูกแพงอยู่ตรงนี้แหละค่ะ 555) 30 ริงกิต
เท่ากับว่าวันแรกจขกท.เหลือเงิน 190 ริงกิต เย้ !
แล้วเจอกันใน วันที่ 2 ทริปเดินมาราธอน ณ เมืองปุตรจายา ฝากด้วยค่าาา
Lost in Malaysia หลงทางให้ตายก็ใช้เงินไม่เกินหมื่น
การเดินทางของพวกเราเริ่มต้นจากกลุ่มเพื่อนที่เรียนด้วยกันปกติก็เที่ยวกันบ่อยแต่นั่นมันก็ในประเทศ จนสุดท้ายพวกเราก็ตัดสินใจลองออกไปเผชิญโลกกว้างบ้าง เริ่มแรกเลยเรามีความตั้งใจแรงกล้ามากว่าจะไปเที่ยวลาวกัน จากนั้นก็มีผู้สนใจมากมาที่จะเข้าร่วมทริปกับพวกเราห้าคน แต่สุดท้ายด้วยเหตุผลและปัจจัยหลายๆอย่างก็มาลงเอยที่มาเลเซียและคืนสู่สามัญคือเหลือผู้รอดชีวิตแค่ห้าคนนี่แหละค่ะ แต่ด้วยไม่รู้โชคชะตากลั่นแกล้งหรืออย่างไรหนึ่งในห้าของเราเกิดประสบอุบัติเหตุ ทำให้ไปร่วมทริปกับเราไม่ได้ แต่เธอก็ไม่วายฝากภารกิจให้เพื่อนไปปฎิบัติกันแก้เหงาเมื่อนางไม่อยู่นั่นก็คือ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ช่วงการเตรียมตัว (กินเวลายาวนานมาก ไม่ใช่เพราะมันยากแต่เพราะพวกเราวุ่นวาย 5555)
เราเริ่มต้นวางแผนหาวันเดินทางก่อน โดยเรากำหนดวันเดินทางไว้วันที่ 2 – 5 สิงหาคม 2559 และ เริ่มทำพาสปอร์ตที่กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ (มาเลเซียไม่ใช้วีซ่านะ) ก่อนจะจองตั๋วเครื่องบิน (คือจริงๆแล้วตอนแรกมีความฉลาดน้อยนึกว่าจองตั๋วเครื่องบินไม่ต้องใช้พาสปอร์ต 5555 พอรู้เลยต้องรีบไปทำ) โดยการเดินทางของเราในครั้งนี้เราเลือกบินไปกับสายการบิน Milindo Air ซึ่งในช่วงที่จองมีโปรโมชั่นพอดี ค่าเครื่องบินไปกลับของเราจึงตกอยู่ที่ราคาคนละ 3,400 บาท นอกจากนี้เราได้ทำการจองที่พักผ่านเว็บไซต์ไปก่อนล่วงหน้าด้วย ที่พักที่เราเลือกไว้ก็ คือ Signature Hotel @ KL sentral ซึ่งเป็นที่พักที่ใกล้จุดรวมรถไฟมากที่สุด ราคาก็พอทำเนาว์ หารเฉลี่ยแล้วตกคนละ 1500 บาท (ไปจ่ายที่มาเลนะคะ) ต่อการเข้าพักทั้งหมด 3 คืน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เพราะทุกวันคือ One day trip
วันแรก (เดินชิลๆที่เมืองหลวง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในตอนเช้าเรานัดเจอกันที่สนามบินดอนเมืองมีเลทกันบ้างตามนิสัย แต่ก็ไม่ได้ช้าอะไรมากมาย เริ่มแรกเราพุ่งตรงไปที่เคาท์เตอร์เช็คอินกันก่อน และ ฝากท้องในมื้อเช้าไว้กับ 7-11 ในสนามบินนั่นเอง หลังจากนั้นเราก็เดินทางเข้าเกทซึ่งก่อนผ่านจะมีเอกสารให้กรอก ด้วยความครั้งแรกนั่นแหละค่ะ กรอกผิดกันกระจายเลย 55555 จากนั้นไม่นานเราก็ขึ้นเครื่องบินพร้อมเดินทางไปมาเลเซียกันค่ะ การเดินทางในครั้งนี้ใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงก็ถึงที่หมายค่ะ สนามบิน Kuala Lumpur International airport (เวลาที่มาเลเซียเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมงนะคะ)
สนามบิน Kuala Lumpur International Airport
หลังจากลงเครื่องออกมาจะเจอร้านขายซิมโทรศัพท์มากมายเลยนะคะ เราสามารถเลือกได้ตามใช้ชอบเลย แต่พวกเราตัดสินใจไม่ซื้อค่ะ เพราะเราซื้อพอคเกตไวไฟไปอยู่แล้วจากที่ไทยนะคะ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ พอรับสัมภาระใดๆเรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากจุดรับกระเป๋าไม่ไกลจะเจอจุดรับจองบัตร KLIA Ekspress ซึ่งเป็นรถไฟที่วิ่งตรงจากสนามบินสู่ KL sentral ค่ะ ซึ่งราคาค่ารถไฟตอนนั้นตกอยู่ที่ 55 ริงกิต ซื้อแล้วจะได้ตั๋วเป็นบัตรแข็งเหมือนรถไฟฟ้าบ้านเรามาคะ จากนั้นก็เดินลงบันไดเลื่อนจากจุดซื้อตั๋วมารอไม่นานรถไปก็มา ภายในรถไฟกว้างสบายมากและที่สำคัญมีไวไฟฟรีให้ใช้ด้วย อยากนั่งนานๆเลย เราใช้เวลาไม่เกิน 45 นาทีก็เดินทางมาถึง KL sentral และเดินทางเข้าที่พัก
ตั๋วรถไฟของ KL Ekspress
สถานี KL Sentral สถานีรวมรถไฟทุกสายในมาเลยเซียค่ะ คนเยอะตลอดแต่ไม่จอแจค่ะ
หลังจากพักผ่อนและเก็บสัมภาระจนเสร็จสิ้นกระบวนความ เราก็ออกจากโรงแรมเพื่อเที่ยวใน Kuala Lumpur ซึ่งที่แรกที่เราจะไปก็คือ China town นั่นเอง การเดินทางก็ง่ายมากเราเดินทางกลับมาที่ KL sentral อีกครั้ง แล้วเข้าไปตรงรถไฟสาย Kalana Jaya line หาไม่ยากคะ จะเป็นสายที่มีคนใช้บริการเยอะที่สุดเลย เหมือนบีทีเอสบ้านเรา เดินเข้าไปเลือกสถานีปลายทางได้ที่ตู้อัตโนมัติได้เลย เลือกสถานี Pasar Seni ราคาจาก KL sentral จะอยู่ที่ 1.3 ริงกิต (ถูกอยู่นะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เมื่อถึงสถานี Pasar seni มองจากบนสถานีจะเห็นโคมแดงมากมายเลย เราก็ตามสัญชาตญาณ เดินตามโคมไป ให้เดินมาตามทางออกที่มีร้านขายขนมปังหอมๆนะคะ ลงจากสถานีจะเจอที่จอดรถประจำทางมากมายเลย
สถานี Pasar Seni จ้า
ดินแดนแห่ง China town
เดินไม่นานก็ถึง China town จะว่าเหมือนเยาวราชไหมก็ไม่เชิง เราคิดว่ามันเหมือนสำเพ็งปนเยาวราชมากกว่า มีทั้งของกินและกิ๊ฟช้อปน่ารักๆมากมาย ว่าแล้วก็จะขอแนะนำร้านอาหารสักนิดจิตแจ่มใสนะคะ ร้านติ่มซำยักษ์เลยเรคคอมเมนมาก ป้าคนขายแกเป็นคนจีนหน้าตาใจดี ตอนแรกก็คิดอยู่ว่า มามาเลซียทั้งทีทำไมกินติ่มซำ เอาตามความจริงคืดขนมจีบและซาลาเปาป้าแกใหญ่สะท้านหัวใจมาก โดยป้าแกขายอยู่ที่ราคา10 ชิ้น 6 ริงกิต และ บิ๊กเปา 4 ริงกิต (หารแล้วตกคนละ 2.5 ริงกิต) อร่อยมากกกกกกก ไส้เป็นไส้สุดๆ จริงๆเรากินกันอีกมากมาย แต่ขอละไว้ให้ไปลองกันเองแล้วกันนะคะ
ติ่มซำแสนอร่อย
เมื่อกินเสร็จเราเลือกเดินวนเป็นสี่เหลี่ยมเพื่อกลับไปที่สถานีคะ เดินตามทางมาเรื่อยๆจะเจอภาพวาดตามฝาผนังมากมายที่น่ารักๆ เก็บภาพมาไม่หมดเลย เมื่อสุดจนใกล้วนกลับไปสถานทีรถไฟฟ้าจะเจอ Central Market ก่อนนะคะ ซึ่งที่นี่เองเราจะสามารถเลือกซื้อของฝากกลับบ้านได้มากมายเลย เงินยังมีเยอะต้องรีบซื้อเดี๋ยวคนทางบ้านจะไม่ได้ของฝาก (ที่นี่น่าจะปิดสี่ทุ่มนะคะ อย่าไปดึกกันมากละ)
ภาพวาดบนฝาผนังระหว่างทางเดิน มีเยอะมาก มีตลอดทางเลย
Central market แหล่งของฝาก คนแน่นเชียว
พอเลือกซื้อของฝากเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาประมาณหนึ่งทุ่มแล้ว เราจึงเดินทางต่อไปยังสถานี KLCC ในราคา 1.6 ริงกิต เพื่อไปชมตึก Petronas twin tower แลนด์มาร์คหลักของที่นี่ และ ชมน้ำพุเต้นระบำที่ด้านหลังของห้าง Suria เมื่อไปถึงตึกแฝดพบว่าคนเยอะมากคะ และความฉลาดก็นั่งรอดูน้ำพุนานมากเพราะนึกว่าน้ำพุอยู่หน้าตึกแฝด 555 รอจนร้อนเลยเดินเข้าตึกแฝดทะลุไปห้างซูเรีย กว่าจะถึงบางอ้อ น้ำพุก็เกือบจบแล้ว (เขินจัง) แต่ก็สวยคะ คุ้มที่คนมานั่งรอดูกัน แนะนำว่าถ้าไม่ต้องการไปตอนกลางคืนตรงบริเวณนี้มีสวนสาธารณะ และ สวนน้ำเล็กๆค่ะ สามารถไปเดินเล่นกินบรรยากาศสีเขียวกลางเมืองได้
ตึกแฝดยามค่ำคืน สมกับเป็นแลนด์มาร์ค คนเยอะมาก
ด้านในของตึกแฝด แอร์เย็นสบายคลายเครียดมาก
น้ำพุเต้นระบำ พร้อมเพลงของมาเลเซีย
เมื่อการแสดงน้ำพุจบลงเราก็เดินต่อไปยังห้าง Pavillion ด้วยความคาดหวังที่สูงมากอีกเช่นเคย แต่ที่ไหนได้ไกลมากค่ะ ถามทางจนเหนื่อยเลย แต่ก็เดินไปถึงจนได้ถึงจะไม่สามารถบอกทางที่แน่ชัดได้ก็ตาม 555 ขอบคุณพี่ยามของโรงแรมหรูแถวนั้นมากใจดีที่สุด วันนั้นที่ไปมีการเปิดตัวหนังเรื่อง Suicide Squad ด้วยคะ เซเลปบริตี้แห่งมาเลเต็มเลย แต่คือไม่รู้จัก ก็เลยทำเหมือนว่าเป็นคนแถวนั้นไปซะหน่อย เพราะมาห้างทั้งทีก็ไม่รู้จริงๆว่าจะทำอะไรได้ 555 สำหรับที่นี่ถ้าไปจะแวะห้างนี้หรือไม่แวะก็ได้นะคะ
ไม่รู้เมื่อยหรืออะไรทำหน้าแบบนั้น
สุดท้ายเราก็ยอมเดินกลับมาขึ้นรถไฟที่ KLCC อีกครั้งเพื่อกลับมายังที่พักที่ KL sentral ในราคา 1.6 ริงกิต และ คืนนั้นเองก่อนเข้าที่พัก ดูเหมือนอาหารมื้อเย็นจะหายไปเราเลยต้องมาฝากท้องที่ 7-11 อีกครั้ง (ค่าน้ำเปล่าขวด 1500 mL จะอยู่ที่ 3.2 ริงกิต)
แหล่งพักพิงยามท้องว่าง
สรุปจบทริปวันเเรก
เดินเรื่อยๆค่ะเวลาไม่เร่งมากก็สนุกดีมีเพื่อนเดินก็ยิ่งสนุกหลงด้วยกัน ภาษาอังกฤษก็งูๆปลาๆก็ยังรอดมาได้อีกวัน
มิชชั่นตามหาดอกหญ้าไม่คอมพลีทนะคะ
บ้านเมืองเค้าสะอาดดีคะ การคมนาคมสะดวกด้วย
ด้านการเงิน
เราเริ่มมีการจัดการการเงินกันนิดหน่อยคะ เนื่องจากเราต้องเดินทางกันเยอะพอสมควรค่ะ
เราแลกเงินไป 5000 บาทไทย แลกที่ซุปเปอร์ริช ราชดำริ ได้เงินริงกิดมาประมาณ 570 กว่าริงกิต
ค่าใช้จ่ายเราสี่คนตกลงวางเงินกองกลางสำหรับค่าเดินทางและอาหารบางมื้อไว้คนละ 200 ริงกิต (+50 ริงกิต ค่ามัดจำโรงแรม)
ค่าเดินทาง 150 ริงกิตที่เสียให้ค่าโรงแรม ค่าอาหารและค่าอื่นๆที่เสียไป (จะถูกแพงอยู่ตรงนี้แหละค่ะ 555) 30 ริงกิต
เท่ากับว่าวันแรกจขกท.เหลือเงิน 190 ริงกิต เย้ !
แล้วเจอกันใน วันที่ 2 ทริปเดินมาราธอน ณ เมืองปุตรจายา ฝากด้วยค่าาา