ผมและหลายๆ คนคิดว่าช่วงนี้เป็นยุคทองของการซื้อมือสอง เพราะราคาตกลงมาก
แต่แล้วผมก็ไปเจอเข้ากับตัว เมื่อปีที่แล้วผมซื้อ Camry ACV40 ปี 2008 มาจากเต้นท์ๆ หนึ่งครับ
ซื้อมาก็เอามาเข้าศูนย์ จับเปลี่ยนถ่ายของเหลวทั้งหมดตามที่ในเว็บเตือนๆ กัน ก็หมดไปเพียบอยู่ครับ (6,000)
หลายคนอาจจะบอกว่า รถมันเก่ามาก มันก็ต้องเจอปัญหาเยอะสิเป็นธรรมดา
แต่สิ่งที่ผมเจอมาจากการไม่ดูแลรถตามปกติของเต้นท์
หลังจากเข้าศูนย์เปลี่ยนถ่ายของเหลวทั้งหมดจนสบายใจแล้วนั้น ก็มีซ่อมอย่างอื่นบ้างอะไรบ้าง
เช่นคอมแอร์ (17,000) ซึ่งมันถึงอายุของมันแล้วอันนี้ไม่มีปัญหา แล้วก็อยู่ๆ ก็มาเจอน้ำมันเครื่องรั่ว
แต่เซนเซอร์ไม่สามารถเตือนได้ครับ ซึ่งบางทีมันก็มีแว่บขึ้นมาแต่ผมมองไม่ทัน ผมก็เลยไม่ได้สนใจ
อะไรจนกระทั่ง ผ่านมาอีกเป็นเดือน มันก็ขึ้นมาอีกแต่คราวนี้ผมตั้งใจมองเลยเห็นว่ามันเกี่ยวกับน้ำมันเครื่อง
ก็เช็คข้อมูลในเน็ตก่อนนิดหน่อย แล้วเอาเข้าเช็คที่ร้านแถวบ้าน
ปรากฎว่า น้ำมันเครื่องแห้งหมดครับ ก้านเช็คเป็นเขม่าดำติดที่ปลายก้านเลย ช่างจึงให้ผมเติมน้ำมันเครื่อง
ไปก่อนแล้วไปเช็คกับศูนย์อีกที เพื่อให้ชัวร์ว่ามีปัญหาอะไรบ้าง ช่างที่ศูนย์ก็ตรวจสอบให้ พบว่ากำลังเครื่องปกติ
ไม่น่ามีปัญหา ก็ต้องซ่อมปะเก็นอ่างน้ำมันเครื่องไป (8,000)
หลังจากนั้นไม่นาน ประมาณอาทิตย์นึง เครื่องยนต์ก็มีเสียงดังเหมือนสายพานดังมากๆ ตอนเช้า ลักษณะ
เป็นการดังแบบที่มีอะไรผิดปกติในเครื่องมากๆ ผมเข้าศูนย์เพื่อไปเช็คก็ไม่เจออะไร แล้วอีกไม่เกินอาทิตย์
เซนเซอร์เรื่องแรงดันน้ำมันเครื่องมันก็กลับมาอีกครั้ง คราวนี้ขึ้นถี่ขึ้นๆ จนขึ้นมาค้างไปเลย ผมเลยรีบไปจอดที่ศูนย์
พอช่างตรวจก็บอกว่ายังหาสาเหตุไม่ได้ เพราะสายพานต่างๆ ก็ปกติ ภายนอกปกติหมด อาจจะเป็นที่ภายใน
ก็อาจจะต้อง overhaul ถึงจะรู้ แต่ราคาแพงมาก (7-90,000) แล้วแต่ว่าภายในมีตรงไหนเสียบ้าง
แต่ถ้าให้เดา อาจจะแค่ shaft เสีย ซึ่งผมเช็คในเว็บ กับตามอู่ต่างๆ (ที่เค้าแนะนำว่าเก่ง เป็นช่าง Toyota เก่า)
พบว่า ราคาอยู่ที่ 2-30,000 บาท ราคาต่างจากซ่อมศูนย์จะเป็นเรื่องของค่าแรง ซึ่งหลายๆ ที่ diff อยู่ประมาณ
5-7,000 บาท ทำให้ผมตัดสินใจทำที่ Toyota เพราะพอทำใจกับ diff ส่วนต่างได้ แต่อยากให้ศูนย์ทำให้จบมากกว่า
ซึ่งช่างที่ Toyota ก็ยังให้ทางเลือกว่า จะซ่อมแค่ shaft มั้ย (2-30,000) ซ่อมแค่นี้ก่อนก็ได้ แล้วถ้ามีปัญหาอะไรมา
ค่อย overhaul ใหม่อีกที ผมก็กลัวว่ามันจะไม่จบแล้วปัญหาจะลุกลามรึเปล่า และคิดว่าชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์คงไม่
ได้เป็นอะไรมากมั้ง เพราะเราขับโอเค soft กับรถมาตลอด ค่ายใช้จ่ายก็คงไม่เกิน 3-40,000 แต่เอาให้จบไปเลยทีเดียว
ผ่านไปอีก 1 อาทิตย์ ช่างพอแกะเครื่องออกมาแล้วปรากฎว่าพบว่าชิ้นส่วนภายในพังแทบทั้งหมด และสันนิษฐานว่า
มาจากการเติมน้ำยาหัวเชื้อน้ำมันเครื่อง ซึ่งคาดว่าก่อนหน้านี้อาจจะไม่มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามเวลา
เพื่อนับชิ้นส่วนที่ต้องเปลี่ยนทั้งหมด อยู่ที่ประมาณ 90,000 กว่าบาท หรืออาจจะเกือบแสน ซึ่งก็ยังดีเจ้าหน้าที่เพิ่มส่วนลด
ให้พิเศษจาก 10 เป็น 15 เปอร์เซ็นต์ บวกกับมีโปรผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิต 0 เปอร์เซ็นต์ 6 เดือน
ใจผมก็อยากทำ แม้จะแพงโคตร และหลายท่านคงบอกว่า เอาไปลงเครื่องใหม่เซียงกงเถอะถูกกว่าเยอะ แต่เนื่องจาก
ผมรู้สึกว่าไม่สะดวกที่จะลองหาอู่ ลองหาเครื่องมือสองสภาพดี และไม่รู้จะวางดีมั้ย เปลี่ยนเครื่องมาแล้วก็ขายต่อยากอีก
เพราะตอนนี้มีแต่คนซื้อรถมือสองสภาพเดิมๆ เปลี่ยนเครื่องมา แม้จะตัวเดิมแต่ก็เป็นเครื่องมือสอง คงโดนกดราคาอยู่ดี (3-40,000)
ผมจึงคิดว่า overhaul กับศูนย์ก็คงไม่เสียหาย เครื่องยนต์ก็จะได้สภาพใหม่ซิงไปเลยด้วยเหมือนได้รถมือ 1
เมื่อมีส่วนลดก็คงลดลงเหลือสัก 85,000 ผ่อนได้อีกด้วย แต่ได้ความสบายใจกว่าวางเครื่องมือสอง ก็เลยตกลงทำ
ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ ซึ่งทางศูนย์บอกว่าอาจจะนานถึง 3-4 อาทิตย์ ซึ่งก็ทำให้ผมมีปัญหา
ในการส่งลูกไปโรงเรียนระยะทางประมาณ 20 กม. ด้วยรถที่ติดมาก รถเมล์ก็ไม่ค่อยมา แถมมาก็ไม่ได้นั่ง ทั้งไปสาย
ทั้งไม่ได้กินข้าว ผมก็เลยต้องนั่ง taxi เสียอีกวันละ 4-500 ถ้าต้องนั่งไปเดือนนึง รวมๆ แล้วคง 10,000 กว่า
ผมไม่แน่ใจว่า ถ้าผมหมั่นเช็ค แล้วเจอน้ำมันรั่วก่อน จะไม่เจอปัญหานี้หรือไม่
หรือมันเป็นปัญหามาตั้งแต่แรก แต่มันเพิ่งมาฟ้อง ซึ่งอาจจะใช่ เพราะมันเจ๊งไปหมดเลย ไม่ว่าถามช่าง
คนไหนๆ ต่างก็ไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นแค่เรื่องน้ำมันแห้ง เพราะเวลามันแค่แป๊บเดียวเท่านั้น และเท้าผมก็ไม่ได้หนักด้วย
เป็นไปได้ว่า รถคันนี้ถูกหล่อเลี้ยงมาด้วยน้ำยาหัวเชื้อ แทนที่จะไปเปลี่ยนถ่ายน้ำมันตามปกติ
ผมเองก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ และไม่อาจฟันธงได้ว่า ที่ผมคิดมันถูกต้องหรือไม่ แต่ต่อจากนี้ไป ผมคงเข็ดรถมือสอง
ไปอีกนานครับ เพราะถ้าเราไปเจอเต้นท์ที่ไม่ดูแลรักษารถแล้วล่ะก็ ซึ่งน้ำหัวเชื้อที่ว่าก็มีไว้ให้เครื่องยนต์ลื่นไหล ไม่ให้มีเสียง
ผิดปกติ แต่ที่จริงมีการสึกหรอเกิดขึ้นแล้วจากการไม่เปลี่ยนถ่ายของเหลวตามปกติ ซึ่งผมคิดว่า เต้นท์รถที่ขายรถยากช่วงนี้
ก็ต้อง save cost ทางไหนได้ก็คงทำ
ซึ่งเท่าที่ผมขับรถไปให้ช่างที่ต่างๆ ดู บอกได้เลยว่าแต่ละคนฟังไม่ออกว่าเครื่องมีปัญหา เพราะเสียงมันจะมาแค่ตอน
เช้าที่ผม start รถ ซึ่งผมลองอ่านเรื่องปัญหาน้ำมันหัวเชื้อ ผมก็ต้องตกใจว่ามันทำให้รถมีปัญหาขนาดนี้เชียวหรือ?
ผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่า อาจจะเป็นใครก็ได้ที่ทำ เจ้าของเก่าอาจจะใส่หัวเชื้อไว้ก็ได้ แต่เพื่อความปลอดภัย ผมตีว่า
ซื้อรถมือสอง ก็คือมีความเสี่ยงพวกนี้ไปเลยดีกว่า ผมซื้อรถ Toyota เพราะว่าเครื่องมันจะทน แต่มันก็ยังทนไม่ไหว
เมื่อเจอแบบนี้ สรุปเรื่องจริงเป็นยังไงไม่รู้ แต่ผมตอนนี้รู้สึกว่า ถ้าไม่จำเป็น มือหนึ่งก็ดีที่สุดแล้ว มันก็มีดีของมัน
ตรงที่ไม่เจอปัญหาซุกซ่อนนี่แหล่ะ
ถ้าเจอเต้นท์ที่ดูแลรักษารถเป็นอย่างดีก็ดีไปนะครับ แต่ตอนนี้คงมีแต่เต้นท์ที่พยายามประคองตัวในช่วง
เศรษฐกิจขาลง น่าจะเป็นซะส่วนใหญ่ ญาติก็เลยบอกว่าแบบนี้คราวหน้าเอา Toyota Sure ดีมั้ย (แพงจะเท่ามือ 1 555)
"แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังไงผมก็ยังอยากลองเสี่ยงคราวหน้ากับเต้นท์อีกอยู่ดีครับ แต่คงต้องเลือกปีใหม่ๆ เยอะๆ
กับตรวจสอบตรวจเช็คให้มากกว่าเดิม หวังว่าคงไม่เจอแจ็คพ็อตต้องซ่อมเครื่องครั้งใหญ่อีก"
ปล.ผมไม่ได้มีความรู้เรื่องช่าง แต่ตระเวณให้หลายๆ ที่ตรวจเรียบร้อย ผลออกมาตามนี้ อาจจะถ่ายทอด
ออกมาไม่ถูกต้อง ต้องขออภัยด้วยนะครับ ยังไงถ้าผมผิดตรงไหนสามารถมาเสริมความรู้ให้ได้ครับขอบคุณครับ
ช่วงนี้รถมือสองถูก แต่ก็ต้องระวังด้วยนะครับ..ผมโดนมาแล้ว
แต่แล้วผมก็ไปเจอเข้ากับตัว เมื่อปีที่แล้วผมซื้อ Camry ACV40 ปี 2008 มาจากเต้นท์ๆ หนึ่งครับ
ซื้อมาก็เอามาเข้าศูนย์ จับเปลี่ยนถ่ายของเหลวทั้งหมดตามที่ในเว็บเตือนๆ กัน ก็หมดไปเพียบอยู่ครับ (6,000)
หลายคนอาจจะบอกว่า รถมันเก่ามาก มันก็ต้องเจอปัญหาเยอะสิเป็นธรรมดา
แต่สิ่งที่ผมเจอมาจากการไม่ดูแลรถตามปกติของเต้นท์
หลังจากเข้าศูนย์เปลี่ยนถ่ายของเหลวทั้งหมดจนสบายใจแล้วนั้น ก็มีซ่อมอย่างอื่นบ้างอะไรบ้าง
เช่นคอมแอร์ (17,000) ซึ่งมันถึงอายุของมันแล้วอันนี้ไม่มีปัญหา แล้วก็อยู่ๆ ก็มาเจอน้ำมันเครื่องรั่ว
แต่เซนเซอร์ไม่สามารถเตือนได้ครับ ซึ่งบางทีมันก็มีแว่บขึ้นมาแต่ผมมองไม่ทัน ผมก็เลยไม่ได้สนใจ
อะไรจนกระทั่ง ผ่านมาอีกเป็นเดือน มันก็ขึ้นมาอีกแต่คราวนี้ผมตั้งใจมองเลยเห็นว่ามันเกี่ยวกับน้ำมันเครื่อง
ก็เช็คข้อมูลในเน็ตก่อนนิดหน่อย แล้วเอาเข้าเช็คที่ร้านแถวบ้าน
ปรากฎว่า น้ำมันเครื่องแห้งหมดครับ ก้านเช็คเป็นเขม่าดำติดที่ปลายก้านเลย ช่างจึงให้ผมเติมน้ำมันเครื่อง
ไปก่อนแล้วไปเช็คกับศูนย์อีกที เพื่อให้ชัวร์ว่ามีปัญหาอะไรบ้าง ช่างที่ศูนย์ก็ตรวจสอบให้ พบว่ากำลังเครื่องปกติ
ไม่น่ามีปัญหา ก็ต้องซ่อมปะเก็นอ่างน้ำมันเครื่องไป (8,000)
หลังจากนั้นไม่นาน ประมาณอาทิตย์นึง เครื่องยนต์ก็มีเสียงดังเหมือนสายพานดังมากๆ ตอนเช้า ลักษณะ
เป็นการดังแบบที่มีอะไรผิดปกติในเครื่องมากๆ ผมเข้าศูนย์เพื่อไปเช็คก็ไม่เจออะไร แล้วอีกไม่เกินอาทิตย์
เซนเซอร์เรื่องแรงดันน้ำมันเครื่องมันก็กลับมาอีกครั้ง คราวนี้ขึ้นถี่ขึ้นๆ จนขึ้นมาค้างไปเลย ผมเลยรีบไปจอดที่ศูนย์
พอช่างตรวจก็บอกว่ายังหาสาเหตุไม่ได้ เพราะสายพานต่างๆ ก็ปกติ ภายนอกปกติหมด อาจจะเป็นที่ภายใน
ก็อาจจะต้อง overhaul ถึงจะรู้ แต่ราคาแพงมาก (7-90,000) แล้วแต่ว่าภายในมีตรงไหนเสียบ้าง
แต่ถ้าให้เดา อาจจะแค่ shaft เสีย ซึ่งผมเช็คในเว็บ กับตามอู่ต่างๆ (ที่เค้าแนะนำว่าเก่ง เป็นช่าง Toyota เก่า)
พบว่า ราคาอยู่ที่ 2-30,000 บาท ราคาต่างจากซ่อมศูนย์จะเป็นเรื่องของค่าแรง ซึ่งหลายๆ ที่ diff อยู่ประมาณ
5-7,000 บาท ทำให้ผมตัดสินใจทำที่ Toyota เพราะพอทำใจกับ diff ส่วนต่างได้ แต่อยากให้ศูนย์ทำให้จบมากกว่า
ซึ่งช่างที่ Toyota ก็ยังให้ทางเลือกว่า จะซ่อมแค่ shaft มั้ย (2-30,000) ซ่อมแค่นี้ก่อนก็ได้ แล้วถ้ามีปัญหาอะไรมา
ค่อย overhaul ใหม่อีกที ผมก็กลัวว่ามันจะไม่จบแล้วปัญหาจะลุกลามรึเปล่า และคิดว่าชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์คงไม่
ได้เป็นอะไรมากมั้ง เพราะเราขับโอเค soft กับรถมาตลอด ค่ายใช้จ่ายก็คงไม่เกิน 3-40,000 แต่เอาให้จบไปเลยทีเดียว
ผ่านไปอีก 1 อาทิตย์ ช่างพอแกะเครื่องออกมาแล้วปรากฎว่าพบว่าชิ้นส่วนภายในพังแทบทั้งหมด และสันนิษฐานว่า
มาจากการเติมน้ำยาหัวเชื้อน้ำมันเครื่อง ซึ่งคาดว่าก่อนหน้านี้อาจจะไม่มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามเวลา
เพื่อนับชิ้นส่วนที่ต้องเปลี่ยนทั้งหมด อยู่ที่ประมาณ 90,000 กว่าบาท หรืออาจจะเกือบแสน ซึ่งก็ยังดีเจ้าหน้าที่เพิ่มส่วนลด
ให้พิเศษจาก 10 เป็น 15 เปอร์เซ็นต์ บวกกับมีโปรผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิต 0 เปอร์เซ็นต์ 6 เดือน
ใจผมก็อยากทำ แม้จะแพงโคตร และหลายท่านคงบอกว่า เอาไปลงเครื่องใหม่เซียงกงเถอะถูกกว่าเยอะ แต่เนื่องจาก
ผมรู้สึกว่าไม่สะดวกที่จะลองหาอู่ ลองหาเครื่องมือสองสภาพดี และไม่รู้จะวางดีมั้ย เปลี่ยนเครื่องมาแล้วก็ขายต่อยากอีก
เพราะตอนนี้มีแต่คนซื้อรถมือสองสภาพเดิมๆ เปลี่ยนเครื่องมา แม้จะตัวเดิมแต่ก็เป็นเครื่องมือสอง คงโดนกดราคาอยู่ดี (3-40,000)
ผมจึงคิดว่า overhaul กับศูนย์ก็คงไม่เสียหาย เครื่องยนต์ก็จะได้สภาพใหม่ซิงไปเลยด้วยเหมือนได้รถมือ 1
เมื่อมีส่วนลดก็คงลดลงเหลือสัก 85,000 ผ่อนได้อีกด้วย แต่ได้ความสบายใจกว่าวางเครื่องมือสอง ก็เลยตกลงทำ
ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ ซึ่งทางศูนย์บอกว่าอาจจะนานถึง 3-4 อาทิตย์ ซึ่งก็ทำให้ผมมีปัญหา
ในการส่งลูกไปโรงเรียนระยะทางประมาณ 20 กม. ด้วยรถที่ติดมาก รถเมล์ก็ไม่ค่อยมา แถมมาก็ไม่ได้นั่ง ทั้งไปสาย
ทั้งไม่ได้กินข้าว ผมก็เลยต้องนั่ง taxi เสียอีกวันละ 4-500 ถ้าต้องนั่งไปเดือนนึง รวมๆ แล้วคง 10,000 กว่า
ผมไม่แน่ใจว่า ถ้าผมหมั่นเช็ค แล้วเจอน้ำมันรั่วก่อน จะไม่เจอปัญหานี้หรือไม่
หรือมันเป็นปัญหามาตั้งแต่แรก แต่มันเพิ่งมาฟ้อง ซึ่งอาจจะใช่ เพราะมันเจ๊งไปหมดเลย ไม่ว่าถามช่าง
คนไหนๆ ต่างก็ไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นแค่เรื่องน้ำมันแห้ง เพราะเวลามันแค่แป๊บเดียวเท่านั้น และเท้าผมก็ไม่ได้หนักด้วย
เป็นไปได้ว่า รถคันนี้ถูกหล่อเลี้ยงมาด้วยน้ำยาหัวเชื้อ แทนที่จะไปเปลี่ยนถ่ายน้ำมันตามปกติ
ผมเองก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ และไม่อาจฟันธงได้ว่า ที่ผมคิดมันถูกต้องหรือไม่ แต่ต่อจากนี้ไป ผมคงเข็ดรถมือสอง
ไปอีกนานครับ เพราะถ้าเราไปเจอเต้นท์ที่ไม่ดูแลรักษารถแล้วล่ะก็ ซึ่งน้ำหัวเชื้อที่ว่าก็มีไว้ให้เครื่องยนต์ลื่นไหล ไม่ให้มีเสียง
ผิดปกติ แต่ที่จริงมีการสึกหรอเกิดขึ้นแล้วจากการไม่เปลี่ยนถ่ายของเหลวตามปกติ ซึ่งผมคิดว่า เต้นท์รถที่ขายรถยากช่วงนี้
ก็ต้อง save cost ทางไหนได้ก็คงทำ
ซึ่งเท่าที่ผมขับรถไปให้ช่างที่ต่างๆ ดู บอกได้เลยว่าแต่ละคนฟังไม่ออกว่าเครื่องมีปัญหา เพราะเสียงมันจะมาแค่ตอน
เช้าที่ผม start รถ ซึ่งผมลองอ่านเรื่องปัญหาน้ำมันหัวเชื้อ ผมก็ต้องตกใจว่ามันทำให้รถมีปัญหาขนาดนี้เชียวหรือ?
ผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่า อาจจะเป็นใครก็ได้ที่ทำ เจ้าของเก่าอาจจะใส่หัวเชื้อไว้ก็ได้ แต่เพื่อความปลอดภัย ผมตีว่า
ซื้อรถมือสอง ก็คือมีความเสี่ยงพวกนี้ไปเลยดีกว่า ผมซื้อรถ Toyota เพราะว่าเครื่องมันจะทน แต่มันก็ยังทนไม่ไหว
เมื่อเจอแบบนี้ สรุปเรื่องจริงเป็นยังไงไม่รู้ แต่ผมตอนนี้รู้สึกว่า ถ้าไม่จำเป็น มือหนึ่งก็ดีที่สุดแล้ว มันก็มีดีของมัน
ตรงที่ไม่เจอปัญหาซุกซ่อนนี่แหล่ะ
ถ้าเจอเต้นท์ที่ดูแลรักษารถเป็นอย่างดีก็ดีไปนะครับ แต่ตอนนี้คงมีแต่เต้นท์ที่พยายามประคองตัวในช่วง
เศรษฐกิจขาลง น่าจะเป็นซะส่วนใหญ่ ญาติก็เลยบอกว่าแบบนี้คราวหน้าเอา Toyota Sure ดีมั้ย (แพงจะเท่ามือ 1 555)
"แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังไงผมก็ยังอยากลองเสี่ยงคราวหน้ากับเต้นท์อีกอยู่ดีครับ แต่คงต้องเลือกปีใหม่ๆ เยอะๆ
กับตรวจสอบตรวจเช็คให้มากกว่าเดิม หวังว่าคงไม่เจอแจ็คพ็อตต้องซ่อมเครื่องครั้งใหญ่อีก"
ปล.ผมไม่ได้มีความรู้เรื่องช่าง แต่ตระเวณให้หลายๆ ที่ตรวจเรียบร้อย ผลออกมาตามนี้ อาจจะถ่ายทอด
ออกมาไม่ถูกต้อง ต้องขออภัยด้วยนะครับ ยังไงถ้าผมผิดตรงไหนสามารถมาเสริมความรู้ให้ได้ครับขอบคุณครับ