เครดิตภาพ : เนชั่นทีวี
วันนี้หลายคนคงได้เห็น กฏหมายที่ออกตาม ม.44 ประกาศในราชกิจจาฯ ล่าสุดว่าด้วยการกำหนดให้มีการอุปถัมภ์ค้ำชู ทุก ๆ ศาสนา ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม และชัดเจนขึ้น หลังจากก่อนหน้าเริ่มมีปัญหาระหองระแหง จากกระบวนการพระสงฆ์และฆราวาสกลุ่มหนึ่งพยายามจะปลุกปั่นให้เกิดการแตกแยกและขัดแย้งกันในด้านศาสนา นับแต่กระบวนการให้มีการระบุให้ศาสนาพุทธบรรจุเข้าเป็นศาสนาประจำชาติในกฏหมายรัฐธรรมนูญ
ในขณะนั้น ..หลายศาสนาเริ่มจับตา ว่าทางการจะเอาอย่างไร...เพราะประเทศไทย แต่ไหนแต่ไร ก็อยู่กันอย่างผาสุกร่มเย็น เพราะหลักประกันเด่นชัดจากกฏหมายรัฐธรรมนูญที่ระบุไว้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก นั่นหมายถึงองค์พระประมุขสูงสุดของชาติ ทรงเกื้อหนุนและอุปถัมภ์ค้ำชูทุกศาสนาในประเทศนี้ ด้วยทั่วถึงกัน
จะ พุทธ คริสต์ อิสลาม ซิกข์ ฮินดู ต่างเชิดชูในความเป็นความเป็นนักประชาธิปไตยที่พระองค์ท่านทรงเข้าใจถึงแก่นแห่งการอยู่ร่วมกัน ในวิถีที่แตกต่างด้านศาสนกิจ แต่สามารถดำรงความเป็นพสกนิกรร่วมกันได้อย่างลงตัว
สิ่งที่กำลังเป็นความขัดแย้ง ซึ่งเป็นกรณีที่อาจนำไปสู่กรณีบานปลายขยายเป็นปัญหาระดับนานาชาติ ..และเปิดให้ต่างชาติฉวยโอกาสเข้ารุมตีประเทศ ..อย่างกรณีล่าสุดที่มีพระสงฆ์รูปหนึ่งได้โพสคลิปลง และได้มีการต่อว่า..ท้าทาย อีกศาสนา และมีการตอบโต้กันไปมา จนในที่สุดคณะสงฆ์ในพื้นที่ต้องออกหนังสือมาปรามภิกษุรูปดังกล่าว ซึ่งข้อเท็จจริงก็พบว่า ภิกษุรูปดังกล่าวนี้มีความไม่พอใจมานาน และเคยถึงกับยุยงให้ชาวพุทธเผาทำลายศาสนสถานของอีกฝ่ายมาแล้วเมื่อปลายปีก่อน!
ผมคิดว่า รัฐบาลชุดนี้ เร็ว..และทำอะไรที่ทันเหตุการณ์ได้อย่างน่าชื่นชม! เพราะหากปล่อยให้ประเด็นความขัดแย้งลุกลามบานปลายออกไป..การดับไฟที่แพร่ขยายทางความคิดนั้น ไม่ใชเรื่องง่าย ๆ
และพร้อมกันกับเรื่องนี้ องค์กรที่เกี่ยวข้องใกล้ตัว อย่าง สำนักงานพุทธศาสนา,หรือแม้นแต่ มหาเถรสมาคม กลับไม่แสดงความเห็น หรือมีกระบวนการใด ๆ ออกมา ต้องให้คณะสงฆ์ในพื้นที่ซึ่งสุ่มเสี่ยงปัญหาต้องมาออกรับ แก้ปัญหาที่เกิดจากพระนอกพื้นที่แทน
เมื่อขมวดปม...ผสมเรื่องราว สำหรับปัญหาที่เกิด และการตั้งข้อสังเกตุเพื่อนำไปสู่การแก้ไข มันกำลังเกิดอะไรขึ้น
พื้นที่ ๆ ที่เป็นปัญหา 3 จังหวัดใต้ ไม่จำเพาะ ภิกษุที่ถูกสังหาร แต่การเสียชีวิตมันครอบคลุมไปหมดไม่ได้แยกแยะ และที่สำคัญ จำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตลงก็มีประชาชนที่นับถืออิสลามก็ไม่น้อย!
แน่ละว่า...ปัญหาที่มันมีรากเหง้ามายาวนาน..แถมมีตัวแปรพ่วงท้ายทั้ง กลุ่มผลประโยชน์..การเมือง ยันไปเรื่องพยายามแทรกแซงจากต่างประเทศนั้น เราก็รู้กันดีว่า เป้าประสงค์ต้องการทำร้าย..ทำลาย กลุ่มที่อ่อนแอ..และเป็นสัญลักษณ์ อันนี้เป็นเรื่องปกติ!
คงไม่อยากเขียนให้ยาวเป็นกิโล ๆ ถึงต้นตอสาเหตุ ... เพียงแต่เมื่อขมวดปมปัญหาที่คิดว่า รัฐบาล ต้องเร่ง จับตา และต้องรีบดำเนินการควบคุมให้อยู่คือ
ต้องจับตา ควบคุม กระบวนการเสี้ยม ให้อยู่หมัด ซึ่งแยกได้เป็น
พระวีระธุ ในงานมอบรางวัล "ผู้นำชาวพุทธโลก" วัดพระธรรมกาย
1. พุทธเสี้ยมพุทธ กระบวนการเสี้ยมผ่านโลกโซเชียล ในระยะหลังเกิดขึ้นมากจนน่ากังวล ในฝ่ายพุทธแบบสุดโต่ง ที่พยายามชูธง พระวีรธุร ของพม่าที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความร้าวฉานให้ละเลงเลือดนองพม่า ฆ่ากันจนเจ็บตายทั้งสองฝ่าย แต่ดันกลายเป็นฮีโร่ได้รับเชิญมาร่วมงาน
"ผู้นำชาวพุทธโลก" ที่จัดงานที่วัดพระธรรมกาย กลุ่มนี้มีทั้ง พระ..ฆราวาส และยังประกอบด้วยกลุ่มอีแอบทั้งในและนอกประเทศที่อาศัยให้พระทำงานใหญ่ เพื่อให้เกิดปัญหาวุ่นวายในบ้านเมือง ยิ่งแตก..ยิ่งเละ ยิ่งเข้าทาง
2. มุสลิมเสี้ยมมุสลิม
เรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญและใหญ่พอสมควรมและถือเป็นเรื่องที่รัฐและฝ่ายความมั่นคงต้องจับตาอย่างไม่กระพริบ เพราะปัญหาที่เกิดส่วนใหญ่ เกิดจาก กระบวนการสื่อเสี้ยมและสร้างข่าวลือ แปลงสารเปลี่ยนประเด็น เพื่อให้เกิดการเกลียดกันเอง โดยเฉพาะในเรื่องของ นิกาย
ถ้าย้อนเวลากลับไปสัก 50 ปีที่แล้ว จะพบว่า ซุนหนี่ ซึ่งเป็นนิกายใหญ่สุด และครอบคลุมพื้นที่จังหวัดใต้และประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโด..และมาเลเซีย นั้น ไม่มีปัญหาความขัดแย้งในเรื่องนิกาย และความเคร่งครัดมากนัก ดังนั้นเมื่อก่อนเราจึงได้เห็นวิถีชีวิตของการอยู่ร่วมกันระหว่าง ไทยพุทธ ..มุสลิม ฮินดู จีน ฯลฯ ในพื้นที่สามจังหวัดได้อย่างลงตัว
อย่างในจังหวัดยะลา.. ทั้งไทย เจ๊ก ซิกข์ ในเวลานั้น ฟังและพูดยาวีได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็พอเข้าใจ มันสะท้อนให้เห็นการอยู่ร่วมกันในลักษณะ "พหุสังคม" ที่ร่มเย็นและมีสีสันมาตลอด
ปัญหาเริ่มเกิดจาก กระบวนการรุกคืบจากกระแสความไม่วางใจใน
"ความเชื่อ" จนนำมาซึ่งความพยายามในการส่งออก
"ลัทธิความเชื่อแบบสุดโต่ง" ผ่านสิ่งที่เรียกว่า
"ทุนการศึกษา"
เด็ก ๆ มุสลิมที่จบโรงเรียนปอเนาะซึ่งส่วนใหญ่มีฐานะยากจนและถูกส่งเข้ามาเรียนเพราะครอบครัวมีความเคร่งในศาสนาเวลานั้น หลายคนไม่สามารถพูดไทยได้เลย เหตุเพราะหลักสูตรนั้นมากกว่า 90 เปอร์เซนต์เป็นการเรียนรู้วิถีอิสลามและศาสนบัญญัติ
โอกาสในการเข้าเรียนต่อในระดับสามัญศึกษาเพื่อจะผลักดันตัวเองให้ไปสูสังคมหลากหลาย มีอาชีพการงานและแข่งขันกับคนอื่น ๆ จึงน้อยมาก.... คนเหล่านี้จึงเลือกที่จะไปศึกษาต่อในประเทศต่าง ๆ ที่ให้ทุนการศึกษา เช่นอียิปต์บ้าง,ลิเบีย หรือนายทุนใหญ่อย่างซาอุดิอาระเบีย
และหลายคนที่ไม่ได้มีโอกาสไป...พวกเค้าจึงต้องทำงานแบบที่ครอบครัวทำมา ไม่ว่าจะเป็น สวนยาง..สวนผลไม้..เลี้ยงแพะ หรือรับจ้างอะไรก็ได้ที่มีรายได้แม้นหลักประกันมันอาจไม่สามารถรับรองได้ถึงความพอกินพอใช้!
ซาอุดิอาระเบีย ถือเป็นต้นกำเนิดซุนหนี่
"วาฮะบีย์" ซึ่งยึดเอาวิถีการเป็นรัฐอิสลามแบบโบราณมาใช้ ได้พยายามแพร่กระจายแนวคิดนี้ออกไป เพื่อป้องกันมิให้ นิกายใหญ่อีกนิกายอย่าง
"ชีอะห์" ที่มีอิหร่านเป็นแกนนำ ช่วงชิงพื้นที่การขยายแนวคิด
กระบวนการต่อสู้กันทางความคิดของสองนิกายนี้ ไม่ต่างอะไรกันกับ สงครามเย็น โซเวียตกับอเมริกา
บรรดา อุซตาส..ผู้สอนศาสนารุ่นใหม่ที่ไปจากหลายประเทศ อย่างทางภาคเหนือของมาเลเซีย.จากอินโดนีเซีย หลังจากไปร่ำเรียนกลับมาจากกลุ่มประเทศเหล่านี้แล้วก็เริ่มนำแนวคิดใหม่ ๆ มาใส่เสริมเติมเข้าไปที่ละนิดๆ
อินโดนีเซีย พยายามวางตัวเองเป็นประเทศมุสลิมสายกลาง ไม่ต่างจากมาเลเซีย ซึ่งแม้นจะมีปัญหายุ่งยากกับทางภาคเหนือของประเทศทีติดกับไทยซึ่งยังเป็นมุสลิมสายเคร่งและยิ่งได้รับการเสริมจากความรู้ใหม่ ๆ ยิ่งทำให้เป็นเรื่องอึดอัดของรัฐบาลกลางมาเลเซียไม่น้อย
ภาพการจับกุม ผู้ต้องสงสัย isis ในมาเลเซีย
สิ่งทีต้องจับตาในไทยคือบรรดาอุซตาส เครื่องร้อน ที่จบมาจากนอก ...พวกนี้ ค่อนข้างมีแนวคิด
"อันตราย!"
บางคนไม่ใช่มุสลิมในพื้นที่ แต่กลับถูกดึงไปเป็นวิทยากรสอนคนในพื้นที่ๆ มีปัญหาให้เกิดแนวคิดที่นำไปสู่การสนับการแตกแยก
อย่างบางคน ประกาศชัดสนับสนุนไอซิสจอมโหดว่า
"จะอย่างไรก็ตาม...ไอซิส ก็เป็น มุสลิม! และขอให้พวกเราขอดุอาห์ให้ไอซิสด้วย!!"
และบ้างเล่นตีความให้เยาวชนมุสลิมในพื้นที่
"ห้ามลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินเพลงสรรเสริญ.. เพราะขัดต่อหลักศาสนา!!"
กลุ่มคนรุ่นใหม่พวกนี้ ..แทรกตัวอยู่ในหลากหลายอาชีพ บ้างก็เป็นครูบาอาจารย์มหาวิทยาลัย.. บ้างก็อาศัยแฝง NGO ฯลฯ แต่พวกนี้แทบทั้งหมด จะอยู่วงนอก....แต่เสี้ยมเรื่อง..สร้างข่าวเท็จ ส่งเข้าไปให้วงใน
ดังนั้น.. ภาครัฐ ...จำต้องควบคุม และกำกับและชี้แจง..ตักเตือน ให้เหล่า อุซตาส..ครูสอนศาสนา ฯลฯ ที่บางคนทำตัว "บ่าง" พร้อมๆ ไปกับต้องดูแล..กวดขัน มิให้ พระภิกษุ..พวกสุดโต่ง..องค์กรเถื่อน ใช้โซเชียลปลุกปั่น ให้คนไทยเกลียดศาสนิกอื่น
สิ่งที่ต้องคำนึงไว้เสมอก็คือ ทุกศาสนา ล้วนเป็นความงดงาม ...เป็นเสมือน ทุ่งดอกไม้หลากสีสัน ทีทำให้โลกนี้มีความแตกต่าง ...
และหากเราใช้ความแตกต่างที่มี..ไปในทางสร้างสรรค์ ยอมรับในวิถีแตกต่าง..เข้าใจในความผูกพัน และสิ่งที่เป็นรากเหง้า..ของความต่างทางชาติพันธ์..อัตลักษณ์ ร่วมกันปกปักษ์พิทักษ์ด้วยกันเอง ประเทศไทยจะรอดพ้น และอาจเป็นประเทศเดียวที่ยังคงโดดเด่น..เป็นสุข ท่ามกลาง โลกที่บิดเบือน..เปื้อนไปด้วยเลือดและน้ำตา จากความ
"เกลียดชัง" กันในเวลานี้
บิกตู่ กับ ม. 44 เพื่อสันติสุขแห่งศาสนา
วันนี้หลายคนคงได้เห็น กฏหมายที่ออกตาม ม.44 ประกาศในราชกิจจาฯ ล่าสุดว่าด้วยการกำหนดให้มีการอุปถัมภ์ค้ำชู ทุก ๆ ศาสนา ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม และชัดเจนขึ้น หลังจากก่อนหน้าเริ่มมีปัญหาระหองระแหง จากกระบวนการพระสงฆ์และฆราวาสกลุ่มหนึ่งพยายามจะปลุกปั่นให้เกิดการแตกแยกและขัดแย้งกันในด้านศาสนา นับแต่กระบวนการให้มีการระบุให้ศาสนาพุทธบรรจุเข้าเป็นศาสนาประจำชาติในกฏหมายรัฐธรรมนูญ
ในขณะนั้น ..หลายศาสนาเริ่มจับตา ว่าทางการจะเอาอย่างไร...เพราะประเทศไทย แต่ไหนแต่ไร ก็อยู่กันอย่างผาสุกร่มเย็น เพราะหลักประกันเด่นชัดจากกฏหมายรัฐธรรมนูญที่ระบุไว้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก นั่นหมายถึงองค์พระประมุขสูงสุดของชาติ ทรงเกื้อหนุนและอุปถัมภ์ค้ำชูทุกศาสนาในประเทศนี้ ด้วยทั่วถึงกัน
จะ พุทธ คริสต์ อิสลาม ซิกข์ ฮินดู ต่างเชิดชูในความเป็นความเป็นนักประชาธิปไตยที่พระองค์ท่านทรงเข้าใจถึงแก่นแห่งการอยู่ร่วมกัน ในวิถีที่แตกต่างด้านศาสนกิจ แต่สามารถดำรงความเป็นพสกนิกรร่วมกันได้อย่างลงตัว
สิ่งที่กำลังเป็นความขัดแย้ง ซึ่งเป็นกรณีที่อาจนำไปสู่กรณีบานปลายขยายเป็นปัญหาระดับนานาชาติ ..และเปิดให้ต่างชาติฉวยโอกาสเข้ารุมตีประเทศ ..อย่างกรณีล่าสุดที่มีพระสงฆ์รูปหนึ่งได้โพสคลิปลง และได้มีการต่อว่า..ท้าทาย อีกศาสนา และมีการตอบโต้กันไปมา จนในที่สุดคณะสงฆ์ในพื้นที่ต้องออกหนังสือมาปรามภิกษุรูปดังกล่าว ซึ่งข้อเท็จจริงก็พบว่า ภิกษุรูปดังกล่าวนี้มีความไม่พอใจมานาน และเคยถึงกับยุยงให้ชาวพุทธเผาทำลายศาสนสถานของอีกฝ่ายมาแล้วเมื่อปลายปีก่อน!
ผมคิดว่า รัฐบาลชุดนี้ เร็ว..และทำอะไรที่ทันเหตุการณ์ได้อย่างน่าชื่นชม! เพราะหากปล่อยให้ประเด็นความขัดแย้งลุกลามบานปลายออกไป..การดับไฟที่แพร่ขยายทางความคิดนั้น ไม่ใชเรื่องง่าย ๆ
และพร้อมกันกับเรื่องนี้ องค์กรที่เกี่ยวข้องใกล้ตัว อย่าง สำนักงานพุทธศาสนา,หรือแม้นแต่ มหาเถรสมาคม กลับไม่แสดงความเห็น หรือมีกระบวนการใด ๆ ออกมา ต้องให้คณะสงฆ์ในพื้นที่ซึ่งสุ่มเสี่ยงปัญหาต้องมาออกรับ แก้ปัญหาที่เกิดจากพระนอกพื้นที่แทน
เมื่อขมวดปม...ผสมเรื่องราว สำหรับปัญหาที่เกิด และการตั้งข้อสังเกตุเพื่อนำไปสู่การแก้ไข มันกำลังเกิดอะไรขึ้น
พื้นที่ ๆ ที่เป็นปัญหา 3 จังหวัดใต้ ไม่จำเพาะ ภิกษุที่ถูกสังหาร แต่การเสียชีวิตมันครอบคลุมไปหมดไม่ได้แยกแยะ และที่สำคัญ จำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตลงก็มีประชาชนที่นับถืออิสลามก็ไม่น้อย!
แน่ละว่า...ปัญหาที่มันมีรากเหง้ามายาวนาน..แถมมีตัวแปรพ่วงท้ายทั้ง กลุ่มผลประโยชน์..การเมือง ยันไปเรื่องพยายามแทรกแซงจากต่างประเทศนั้น เราก็รู้กันดีว่า เป้าประสงค์ต้องการทำร้าย..ทำลาย กลุ่มที่อ่อนแอ..และเป็นสัญลักษณ์ อันนี้เป็นเรื่องปกติ!
คงไม่อยากเขียนให้ยาวเป็นกิโล ๆ ถึงต้นตอสาเหตุ ... เพียงแต่เมื่อขมวดปมปัญหาที่คิดว่า รัฐบาล ต้องเร่ง จับตา และต้องรีบดำเนินการควบคุมให้อยู่คือ
ต้องจับตา ควบคุม กระบวนการเสี้ยม ให้อยู่หมัด ซึ่งแยกได้เป็น
1. พุทธเสี้ยมพุทธ กระบวนการเสี้ยมผ่านโลกโซเชียล ในระยะหลังเกิดขึ้นมากจนน่ากังวล ในฝ่ายพุทธแบบสุดโต่ง ที่พยายามชูธง พระวีรธุร ของพม่าที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความร้าวฉานให้ละเลงเลือดนองพม่า ฆ่ากันจนเจ็บตายทั้งสองฝ่าย แต่ดันกลายเป็นฮีโร่ได้รับเชิญมาร่วมงาน "ผู้นำชาวพุทธโลก" ที่จัดงานที่วัดพระธรรมกาย กลุ่มนี้มีทั้ง พระ..ฆราวาส และยังประกอบด้วยกลุ่มอีแอบทั้งในและนอกประเทศที่อาศัยให้พระทำงานใหญ่ เพื่อให้เกิดปัญหาวุ่นวายในบ้านเมือง ยิ่งแตก..ยิ่งเละ ยิ่งเข้าทาง
2. มุสลิมเสี้ยมมุสลิม
เรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญและใหญ่พอสมควรมและถือเป็นเรื่องที่รัฐและฝ่ายความมั่นคงต้องจับตาอย่างไม่กระพริบ เพราะปัญหาที่เกิดส่วนใหญ่ เกิดจาก กระบวนการสื่อเสี้ยมและสร้างข่าวลือ แปลงสารเปลี่ยนประเด็น เพื่อให้เกิดการเกลียดกันเอง โดยเฉพาะในเรื่องของ นิกาย
ถ้าย้อนเวลากลับไปสัก 50 ปีที่แล้ว จะพบว่า ซุนหนี่ ซึ่งเป็นนิกายใหญ่สุด และครอบคลุมพื้นที่จังหวัดใต้และประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโด..และมาเลเซีย นั้น ไม่มีปัญหาความขัดแย้งในเรื่องนิกาย และความเคร่งครัดมากนัก ดังนั้นเมื่อก่อนเราจึงได้เห็นวิถีชีวิตของการอยู่ร่วมกันระหว่าง ไทยพุทธ ..มุสลิม ฮินดู จีน ฯลฯ ในพื้นที่สามจังหวัดได้อย่างลงตัว
อย่างในจังหวัดยะลา.. ทั้งไทย เจ๊ก ซิกข์ ในเวลานั้น ฟังและพูดยาวีได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็พอเข้าใจ มันสะท้อนให้เห็นการอยู่ร่วมกันในลักษณะ "พหุสังคม" ที่ร่มเย็นและมีสีสันมาตลอด
ปัญหาเริ่มเกิดจาก กระบวนการรุกคืบจากกระแสความไม่วางใจใน "ความเชื่อ" จนนำมาซึ่งความพยายามในการส่งออก "ลัทธิความเชื่อแบบสุดโต่ง" ผ่านสิ่งที่เรียกว่า "ทุนการศึกษา"
เด็ก ๆ มุสลิมที่จบโรงเรียนปอเนาะซึ่งส่วนใหญ่มีฐานะยากจนและถูกส่งเข้ามาเรียนเพราะครอบครัวมีความเคร่งในศาสนาเวลานั้น หลายคนไม่สามารถพูดไทยได้เลย เหตุเพราะหลักสูตรนั้นมากกว่า 90 เปอร์เซนต์เป็นการเรียนรู้วิถีอิสลามและศาสนบัญญัติ
โอกาสในการเข้าเรียนต่อในระดับสามัญศึกษาเพื่อจะผลักดันตัวเองให้ไปสูสังคมหลากหลาย มีอาชีพการงานและแข่งขันกับคนอื่น ๆ จึงน้อยมาก.... คนเหล่านี้จึงเลือกที่จะไปศึกษาต่อในประเทศต่าง ๆ ที่ให้ทุนการศึกษา เช่นอียิปต์บ้าง,ลิเบีย หรือนายทุนใหญ่อย่างซาอุดิอาระเบีย
และหลายคนที่ไม่ได้มีโอกาสไป...พวกเค้าจึงต้องทำงานแบบที่ครอบครัวทำมา ไม่ว่าจะเป็น สวนยาง..สวนผลไม้..เลี้ยงแพะ หรือรับจ้างอะไรก็ได้ที่มีรายได้แม้นหลักประกันมันอาจไม่สามารถรับรองได้ถึงความพอกินพอใช้!
ซาอุดิอาระเบีย ถือเป็นต้นกำเนิดซุนหนี่ "วาฮะบีย์" ซึ่งยึดเอาวิถีการเป็นรัฐอิสลามแบบโบราณมาใช้ ได้พยายามแพร่กระจายแนวคิดนี้ออกไป เพื่อป้องกันมิให้ นิกายใหญ่อีกนิกายอย่าง "ชีอะห์" ที่มีอิหร่านเป็นแกนนำ ช่วงชิงพื้นที่การขยายแนวคิด
กระบวนการต่อสู้กันทางความคิดของสองนิกายนี้ ไม่ต่างอะไรกันกับ สงครามเย็น โซเวียตกับอเมริกา
บรรดา อุซตาส..ผู้สอนศาสนารุ่นใหม่ที่ไปจากหลายประเทศ อย่างทางภาคเหนือของมาเลเซีย.จากอินโดนีเซีย หลังจากไปร่ำเรียนกลับมาจากกลุ่มประเทศเหล่านี้แล้วก็เริ่มนำแนวคิดใหม่ ๆ มาใส่เสริมเติมเข้าไปที่ละนิดๆ
อินโดนีเซีย พยายามวางตัวเองเป็นประเทศมุสลิมสายกลาง ไม่ต่างจากมาเลเซีย ซึ่งแม้นจะมีปัญหายุ่งยากกับทางภาคเหนือของประเทศทีติดกับไทยซึ่งยังเป็นมุสลิมสายเคร่งและยิ่งได้รับการเสริมจากความรู้ใหม่ ๆ ยิ่งทำให้เป็นเรื่องอึดอัดของรัฐบาลกลางมาเลเซียไม่น้อย
สิ่งทีต้องจับตาในไทยคือบรรดาอุซตาส เครื่องร้อน ที่จบมาจากนอก ...พวกนี้ ค่อนข้างมีแนวคิด "อันตราย!"
บางคนไม่ใช่มุสลิมในพื้นที่ แต่กลับถูกดึงไปเป็นวิทยากรสอนคนในพื้นที่ๆ มีปัญหาให้เกิดแนวคิดที่นำไปสู่การสนับการแตกแยก
อย่างบางคน ประกาศชัดสนับสนุนไอซิสจอมโหดว่า "จะอย่างไรก็ตาม...ไอซิส ก็เป็น มุสลิม! และขอให้พวกเราขอดุอาห์ให้ไอซิสด้วย!!"
และบ้างเล่นตีความให้เยาวชนมุสลิมในพื้นที่ "ห้ามลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินเพลงสรรเสริญ.. เพราะขัดต่อหลักศาสนา!!"
กลุ่มคนรุ่นใหม่พวกนี้ ..แทรกตัวอยู่ในหลากหลายอาชีพ บ้างก็เป็นครูบาอาจารย์มหาวิทยาลัย.. บ้างก็อาศัยแฝง NGO ฯลฯ แต่พวกนี้แทบทั้งหมด จะอยู่วงนอก....แต่เสี้ยมเรื่อง..สร้างข่าวเท็จ ส่งเข้าไปให้วงใน
ดังนั้น.. ภาครัฐ ...จำต้องควบคุม และกำกับและชี้แจง..ตักเตือน ให้เหล่า อุซตาส..ครูสอนศาสนา ฯลฯ ที่บางคนทำตัว "บ่าง" พร้อมๆ ไปกับต้องดูแล..กวดขัน มิให้ พระภิกษุ..พวกสุดโต่ง..องค์กรเถื่อน ใช้โซเชียลปลุกปั่น ให้คนไทยเกลียดศาสนิกอื่น
สิ่งที่ต้องคำนึงไว้เสมอก็คือ ทุกศาสนา ล้วนเป็นความงดงาม ...เป็นเสมือน ทุ่งดอกไม้หลากสีสัน ทีทำให้โลกนี้มีความแตกต่าง ...
และหากเราใช้ความแตกต่างที่มี..ไปในทางสร้างสรรค์ ยอมรับในวิถีแตกต่าง..เข้าใจในความผูกพัน และสิ่งที่เป็นรากเหง้า..ของความต่างทางชาติพันธ์..อัตลักษณ์ ร่วมกันปกปักษ์พิทักษ์ด้วยกันเอง ประเทศไทยจะรอดพ้น และอาจเป็นประเทศเดียวที่ยังคงโดดเด่น..เป็นสุข ท่ามกลาง โลกที่บิดเบือน..เปื้อนไปด้วยเลือดและน้ำตา จากความ "เกลียดชัง" กันในเวลานี้