หายนะ! เบอร์โทร.+บัตรประชาชน ข้อมูลรั่ว เงินหายเฉียดล้านในพริบตา!!


หายนะ! เบอร์โทร.+บัตรประชาชน ข้อมูลรั่ว เงินหายเฉียดล้านในพริบตา!!
โดย: MGR Online 22 ส.ค. 2559

          ช่องโหว่จากความสะเพร่า! สูญเงินเกือบล้านเพราะระบบที่ไม่รัดกุมทั้ง “ธนาคาร” และ “ค่ายมือถือ” ชื่อดัง มิจฉาชีพตีมึนสวมรอยจากภาพบัตรประชาชนที่ลวงให้เหยื่อส่งมาให้ บวกกับเบอร์มือถือที่หลอกถามช่วงตกลงซื้อขายสินค้าเอาไว้ จากนั้นแกล้งแจ้งลืมรหัสผ่านต่างๆ ไปทางระบบ จนได้ account ทุกอย่างมาอยู่ในมือ มุดช่องโหว่เข้าไปดูดเงินเก็บในบัญชี ทั้งโอนทั้งถอนหายเกลี้ยงเฉียดล้านภายในเวลา “1 วัน 1 คืน” กว่าเหยื่อจะไหวตัวทัน พวกมันก็หายไปในกลีบเมฆแล้ว!!


ถ้าสื่อไม่รุม สังคมไม่ประณาม อย่าหวังจะได้เงินคืนถึงครึ่ง!!?


[ขอความเป็นธรรม หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ]



          "เงินฝากทั้งชีวิต เกือบ 1 ล้านบาท แต่เป็นเพราะความประมาทของ TRUE และ กสิกรไทย (K-Bank) ทำให้คนร้ายถอนเงินจากบัญชีธนาคารกสิกรไทยที่ผมฝากไว้ไปหมด ครอบครัวผมต้องเดือดร้อนแสนสาหัส TRUE และ กสิกรไทย (K-Bank) ไม่รับผิดชอบเงินฝากของผมและครอบครัว"

          ตัวหนังสือเขียนมือติดฟิวเจอร์บอร์ดขนาดใหญ่พร้อมถ้อยคำเหล่านี้ ถูกสื่อมวลชนจากสำนักต่างๆ รุมถ่ายรูป ทำข่าว ถ่ายคลิปกันอย่างคึกคักอยู่บริเวณริมถนนพระราม 1 หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อตีแผ่ความเสียหายของ พันธุ์สุธี มีลือกิจ และครอบครัวให้ขยายวงกว้างออกไป หลังถูกมิจฉาชีพสวมรอย ใช้ข้อมูลจากการล้วงความลับผ่าน “ธนาคารกสิกรไทย” และบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายมือถืออย่าง “ทรู” จนสามารถโกยเงินเฉียดล้านไปได้แบบสบายๆ แล้วเผ่นแนบหายไปแบบเงียบๆ จนหลายฝ่ายต้องอึ้ง!


[พันธุ์สุธี มีลือกิจ ผู้สูญเงินเก็บเฉียดล้าน!!]


          “ช่วยรับผิดชอบด้วยนะคะ เอาเงินของหนูคืนมาค่ะ” ไม่ได้มีแค่เหยื่ออย่างพันธุ์สุธีที่ออกมาประท้วงขอความเป็นธรรมในครั้งนี้ แต่ญาติพี่น้องของเขาอีก 3 ชีวิตก็ร่วมกันออกมาชูป้าย เพื่อเรียกร้องให้เจ้าของระบบผู้สะเพร่าทั้งสองแห่ง ออกมารับผิดชอบต่อเงินเก็บก้อนโตของพวกเขาเสียที และนี่คือความในใจที่ครอบครัวของเหยื่อขอฝากเอาไว้

          "ต้องเรียนให้ทราบถึงข้อกฎหมายก่อนนะครับว่า เคสนี้ธนาคารเป็นผู้เสียหายนะครับ ไม่ใช่ลูกค้าเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย เพราะกรรมสิทธิเงินฝากเป็นของธนาคาร หากธนาคารไม่มาแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ไปหลอกลวงธนาคาร ทางลูกค้าจะไม่สามารถเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ได้นะครับ เป็นเพียงแค่พยานเท่านั้น แต่เรา ในฐานะผู้ฝากเงิน สามารถเรียกเงินคืนจากธนาคารได้

          ถามว่าวันนี้ ท่านยังเชื่อมั่นในระบบความปลอดภัยของธนาคารแห่งนี้หรือไม่ อยากให้ทุกท่านลองพิจารณาดูนะครับว่า วันหนึ่งหากท่านมีเงินในบัญชีธนาคาร แล้วมีใครก็ไม่รู้มาสวมรอยเป็นตัวท่าน แล้วไปคุยกับ call center ของทางธนาคาร ปรากฏว่าทางธนาคารก็ให้ข้อมูลไป ทั้ง user และ password ไปใช้ถอนเงินออกจากบัญชีของท่านในระบบออนไลน์ได้ จนเงินของท่านเกิดสูญหายไป แล้วธนาคารกลับอ้างว่าจะช่วยรับผิดชอบเพียงแค่ 33 เปอร์เซ็นต์


[โร่เข้าแจ้งความและดำเนินการทุกอย่างเอง]



          นี่เหรอครับ การแสดงความรับผิดชอบของธนาคารต่อลูกค้าที่มั่นใจในการฝากเงินกับท่าน วันนี้เราให้ใจกับคุณไปแล้ว แต่ทำไมธนาคารถึงมาทอดทิ้งลูกค้าแบบนี้ ผมเองก็เป็นลูกค้ากสิกรไทยนะครับ เป็นลูกค้ามามากกว่า 10 ปี ไม่ใช่แค่บัญชีเดียวด้วย หากวันนี้ ธนาคารยังไม่เหลียวแล ยังทอดทิ้งลูกค้าของท่าน

          ผมจะเป็นคนเริ่มต้นไปปิดบัญชีธนาคารของท่านในเวลา 10 โมง และจะถอดเงินออกทั้งหมด เพื่อให้ท่านออกมาแสดงความรับผิดชอบที่พึงมีต่อลูกค้าของท่าน ขอกราบพี่น้องประชาชนครับว่า ขอให้ช่วยกันพิจารณา ทวงคืนความเป็นธรรมให้กับครอบครัวของพันธุ์สุธีด้วยนะครับ ขอบคุณครับ"

          986,700 บาท คือจำนวนเงินที่เหยื่อ ซึ่งหาเช้ากินค่ำเก็บจากการทำร้านขายอะไหล่รถยนต์มาทั้งชีวิต แต่จู่ๆ เงินจากน้ำพักน้ำแรงจำนวนนี้มาอันตรธานหายไป ไม่มีแม้เพียงการออกมาแสดงความรับผิดชอบของทั้งทางธนาคารและบริษัทเครือข่ายมือถือ กระทั่งเสียงโห่ร้องจากภาคประชาชนเริ่มท่วมท้นล้นโลกโซเชียลฯ มากขึ้นๆ ทางธนาคารกสิกรจึงยอมติดต่อขอคืนให้ 33 เปอร์เซ็นต์ จากเงินทั้งหมดที่หายไป แต่นั่นก็ยังไม่ใช่การออกมาแสดงความรับผิดชอบที่ควรจะเป็นที่สังคมตั้งตารออยู่ดี


[หมดความเชื่อถือ ลูกค้า K-Bank บางราย ขอถอนและปิดบัญชี เมื่อเห็นการออกมาแสดงความรับผิดชอบที่ไม่ประทับใจ]





          ระหว่างนี้ เริ่มมีลูกค้าของทางกสิกรไทยที่ทราบข่าว ทยอยออกมาแสดงจุดยืนออกมาอย่างชัดเจนว่า หมดความเชื่อมั่นในระบบความปลอดภัย และผิดหวังต่อการออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อลูกค้าที่ไม่ได้ทำผิดอะไร บางส่วนตัดสินใจเดินทางไปที่ธนาคารแล้วปิดบัญชี จากนั้นก็นำภาพหลักฐานมาโพสต์ส่งต่อเจตนารมณ์กันไปเรื่อยๆ

          ทางธนาคารคงเห็นท่าไม่ดีจึงออกมายื่นข้อตกลงกับเหยื่ออีกครั้งว่า จะจ่ายชดเชยให้ครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่ถูกทุจริตไป หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 493,350 บาท โดยให้เหตุผลว่าทางธนาคารมีระบบความปลอดภัยที่ดี ต้องให้ลูกค้ายืนยันตัวตนก่อนใช้บริการทุกครั้ง พร้อมแนะว่าทางลูกค้าควรเก็บข้อมูลส่วนตัวทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเอง เอาไว้ให้เป็นความลับสูงสุดเพื่อหลีกเลี่ยงต่อการถูกหลอกลวงเช่นนี้


[เรียกความน่าเชื่อถือกลับมาได้ หลังยอมจ่ายชดเชยเต็มจำนวน "986,700 บาท"]



          ล่าสุด หลังบทเรียนการสวมรอยผ่านช่องโหว่ของระบบในครั้งนี้ กลายเป็นประเด็นร้อนที่สื่อทุกช่องต่างช่วยกันส่องสปอตไลต์เข้าหา ทางธนาคารกสิกรไทย เจ้าของบัญชีที่เงินก้อนโตหายไป จึงยอมติดต่อขอรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมดแบบเต็มจำนวน 100 เปอร์เซ็นต์ ปรากฏการณ์การประณามความรับผิดชอบที่บกพร่องของธนาคารแห่งใหญ่ของประเทศจึงจบลงด้วยดี


ธนาคาร+ค่ายมือถือ ช่องโหว่จากความสะดวก!!



          ถ้าว่ากันตามหลักกฎหมายแล้ว ลูกค้าของธนาคารซึ่งเป็นผู้เสียหายจากกรณีนี้ ไม่จำเป็นต้องออกมาประท้วงอยู่บนท้องถนน เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ทรัพย์สินที่สูญไปของตัวเอง เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในกรณีนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะสิ่งเหล่านี้คือ “ความรับผิดชอบ” ของธนาคารแบบเต็มๆ อยู่แล้ว โดยที่ไม่อาจอ้างเหตุผลใดๆ ให้ไม่ต้องจ่ายชดเชยความเสียหายแบบไม่เต็มจำนวนได้ จากข้อมูลที่แฟนเพจ “กฎหมายอาสา แหล่งความรู้เพื่อประชาชนเพื่อความยุติธรรม” ช่วยอธิบายข้อมูลตรงจุดนี้เอาไว้อย่างชัดเจน

          “เรื่องนี้ ตามกฎหมายแล้ว ธนาคาร ถือว่าเป็นผู้ที่มีวิชาชีพเฉพาะ และควรจะใช้วิชาชีพอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะการเบิกเงินจำนวนเกือบ 1 ล้านบาท ยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากกว่าปกติ แต่กลับปล่อยให้โดนมิจฉาชีพหลอกไปได้ ไม่รู้ว่า มิจฉาชีพมีความเชี่ยวชาญ หรือเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของธนาคารกันแน่ ก็ต้องมาดูรายละเอียดกันว่าธนาคารใช้ความระมัดระวังเพียงพอหรือไม่ แต่มันก็ยังไม่สำคัญหรอก เพราะความสำคัญคือ เราจะได้เงินคืนหรือเปล่า

          กฎหมายกำหนดว่า ผู้รับฝากเงินไม่จำเป็นจะต้องคืนเงินอันเดียวกับที่ฝาก ผู้รับฝากเงินจะเอาเงินไปใช้ก็ได้ แต่ต้องคืนให้ครบจำนวน ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะเกิดเหตุสุดวิสัย ก็ยังต้องใช้เงินเต็มจำนวน แปลว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ธนาคารก็ต้องใช้เงินเต็มจำนวน เรียกว่าจะปฏิเสธไม่ได้เลย กฎหมายเขียนไว้ชัดเจนมากไม่ต้องตีความกันอีก ดังคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ผ่านมา พอจะเป็นบรรทัดฐานให้เราได้ศึกษากันได้



          จากฎีกา 2542/2549 โจทก์ฝากเงินไว้แก่จำเลย ต่อมามีบุคคลอื่นปลอมลายมือชื่อของโจทก์ ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ จำเลยกระทำโดยประมาทเลินเล่อ ยอมให้ถอนเงินไป ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ศาลพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินคืนให้โจทก์

          จากฎีกา 6708/2537 พนักงานธนาคารจ่ายเงินไปโดยประมาทเลินเล่อ ไม่ตรวจดูลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาทเทียบกับตัวอย่างลายมือชื่อให้ดีเสียก่อน ธนาคารต้องชดใช้เงินคืนให้ผู้ฝากเงิน”

          ลองมองย้อนกลับไปยัง “บทเรียนราคาเฉียดล้าน” ในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าช่องโหว่รูใหญ่ที่ก่อให้เกิดการสวมรอยได้อย่างแนบเนียน จนสามารถโกยเงินไปภายใน 1 วัน 1 คืนได้ ก็คือ “ความสะดวกสบาย” ที่ทั้งระบบธนาคารและเจ้าของสัญญาณเครือข่ายมือถือ มีให้ลูกค้าจนเกินงาม เพื่อเอาใจเหล่าผู้ใช้ยุคดิจิตอล ให้บริการต่างๆ วิ่งไวปรู๊ดปร๊าดได้ตามสะดวกใจ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อความฉับไวเหล่านั้นแฝงมาด้วย “มิจฉาชีพมหาภัย” ที่พร้อมจะมุดช่องโหว่จากความสะเพร่าได้ทุกวินาที


[เผยโฉมหน้าคนร้ายที่กล้องวงจรปิดของ "ทรู" จับไว้ได้]



          ...โอนเงินฉับไวแค่ปลายนิ้วสั่งคลิก ผ่านบริการ Internet Banking ทำธุรกรรมผ่านโลกออนไลน์โดยไม่ต้องพึ่งตู้เอทีเอ็มหรือรอต่อคิวที่สาขาธนาคารอีกต่อไป แค่มี username และ password ของผู้ใช้และท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจ การซื้อขายทุกอย่างก็สามารถเป็นไปได้ หรือถ้า “ลืมรหัสผ่าน” เรามีบริการเปลี่ยนรหัสให้ทันใจ แค่ต้อง “ยืนยันตัวตน” ผ่านโค้ดไม่กี่หลักที่ส่งเข้ามือถือซึ่งผูกกับบัญชีนี้เอาไว้ เท่านั้นก็เรียบร้อย...

          ไม่ต้องใช้เอกสารทางราชการใดๆ ประกอบการทำธุรกรรมให้มากมาย ถ้าอยากเปลี่ยนข้อมูล account ออนไลน์ที่ผูกกับเงินในบัญชีธนาคาร ก็สามารถทำได้ง่ายๆ แค่ต้องมี “รหัสที่ส่งเข้ามือถือ” มากรอกยืนยัน

          เมื่อมิจฉาชีพแก๊งนี้เห็นช่องโหว่จากความสะดวกในจุดนี้เท่านั้น จึงดำเนินการตามแผน เข้าล่อลวงเหยื่อในฐานะลูกค้าที่กำลังจะซื้ออุปกรณ์แต่งรถยนต์ ราคา 48,000 บาท อ้างก่อนโอนเงินขอให้ถ่าย “ภาพถ่ายบัตรประชาชน” ส่งผ่านเฟซบุ๊กส่งไปให้ดู พร้อมขอ “เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัว” เอาไว้ติดต่อ อ้างเพื่อให้รู้สึกอุ่นใจผู้ขายมีตัวตนจริง ก่อนจะตัดสินใจโอนเงินไปให้

          ถึงแม้ว่าครั้งนี้ เหยื่อจะมีความระแวดระวัง ถ่ายภาพโดยปิดเลขรหัสประชาชน 13 หลักส่งไปให้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังตามเล่ห์มิจฉาชีพไม่ทันอยู่ดีว่า “บาร์โค้ดบนแถบซ้ายบนบัตร” มันอันตรายยิ่งกว่าเสียอีก เพราะคนร้ายสามารถใช้แอปพลิเคชันสแกนค้นหารหัสเลขประจำตัวประชาชนที่แท้จริงของเหยื่อได้


[คนส่วนใหญ่ไม่ทราบ... รหัส 13 หลัก และ แถบบาร์โค้ดซ้ายมือ คือข้อมูลสำคัญ ควรเบลอภาพก่อนส่งไปให้ใคร]



-----มีต่อ-----
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่