[แชร์ประสบการณ์+ขอถาม] รพ.จุฬา เพราะใช้สิทธิรักษา ไม่มีเงินจ่ายเอง ต้องรอคนไข้ใกล้ตายถึงจะรักษาให้งั้นเหรอ

เนื่องจากได้ตั้งกระทู้เรื่องแบบนี้ครั้งแรก หากมีการแท็กห้องผิดรบกวนช่วยบอกกล่าวให้ด้วยจะได้ทำการแก้ไขค่ะ

ในการรักษานี้มีทั้งเรื่องดี และไม่ดีรวมกัน ไม่ว่าจะบริการจากแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ ซึ่งตอนนี้เราเจอปัญหาแก้ไม่ตก อยากแชร์ให้บางคนรู้ว่า จะเลือกโรงพยาบาลรักษาซักที่ ถ้าไม่มีเงินสำรองหรือประกันเกี่ยวกับค่ารักษา มันลำบากมากเหลือเกิน ทั้งคนไข้และครอบครัว

ที่เราเขียนละเอียดมาก เพราะว่าส่วนเล็กๆน้อยๆมันโยงกันหมดเลย อาจจะยาวมาก แต่ขอให้อ่านและพิจารณาตามความเหมาะสมด้วย ทั้งขอถามและขอระบายความรู้สึก

เป็นการรักษาของแม่เรา เดิมมีอาการอาเจียนอย่างหนักและปวดท้อง และทนเจ็บหน้าอกมาตั้งแต่4โมงเย็นแต่ไม่ยอมบอกใคร ต่อมาเช้าวันที่ 21มิ.ย.59 จึงไปที่รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ระหว่างรอตรวจ แม่บอกว่าเจ็บหน้าอกมาก หายใจลำบากมากขึ้น เราจึงไปตามพยาบาลให้มาช่วยดูอาการแม่ ปรากฎว่าแม่ป่วยด้วยโรคหัวใจอุดตันเฉียบพลัน ทางแพทย์ที่นั่นรีบส่งตัวมารักษาแบบฉุกเฉินที่รพ.จุฬา เพราะแม่มีประกันสังคมกับทางรพ.จุฬาทันที

เรานั่งรถพยาบาลไปกับแม่ด้วยตอนนั้น แม่เพลียและอ่อนแรงมากเต็มทีแล้ว เราก็ใจเสียอยู่ เจ้าหน้าที่ ที่รถพยาบาลบอกให้เราไปเดินเรื่องเอกสารเอง เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่ทำให้ จุดนี้เราเข้าใจ เพราะเคยมาใช้บริการก่อนหน้าสองสามครั้งพอทราบว่าต้องให้ญาติเดินเรื่องเอง แต่เราก็ไม่รู้ว่าต้องเดินไปตึกไหนยังไง ถามทางเจ้าหน้าที่ที่เดินผ่านไปมา เพราะเราไม่รู้จะไปถามใคร เท่าที่จำได้คนที่เราถามเป็นเภสัช อีกคนเป็นพยาบาลใช้น้ำเสียงกระแทก และตวาดใส่เรา อีกคนก็ตอบแบบขอไปที ชี้ๆไปตามทางเดินว่าห่องที่จะไปอยู่ทางนั้นๆ เราก็เดินไม่ถูกเพราะห้องที่ว่าจากทิศที่เราเดินมันอยู่หลบมุม แต่ถามเจ้าหน้าที่เวรเปล-รถเข็นบอกทางเราอย่างใจดี และสุภาพมาก เราไปทำเรื่องเอกสาร รวมนั่งรออยู่กว่าจะเสร็จก็ราวๆ 2ชม.กว่าเลยทีเดียว

โทรหาพ่อที่ตอนแรกบอกว่าจะขับรถตามมา พ่อวนหาที่จอดอยู่หลายตึกอย่างน้อย 7 รอบ บอกว่าพอได้ที่จอดขึ้นไปที่ตึก ส.ก.เขาก็เข็นแม่ใส่เตียงออกมา พาไปห้องดูอาการตอนประมาณเบ่ายโมงเห็นจะได้ โดยได้แพทย์ฝึกหัดในทีมที่เข้าร่วมในห้องผ่าตัด(ยังไม่มีใครได้เจอแพทย์ผ่าตัดหลัก/แพทย์เจ้าของคนไข้หลัก) บอกว่าได้ทำการสวนหัวใจ ทำบอลลูน และใส่ขดลวดเพื่อขยายหลอดเลือดแล้ว 1 เส้น เส้นที่ทำคือเส้นที่หลอดเลือดแตก ฉีกขาด มีลิ่มเลือด โดยยังเหลือเส้นที่ตีบอีก 2 เส้นต้องรอทำภายหลัง

วันต่อมา(22 มิ.ย.59) เราไปเยี่ยมแม่อีกครั้ง แม่เราถูกย้ายไปอีกชั้นโดยไม่ได้รับแจ้งมาก่อน ก็เป็นพทย์ฝึกหัดในทีมที่มาแจ้งว่าถ้าดูอาการแล้วไม่มีอะไร จะให้แม่กลับวันนี้เลยเพราะแม่เราอาการดีขึ้นแล้ว = =? ทางพวกเราก็งงมาก ไม่มีแจ้งก่อนเลย และแม่เราก็ยังอ่อนเพลียจากโรค และการทำสวนหัวใจเมื่อวานอยู่เลยนะแม้จะเคยมีทางญาติๆป่วยด้วยโรคหัวใจอุดตันหลายคนแต่เราไม่ทราบว่าต้องออกจากรพ.ในวันรุ่งขึ้น จึงรีบเตรียมหาเสื้อผ้า ไปจ่ายเงินค่าใช้จ่ายส่วนเกินแล้วรอแม่ตื่น ระหว่างรอพยาบาลที่ค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่บอกเราว่ามีปัญหาเรื่องเตียงเต็ม ถ้าไม่ออกเย็นนี้ เคยมีต้องโทรตามญาติตอนกลางดึกให้มารับคนไข้เพราะเตียงไม่พอมาแล้ว นอนที่นี่กับที่บ้านก็เหมือนๆกันแหละ

พวกเรารอจนเย็น ฟังเภสัชมาอธิบายเกี่ยวกับยาซึ่งค่อนข้างครบถ้วนทีเดียว เสร็จแล้วพอพยาบาลเปลี่ยนเวรเย็นนี่พูดจาไม่สุภาพเลย ตะคอกเสียงดังใส่แม่เราตอนพาแม่ไปห้องน้ำ เพราะต้องจับแม่เรานั่งรถเข็นไปแม่ไม่มีแรงจึงทิ้งตัวลงนั่ง เพราะไม่มีใครช่วยพยุงก็หาว่านั่งแรงทำไม แล้วก็ไปยืนเร่งแม่ที่หน้าห้องน้ำ เราเลยขอเข้าไปบอกว่าเดี๋ยวเราขอดูให้ ถ้าเสร็จแล้วหรือมีอะไรเพิ่มจะขอเรียกให้มาช่วยอีกที (ตอนแรกเราจะพาแม่ไปเองแต่พยาบาลไม่ให้ทำ คงเป็นเพราะว่าเป็นหน้าที่ของเขา แต่ทนเห็นแม่โดนด่าไม่ได้จริงๆ)

พาแม่กลับมาก็ได้ยารักษาเป็นพวกยาอมใต้ลิ้น ยาเกี่ยวกับละลายลิ่มเลือดมา 3 ตัว (หนึ่งในนั้นคือ วาฟาริน 3 mmg ทานทุกวัน) ยาลดไขมัน

และเราก็ไปตามนัดหลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อทำการเจาะเลือดและx-ray เป็นแพทย์อีกคนที่ตรวจ(ขอให้นามสมมติ หมอB)ดูอาการเบื้องต้นให้ โดยให้ปรับยาวาฟารินเป็นแบบ 5 mmg (ทาน5วัน เว้นเสาร์-อาทิตย์) นอกจากยาข้างต้น เราได้ยาฉีด(clexane)มา 10เข็ม เพื่อให้ฉีดแทนยาละลายลิ่มเลือดก่อนวันนัดสวนหัวใจครั้งที่2 (นัดหมายวันที่ 28 ก.ค.59) แต่พยาบาล ณ จุดที่เช็ครายละเอียดจากแฟ้มในเรื่องใบนัดกับใบสั่งยาไม่ได้บอกว่าเราต้องไปให้ห้องสอนแสดงการฉีดยาสอนให้(เพราะต้องฉีดยาให้คนไข้เอง) พร้อมกับต้องเอาแฟ้มประวัติไปให้ด้วย หลังจากที่เรารอยากันนานกว่า 2 ชม.ไปหาแฟ้มประวัติเขาก็เอาลงไปเก็บกันแล้ว พยาบาลผู้สอนที่ห้องแสดงจึงสามารถแนะนำได้ในเพียงเบื้องต้นจากตัวยาฉีดที่เราเพิ่งได้มาเท่านั้น (ไปรพ.ตั้งแต่ 6:00-16:00)



::: เลื่อนนัดครั้งที่ 1 :::

วันที่ 8 ก.ค.59 ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ทำนัดโรงพยาบาลแจ้งว่าต้องเลื่อทำนัด เพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับอุปกรณ์การรักษาทำให้ใช้ห้องไม่ได้ในวันนั้น แล้วทางเราถามว่าจะทำยังไงกับยาที่มีอยู่ไม่พอ เพราะยาเขาให้มาพอดีถึงวันผ่าตัดเท่านั้น และอาการแม่เราก็แทบจะไม่ดีขึ้นเลย นอกจาพอเข้าห้องน้ำเองได้บ้าง แต่ไม่สามารถขึ้น-ลงบันได หรือเดินได้ถึง50เมตรด้วยซ้ำ

ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าจะแจ้งทางห้องสวนหัวใจไว้ วันที่ 15 ก.ค.59 ให้ทางเราไปเบิกแฟ้มประวัติเอง และพาคนไข้ไปพบแพทย์เจ้าของไข้(หมอคนที่ผ่าตัดหลัก)เพื่อประเมินอาการ ทางฝ่ายนั้นจะแจ้งเวลาอีกทีว่าจะเจอแพทย์ได้เมื่อไร ก็ต้องหามพาคนป่วยไปรอหมอตั้งแต่ 6:30 รออยู่เกือบจะ 9โมง เจ้าหน้าที่ๆเราเอาแฟ้มไปให้บอกว่าหมอมีประชุมต้องรอบ่าย คนอื่นที่มารอหมอคนเดียวกันเหมือนกับเราก็นั่งเฟลกันไปอีก

ระหว่างนั้นเราถือโอกาสออกไปทำธุระที่ธนาคารแถวนั้น พ่อแม่โทรมาบอกว่ากำลังพบหมออยู่ //งงจริง ไหนบอกบ่าย ตอนนี้พบได้ซะงั้น ถึงเราจะรีบใส่เกียร์เร่ง ก็กลับมาก็ไม่ทันเจอหมอแล้ว และหมอหลักคนนี้ก็ตรวจแม่เราแล้ว และให้ยาเพิ่มซึ่ง "เป็นยาตัวเดิมทั้งหมด" (ยกเว้นยาฉีดที่ไม่ต้องให้เพิ่ม)

แม่บอกว่าหมอถามว่าทำไมต้องมาพบผมวันนี้ วันที่นัดคุณทำครั้งที่2ผมว่าง ผมไม่ได้เลื่อนนัด จุดนี้แม่เราก็บอกว่ามีคนโทรมาเลื่อนนัด เห็นหมอเช็คดูในคอมถึงรู้ว่าเลื่อนนัดเพราะอะไร(เจ้าหน้าที่กับหมอไม่ได้คุยกัน? ไม่มีการแจ้งหมอด้วยเหรอ?) และจากนั้นเราก็ต้องเบิกแฟ้มประวัติไปทำเรื่องเลื่อนนัดอีกที

กลายเป็นว่าเดิมนัดทำสวนหัวใจครั้งที่ 2 วันที่ 28 ก.ค.59 เลื่อนไปเป็น วันที่ 2 ก.ย.59 แทน


::: คงเป็นการพิจารณาของหมอคนก่อน ถึงไม่ได้ให้ยาอื่นเพิ่ม :::

ต่อมาอีกราวๆ 2 สัปดาห์ หลังจากมีการเปลี่ยนเป็นยาวาฟาริน 5 mmg แม่บอกว่าเริ่มมีอการได้ยินเสียงดังคร่อกแคร่กจากช่วงอก เป็นหนักมากในช่วงกลางคืนนอนไม่ได้เลย และจะมีอาการเจ็บหน้าอกมากในช่วงที่เริ่มทานยาวาฟารินใหม่ในช่วงวันจันทร์(หมอB ให้หยุดยาวาฟารินเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ และหมอหลักก็ไม่ได้สั่งแก้ไข/เพิ่มยาตัวอื่น แค่เพิ่มจำนวนยาให้เท่านั้น)จึงตัดสินใจพาแม่ไปแผนกฉุกเฉินของรพ.จุฬา

เราไปกับน้องชายถึงประมาณ 11:00น. รอหมอ พยาบาลรุมตรวจ ไปยื่นขอx-ray เราแบกยาทั้งหมดที่ได้มาให้หมอเวรฉุกเฉินดู เขาบอกว่าแม่มีอาการน้ำท่วมปอด เพราะเป็นผลจากยาละลายลิ่มเลือดที่ทาน และคนไข้โรคหัวใจอุดตันก็จะมีอาการแบบนี้ได้เหมือนกัน(ญาติที่เรารู้จักและเป็นโรคนี้ก็เคยมีน้ำท่วมปอด) ต้องให้ยาขับปัสสาวะแล้วรอดูอาการก่อน

เราเลยถามว่าถ้างั้นก็หมายความว่าหมอก่อนหน้าต้องรู้อยู่แล้วสิว่าถ้าทานยาละลายลิ่มเลือดนานๆจะมีอาการน้ำท่วมปอดเกิดขึ้นได้ ทำไมไม่ให้ยาขับปัสสาวะมาก่อน ต้องรอคนไข้มีอาการแล้วพามาฉุกเฉินอย่างนี้งั้นเหรอ?

"อาจเป็นเพราะดูจากอาการคนไข้ก่อนหน้าแล้วไม่มีอะไร หมอท่านก่อนเลยไม่ได้ให้ยาเพิ่ม" หมอฉุกเฉินบอกเราแบบนี้ คือหมอคนก่อนไม่ผิด คนไข้ผิดที่ไม่มีอาการให้หมอเห็น เลยไม่ให้ยา ถึงเป็นประกันสังคมก็จ่ายเงินให้นะ ไม่ได้ขอฟรีๆ ที่ต้องพาคนป่วยหมดเรี่ยวแรงมาหานี่กี่รอบแล้ว

แถมพอเราไปยื่นเรื่องเดินเอกสาร และขอแฟ้มประวัติไปที่ฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ก็เสียงสูงใส่เราเลย บอกว่าดูจากระบบเบิกแฟ้มไปเองก่อนหน้านี่ เบิกไปที่ไหน เราก็บอกว่าเบิกไปที่ห้องสวนหัวใจ ให้หมอดูอาการและไปทำเลื่อนนัดสวนหัวใจเมื่อวันที่ 15 ก.ค.59 ที่ผ่านมา ก็ยังเสียงสูงต่อว่าไปไว้ที่ไหนไปเอามาเอง คือแฟ้มของโรงพยาบาลเก็บนะ ไม่ใช่เราเก็บ ถึงเบิกเองก็เอาไปเดินเรื่องไม่ได้เอากลับบ้าน นี่หน้าที่ฉันรึเนี่ย? ถามกลับก็บอกว่าต้องไปหาเอามาเอง

ถามอาการหมอ แม่เราไม่ได้ทานอะไรแต่เช้าจนนี่บ่ายแล้ว หมอบอกไปหาซื้อของกินให้มาทานได้ก็จัดให้ สีหน้าตอนนี้ไม่ดำคล้ำเหมือนตอนขามาแล้ว คนไข้ฉุกเฉินก็เข้ามาไม่ขาดสาย พยาบาลไม่ว่างพอ ต้องดูคนไข้กันเอาเอง หมอก็ไม่ว่าง ไม่มีใครบอกว่าคนไข้กับญาติจะต้องทำอะไรกันต่อ พอเราว่างจึงรีบไปหาแฟ้ม ปรากฎยังอยู่ที่ห้องทำนัดเหมือนเดิม ก็ยังดีที่ไม่ต้องเดินหาที่อื่นอีก ก็เอาแฟ้มไปให้แผนกฉุกเฉิน

ไปถามเป็นระยะๆก็ยังไม่ได้ความว่าต้องทำอะไรต่อบอกให้ไปรอ จนเขาเปลี่ยนเวรเย็นก็บอกว่าดูอาการก่อน มานั่งนอนรอจนทุ่มกว่าไปถามหมอเวรฉุกเฉินช่วงเย็นเขาบอกว่าขอดูรายละเอียดก่อนเพราะหาแฟ้มไม่เจอ //แฟ้มที่เราไปหามาให้ไปไหนล่ะ?! รอสักพักก็บอกเหมือนเดิมว่าต้องรอดูอาการก่อน วันนี้คนไข้เยอะมาก เตียงไม่พอ ปกติอย่างน้อยต้องย้ายแม่ไปอีกห้องแต่ก็เต็ม ตอนนี้ต้องรอเตียงว่าเรียงตามคิว ตามสิทธิ เพิ่งเข้ามาเมื่อเย็นนี้ใช่มั้ย เราบอกมาตั้งแต่ 11โมงแล้ว ไม่ได้ความคืบหน้าอะไรเลยนอกจากบอกให้รอเลยนะ หมอก็บอกได้แค่ว่าต้องรอเท่านั้น

เราก็นั่งนอนรอกันสองคนเฝ้าอยู่ข้างๆแม่ คอยเปลี่ยนแพมเพิร์ส เพราะตอนแรกบอกให้ตวงวัดปัสสาวะคนไข้ แต่ใส่สายอ็อกซิเจนอยู่ไม่ให้ลุก (เอาจริงๆแม่ก็ลุกไม่ไหว แค่ลุกขึ้นนั่งบนเตียงยังไม่ได้) เราต้องหากระโถนมาให้ แต่ก็ไม่มีถ้วยตวงให้อีก เลยต้องมานับครั้งแล้วใส่แพมเพิร์สแทน กะว่ารอจนสามทุ่มคงต้องกลับกันแล้ว มีเสียงประกาศเรียกให้ญาติคนไข้ไปเอายา และจ่ายเงิน 0.0 คือถ้าญาติไม่อยู่แล้วล่ะ? ไปนั่งรอยา จ่ายเงินเสร็จบอกดให้ญาติกลับได้ ส่วนคนไข้ย้ายไปแล้วหรือยังไงจะแจ้งอีกที วันนั้นนั่งมองนาฬิกาตอนขึ้นรถกลับ จำได้เลย 3ทุ่ม 27 นาที นานที่สุดที่เคยอยู่รพ.ในสถานะญาติเลยล่ะค่ะ

จากนั้นให้แม่อยู่ดูอาการรวมที่มาฉุกเฉินสามวันก็กลับ คราวนี้มียาขับปัสสาวะมาให้ละ มีบอกให้จำกัดน้ำด้วย ตอนนี้ก็ทำตามปกติ



::: เลื่อนนัดครั้งที่2 :::

ตอนนี้ แม่แข็งแรงขึ้นกว่าตอนแรกแน่ แต่เทียบกับคนปกติ ยังไงก็ยังหน้าเป็นห่วง มีอาการเหนื่อยง่ายมากขึ้น และอาการบวมน้ำแม้ว่าเราช่วยกันจำกัดน้ำอย่างเคร่งครัดแล้วก็ตาม

วันนี้(22 ส.ค.59) โทรมาเลื่อนนัดบอกหมอไม่อยู่ นัดทำสวนหัวใจครั้งที่ 2 เดิม วันที่ 2 ก.ย.59 ขอเลื่อนไปอีกเป็นวันที่ 5 ต.ค.59 แทน เป็นคนล่ะคนกับที่เราคุยตอนเลื่อนนัดครั้งแรก เราไม่พอใจแน่เพราะคนป่วยไม่ได้อาการดีนักอยู่แล้ว และเดิมแม่มีอาการเกี่ยวกับต้อในตา แล้วไปตรวจตามนัดเมื่อวันที่ 11 ส.ค.59 ที่ผ่านมา หมอบอกว่าดูแล้วน่าจะมีอาการเส้นเลือดฝอยในตาอุดตัน เพราะผลจากยาละลายลิ่มเลือด จะต้องให้หมอจอประสาทตาเช็คให้อีกทีประมาณหลังทำสวนหัวใจครั้งที่2 แล้วนี่มาเลื่อนออกไปอีกเดือน

พอเราจะถาม เจ้าหน้าที่ขึ้นเสียงสูง พยายามพูดรัวๆไม่เปิดช่องให้เราพูด บอกว่าก็หมอเลื่อนนัดมา ต้องทำตามหน้าที่ แต่เสียงนี่ไม่มีความเต็มใจจะคุยตามหน้าที่เลย และตัดสายจากเราไป มีโทรไปคุยกับทางแม่หาว่าเราวีนใส่(อันนี้ให้ถูกครึ่งนึงเลย เพราะวีนตอนหลังจากที่ขอเลื่อนนัดเร็วขึ้นก็ไม่ได้อีก ยอมรับผิดตรงนี้) แล้วพ่อเราที่ตอนนั้นนั่งคุยกับแม่ก็บอกว่าเสียงเจ้าหน้าที่ๆโทรมานี่พอๆกับที่เคยได้ยินลูกวีนเลยล่ะนะ คือไปวีนใส่แม่เราซึ่งเป็นคนไข้อีกทีนี่คือเจ้าหน้าที่ทำกันว่างั้น และก็ไม่เลื่อนนัดอะไรให้ โทรมาแจ้ง จบ.

สรุป รวมๆแล้ว 3 เดือนที่ต้องนั่งรอความตาย เดิมทุกคนก็รอความตายขยับมาหากันอยู่แล้วล่ะ แค่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไร ในแบบไหน ถ้าไม่หมดอาลัยตายอยากยังไงก็ต้องนั่งหาทางดิ้นรนกันต่อไป
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ความคิดเห็นที่ 3
นี้คือปัญหาของความคาดหวังว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ เมื่อมา รพ.ใหญ่ระดับศิริราช รามา จุฬา
เพราะทุกคนต่างอยากได้และคาดหวัง จึงมุ่งหน้าไปทั้งสาม รพ.
ในขณะที่ทั้งสาม รพ.ก็มี ทรัพยากรที่จำกัด แล้วต้องมารองรับความคาดหวังแบบนี้
คุณก็ต้องทราบว่าคุณก็ต้องรับความเสี่ยง ที่อาจไม่ได้ตามความคาดหวัง
ทางบุคลากรของ รพ.ก้ได้ให้ตามสมควรด้วยศักยภาพและสภาพปัญหา ข้อแม้ ข้อจำกัดที่เกิดขึ้นแล้ว
เมื่อ รพ.ไม่อาจตอยสนองความต้องการที่มากเกินไปของคุณได้ เพราะขีดจำกัด
มันก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะมาเรียกร้องให้มากกว่าที่ รพ.จะทำให้คุณได้
จะบอกว่าถ้าต้องทำอย่างที่คุณคาดหวัง คุณคงต้องไป รพ.กรุงเทพ หรือบำรุงราษฏร์
ซึ่งแน่นอนด้วยโรคที่คุณบอกมา คุณต้องเตรียมเงินสัก 2-3 ล้านบาท
คุณพร้อมจะจ่ายให้จุฬาหรือเปล่า ถ้าไม่พร้อมก็หยุดความคาดหวังและการเรียกร้องคุณด้วยน่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่