ตอนแรกกะว่าจะตั้งกระทู้นี้ตอนวันครบรอบ 1 ปี แต่วันก่อนเพื่อนส่งรูปนี้มาให้ดู
เป็นทวีตของคุณ แคน สาริกา
https://twitter.com/can_nw/status/766659717624045568
ผมเลยคิดว่า...ถ้ารอให้ถึงวันนั้นจริง ๆ อาจจะมีคนต้องประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับพวกผม
ไม่พูดพล่ามทำเพลง เริ่มเลยละกัน
**เนื้อหาต่อไปนี้ เอามาจากบล็อกของผมที่เขียนไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว (9 ตุลาคม 2558) ข้อมูลบางอย่างอาจล้าสมัยไปแล้วนะครับ**
==================================================================
เมื่อต้นเดือนกันยาที่ผ่านมาผมได้ไปเที่ยว วังเวียง สปป.ลาว กับเพื่อน ๆ มาครับ แผนที่วางไว้คือ…ออกเดินทางเช้าวันที่ 5 กันยา ไฟลท์ตี 5.55 (เลขสวยจริง) กลับ 8 กันยา ไฟลท์ 2 ทุ่ม 25
วันที่ 5 กันยายน 2558
เรานัดกันประมาณตี 3 ครึ่ง ที่สนามบินดอนเมือง รีบไป กลัวคนจะเยอะ ไปถึงสนามบินประมาณตี 4 นิด ๆ คนยังไม่เยอะเท่าไหร่ เราก็เลยรีบไปโหลดกระเป๋าก่อนที่ทัวร์จีนจะมา เดินถึงเคานเตอร์ชิลล์ ๆ มองออกไปข้างนอก…โอ้โห ถ้าช้ากว่านี้นิดนึงต่อคิวยาวแน่นอน
จากนั้นก็เดินเข้าไปหาอะไรกิน + นั่งรอที่เกท
ระหว่างรอเครื่องขึ้น (ขโมยรูปนี้มาจากเพื่อน)
ถึงสนามบินอุดรประมาณ 7 โมงนิด ๆ ก็รีบเดินทางไป บขส. เพื่อไปซื้อตั๋วไปวังเวียง โดยเราเดินทางไป บขส. ด้วยรถแท็กซี่ ค่าโดยสารคนละ 80 บาท รถไปวังเวียงมีรอบเดียวคือรอบ 8 โมงครึ่ง ถ้าพลาดรอบนี้ก็ต้องไปลงเวียงจันทน์ก่อนแล้วค่อยหารถต่อไปวังเวียงอีกที
หลังจากเสียเงินค่าตั๋วคนละ 325 บาท เราก็ไปหาข้าวเช้าแถว ๆ บขส. กินกัน ต้องกินให้อิ่มก่อนเดินทางไกล 200 กว่าโล แต่นาน 7 – 8 ชั่วโมง (ถ้าเวลาเหลือ หาซื้อเสบียงไว้ก่อนก็ดีครับ เพราะของกินที่ลาวค่อนข้างแพง)
เวลาประมาณ 8 โมงครึ่ง เราก็ออกเดินทางไปวังเวียง หลังจากรถออกสักพักพนักงานบนรถก็เอาเอกสารมาให้กรอก จริง ๆ จะเรียกว่าเป็นตั๋วก็ได้ เป็นกระดาษใบเล็ก ๆ ยาว ๆ 2 ใบให้กรอกข้อมูลสำหรับออกนอกประเทศไทยและเข้าประเทศลาว (ใช้เข้า-ออก ไทย ลาว ใบนึงของไทย ใบนึงของลาว) เขาให้เขียนบนรถระหว่างเดินทางก่อนถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองเลยจะได้ไม่ต้องไปเสียเวลากรอกอยู่หน้าด่านอีก
ประมาณ 10 โมง ก็ถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย เราก็ลงรถไปยื่นเอกสารสำหรับออกนอกประเทศพร้อมพาสปอร์ต
จากนั้นก็กลับขึ้นรถเดินทางกันต่อ
เดินทางข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวพักนึง ก็มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองของลาว เราก็ลงรถไปยื่นเอกสารสำหรับเข้าประเทศและพาสปอร์ต พร้อมกับซื้อบัตรเข้าประเทศลาว มูลค่า 48 บาท (เหมือนบัตร BTS) เราสามารถแลกเงินที่นี่ได้เลย แต่ถ้าคนเยอะเกินก็ไปแลกที่วังเวียงแทน (แต่ถ้าไปวันหยุดธนาคารไม่เปิดก็ไปหาแลกตามร้านรับแลกเงิน ซึ่งเรทจะต่างจากธนาคาร หรือว่าจะใช้เงินไทยก็ได้บางร้านเขารับเงินไทย)
***แนะนำว่าเข้าห้องน้ำไว้ก่อนก็ดี เพราะบนรถไม่มีห้องน้ำ และอีกนานมากกว่าจะจอดพัก***
เดินทางมาได้สักพัก…พักใหญ่ ๆ มาก น่าจะอยู่แถว ๆ Phônhông ก็ได้จอดพักกันสักที จุดพักก็มีของกินหลายอย่างขาย ไม่ว่าจะเป็น เฝอ, ขนมปัง Baguette, ข้าวจี่, ซาลาเปา หรือแม้แต่ของกินจากไทยหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น มาม่า, นม, ชาเขียว และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งราคาก็ค่อนข้างจะสูงกว่าที่ไทยพอสมควร นอกจากนั้น เข้าห้องน้ำยังต้องเสียเงินด้วย (จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่)…ซึ่งห้องน้ำ โคตรห่วย เอาเงินที่ได้ไปปรับปรุงบ้างมั้ย
หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปวังเวียง
ประมาณบ่าย 3 กว่า ๆ เราก็มาถึงวังเวียง รถทัวร์เขาจะจอดที่ท่ารถ(?)ที่อยู่ชานเมือง(?)แล้วเขาจะมีรถตู้พัดลมพาเข้าไปส่งในตัวเมืองอีกที (ดูจากถนนแล้ว รถทัวร์ไม่สามารถเข้าไปได้ ทั้งเล็ก ทั้งขรุขระ) ถ้าใครได้จองที่พักไว้ก่อนล่วงหน้าสามารถบอกพี่คนขับรถตู้ให้ไปส่งหน้าที่พักได้เลย แต่ถ้าใครไม่ได้จองที่พักไว้ก่อนเขาจะไปส่งหน้าที่พักแห่งนึง (จำชื่อไม่ได้)
จากนั้นเราก็เดินทางหาที่พักกัน ระหว่างทางเราก็หาแลกเงินกันก่อน ที่แลกเงินสามารถหาได้ง่ายเรียกได้ว่าสามารถแลกที่ร้านขายของชำแทบทุกร้าน แต่เรทไม่ดีเท่าแลกที่ธนาคาร ก็ลองเดิน ๆ หาดูกันได้
หลังจากแลกเงินเสร็จ เราก็เดินกันต่อ ลงไปแถว ๆ ริมแม่น้ำซอง ซึ่งเพื่อนดูรีวิวที่พักมาแล้วมันเลยว่าจะเอาที่พักบริเวณริมน้ำ
เดินมาสักพัก ก็เห็นป้ายของที่พักที่เพื่อนมันเล็งไว้ (แล้วไหนตอนแรกบอกว่าจะมาเดินหาเอาดาบหน้า) เดินเข้ามาในซอยเล็ก ๆ ก็เจอสะพาน ปลายสะพานมีทางแยก 2 ทาง
เราก็แยกกันไปถามราคาของแต่ละที่ สรุปว่าเราเอาที่พักที่อยู่ทางด้านซ้าย ซึ่งก็คือ “ริเวอร์วิว บังกะโล” (ข้อมูลเพิ่มเติม ผู้อ่านสามารถกูเกิ้ลหาได้นะครับ)
โดยบังกะโลนี้จะตั้งอยู่เกาะกลางสันดอนแม่น้ำซอง ซึ่งจะมีห้องพัก 2 ฝั่งคือ ฝั่งที่หันหน้าเข้าฝั่งกับห้องที่หันหน้าเข้าแม่น้ำซอง เราก็อยากได้อารม์แบบเดินออกมาหน้าห้องก็ได้ซึมซับบรรยากาศขุนเขาหลังแม่น้ำซองเลยเลือกฝั่งที่หันหน้าเข้าแม่น้ำซอง แต่…ห้องที่อยู่ชั้นบนเต็มหมดแล้ว เหลือแค่ 2 ห้องที่อยู่ข้างล่าง (ห้องพักของที่นี่จะเป็นหลัง ๆ หลังนึงมี 2 ห้องยกพื้นสูง จะมีแค่ 2 ห้องนี้เท่านั้นที่อยู่ติดพื้น)
พอเข้าไปในห้องก็สัมผัสได้ถึงความอับเนื่องจากน้ำท่วมเมื่อตอนต้นเดือนสิงหา แต่พอเปิดห้องเปิดแอร์สักพักก็ดีขึ้นแต่ก็ยังไม่หายอับ พยายามเปิดพัดลมดูดอากาศเปิดยังไงก็ไม่ติดเลยไปเรียกพนักงานมาดู ปรากฏว่าพนักงานมาดูแล้วก็ไปเอาพัดลมดูดอากาศอันใหม่มาเปลี่ยนให้เลย เปิดพัดลมดูดอากาศสักพักกลิ่นอับก็หายไป (หรือจริง ๆ แล้วจมูกเราชิน)
รอแดดร่มลมตกประมาณ 5 โมงกว่า ๆ เราก็ออกมาหาข้าวกินกัน เดิน ๆ สักพักก็เจอร้าน "ซนะซัย" (ชนะชัย) ขายอาหารตามสั่งหลากหลายแนว ลาว ไทย จีน ฝรั่ง มีหมด อาหารมื้อแรก(อย่างเป็นทางการ)ที่ลาว…ผมเลยขอจัด……..สปาเกตตี้ คาโบนาร่า – –
รสชาติก็พอได้อยู่ แม้ว่าชีสอาจไม่เข้มข้น เส้นอาจไม่เหนียวนุ่มเท่าที่กินอยู่ไทย ราคาก็ประมาณเกือบร้อยบาทพอ ๆ กับที่ไทย จากนั้นก็ใช้แอป WONGNAI เสิร์ชหาของหวานกินต่อ (ที่ลาวยังใช้ WONGNAI ได้ มีคนไทยไปรีวิวร้านอาหารที่นั่นอยู่) ก็ไปเจอร้าน "โรตี(เจ้าเก่า)" ซึ่งอยู่ตรงข้ามร้าน ซนะซัย ราคาแผ่นละ 40 บาท แต่รสชาติ….โรตีแผ่นละ 10 บาท ตามรถเข็นหน้าเซเว่นบ้านเรายังอร่อยกว่าอีก
ป้ายเมนูหน้าร้านโรตี (ขโมยรูปของเพื่อนมาอีกแล้ว)
จากนั้นเราก็เดินไปหาที่จองทริป One-Day Trip กัน เราจองทริปที่ “ริเวอร์ไซด์………(อะไรสักอย่าง จำไม่ได้ อยู่ข้างหลวงพระบางเบเกอรี่)” ค่าเสียหายตกคนละประมาณ 600 บาท กำหนดการคร่าว ๆ คือ เจอที่ร้าน 9 โมงเช้า ไปเที่ยวถ้ำลอด แล้วก็น้ำตก จากนั้นก็พายเรือคายัคตามแม่น้ำซอง (หรืออาจจะเปลี่ยนมานั่งห่วงยางระหว่างทาง) จากนั้นก็ไปบลูลากูน โดยมีบุฟเฟต์ให้กินเป็นมื้อเที่ยง (ถ้าจำไม่ผิดนะ)
จากนั้นก็เดินกลับที่พัก อาบน้ำนอนประมาณ 4 ทุ่มกว่า…
วันที่ 6 กันยายน 2558
เวลาประมาณตี 5 ครึ่ง
ได้ยินเสียงเคาะประตู “ก๊อก ก๊อก ก๊อก” ตื่นขึ้นมางัวเงีย ๆ คิดในใจ “เพื่อนมันมาปลุกไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นป่ะวะ” แต่ด้วยอารมณ์ขี้เกียจลุกเลยหลับตาจะนอนต่อทำเป็นไม่สนใจ แต่เพื่อนชื่อ “อั้ม” (นามสมมติ) ลุกขึ้นจะไปเปิดประตู พอก้าวลงจากเตียง เสียงดัง
“จ๋อม”
“เฮ้ย น้ำท่วม” อั้มตะโกน
จากกำลังง่วง ๆ ตื่นขึ้นทันที แล้วมองไปที่พื้นห้อง
“เห้”
พอได้สติก็คิดขึ้นมาได้ว่าชาร์จแบทกล้องไว้อยู่นี่หว่า เลยเอื้อมมือไปที่ปลั๊กที่หัวเตียง ดึงสายชาร์จออกแล้วยกกล้องขึ้นมาจากน้ำ (เหมือนที่นี่น้ำจะท่วมบ่อย รูปลั๊กเลยอยู่ซะสูงเชียว)
จากนั้นก็ลงจากเตียง น้ำท่วมสูงประมาณหน้าแข้งเดินไปห้องเพื่อน (น้ำข้างนอกสูงประมาณหัวเข่า) เคาะประตูสักพัก เพื่อนก็ออกมาเปิดประตูด้วยความตกใจ (ได้ยินเสียงมันโวยวายตั้งแต่ตอนมันตื่น) แล้วผมก็กลับมาเก็บของที่ห้องต่อ
เนื่องด้วยในห้องไม่มีโต๊ะหรือที่วางของให้วาง เราเลยวางสัมภาระไว้บนพื้นกันหมด คว้าอะไรได้ก็จับไปวางไว้บนเตียงก่อน ไม่สนใจแล้วว่าเตียงจะเปียกมั้ย เพราะมันไม่มีที่วางแล้วจริง ๆ จากนั้นพนักงานก็เดินเข้ามาในห้อง แล้วก็ยกทีวีออกไปแล้วก็เปิดประตูเข้า ๆ ออก ๆ อยู่นั่น ไอ้เราก็อุตส่าห์เปิดหน้าต่างให้เข้าออกก็ไม่เข้ากลัวของลอยออกไป สักพักเขาก็ให้เราขนของ (ที่เปียกน้ำหมดแล้ว) ขึ้นไปบนชั้น 2
เราก็เอาของทุกอย่าง โดยเฉพาะกล้องออกมาตาก (แต่ดูจากสภาพแล้ว ไม่น่ารอด) ไว้ระเบียงหน้าห้องชั้น 2
สภาพของน้ำหน้าห้อง
จากนั้นสักพักพนักงานก็เอาอาหารเช้ามาให้เรา เป็นแซนวิชขนมปัง Baguette แล้วก็น้ำดื่ม เป็นถุงยังชีพช่วยผู้ประสบภัย
เขาบอกว่าเมื่อคืนฝนตกหนักมาก แล้วน้ำป่ามาตอนตี 5 เขามาปลุกแล้วแต่เราไม่ตื่นกัน แต่พวกเราไม่มีใครรู้เรื่องกันเลยจนเขามาปลุกอีกรอบนี่แหละ
พอเจ้าของห้องชั้น 2 เช็คเอาท์แล้วเราก็เข้าไปยึดห้องเอาของทุกอย่างไปตากบนเตียงเปิดพัดลมใส่ เอาเสื้อผ้าส่วนนึงที่จะใส่วันนี้ไปให้เขาซักให้ก่อน จากนั้นก็เอาที่เหลือไปให้เขาซักให้อีกรอบ
ระหว่างที่รอเสื้อผ้าแห้งเราก็จัดการซักกระเป๋าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋าเสื้อผ้า กระเป๋ากล้อง และกระเป๋าขากล้อง ส่วนเพื่อนอีก 2 คนก็ไปจัดการยกเลิก One-day Trip ที่จองไว้ พร้อมกับไปแจ้งความกับตำรวจไว้เพื่อลงบันทึกว่าเราโดนประสบภัยพาสปอร์ทเสียหาย
เรื่องยกเลิกทริป สรุปว่า เราไปยกเลิกทริปช้าไปเลยได้เงินคืนแค่ครึ่งเดียว แต่ได้ข้าวกล่องกลับมา...ก็ยังดี
สภาพของอุปกรณ์ถ่ายรูปของพวกเรา
เรื่องแจ้งความ…ตำรวจก็มาดูสถานที่เกิดเหตุ เจ้าของที่พักก็อยู่ด้วยเลยลองถามดูว่ามีค่าชดเชยอะไรให้มั้ย สรุปว่าเขาจะคืนเงินค่าที่พักทั้งหมดที่นอนไปเมื่อคืนก็ไม่คิด แต่ไม่สามารถชดเชยค่าเสียหายอะไรได้เพราะมันเป็นอุบัติเหตุเขาก็ไม่รู้เหมือนกันแล้วก็ยืนยันว่ามาปลุกเราแล้ว แต่เราไม่ตื่นกันเอง – –
สรุปความเสียหายคร่าว ๆ ตอนนั้น
กล้อง
- SONY NEX-5R
- FUJI X-E1
- FUJI X-T1
- OLYMPUS OM-D E-M5
- กล้องคอมแพคท์กิ๊กก๊อก
เลนส์
- SONY SELP1650, SEL50F1.8, SEL55210
- FUJI 18-55
- FUJI 18-135, 27 F2.8
- OLYMPUS KIT 12-40
โทรศัพท์
- iPhone 5
- Samsung Duos
- Samsung Hero
และอื่น ๆ อีกมากมาย
ระหว่างรอน้ำแห้ง + ของแห้งเราก็นั่งดูทีวี…ดูทีวีช่องไทยนี่แหละ ช่องลาวไม่ค่อยชัด เอาจริง ๆ อยู่ลาวนี่แทบทุกบ้านเขาดูทีวีช่องไทยกัน หาได้น้อยมากที่จะดูช่องของลาว ไปไหนก็เห็นเขาเปิดช่องไทยกันหมด
Vang Vieng First Time : วังเวียงครั้งแรก กับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครอยากเหมือน
เป็นทวีตของคุณ แคน สาริกา https://twitter.com/can_nw/status/766659717624045568
ผมเลยคิดว่า...ถ้ารอให้ถึงวันนั้นจริง ๆ อาจจะมีคนต้องประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับพวกผม
ไม่พูดพล่ามทำเพลง เริ่มเลยละกัน
**เนื้อหาต่อไปนี้ เอามาจากบล็อกของผมที่เขียนไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว (9 ตุลาคม 2558) ข้อมูลบางอย่างอาจล้าสมัยไปแล้วนะครับ**
==================================================================
เมื่อต้นเดือนกันยาที่ผ่านมาผมได้ไปเที่ยว วังเวียง สปป.ลาว กับเพื่อน ๆ มาครับ แผนที่วางไว้คือ…ออกเดินทางเช้าวันที่ 5 กันยา ไฟลท์ตี 5.55 (เลขสวยจริง) กลับ 8 กันยา ไฟลท์ 2 ทุ่ม 25
วันที่ 5 กันยายน 2558
เรานัดกันประมาณตี 3 ครึ่ง ที่สนามบินดอนเมือง รีบไป กลัวคนจะเยอะ ไปถึงสนามบินประมาณตี 4 นิด ๆ คนยังไม่เยอะเท่าไหร่ เราก็เลยรีบไปโหลดกระเป๋าก่อนที่ทัวร์จีนจะมา เดินถึงเคานเตอร์ชิลล์ ๆ มองออกไปข้างนอก…โอ้โห ถ้าช้ากว่านี้นิดนึงต่อคิวยาวแน่นอน
จากนั้นก็เดินเข้าไปหาอะไรกิน + นั่งรอที่เกท
ถึงสนามบินอุดรประมาณ 7 โมงนิด ๆ ก็รีบเดินทางไป บขส. เพื่อไปซื้อตั๋วไปวังเวียง โดยเราเดินทางไป บขส. ด้วยรถแท็กซี่ ค่าโดยสารคนละ 80 บาท รถไปวังเวียงมีรอบเดียวคือรอบ 8 โมงครึ่ง ถ้าพลาดรอบนี้ก็ต้องไปลงเวียงจันทน์ก่อนแล้วค่อยหารถต่อไปวังเวียงอีกที
หลังจากเสียเงินค่าตั๋วคนละ 325 บาท เราก็ไปหาข้าวเช้าแถว ๆ บขส. กินกัน ต้องกินให้อิ่มก่อนเดินทางไกล 200 กว่าโล แต่นาน 7 – 8 ชั่วโมง (ถ้าเวลาเหลือ หาซื้อเสบียงไว้ก่อนก็ดีครับ เพราะของกินที่ลาวค่อนข้างแพง)
เวลาประมาณ 8 โมงครึ่ง เราก็ออกเดินทางไปวังเวียง หลังจากรถออกสักพักพนักงานบนรถก็เอาเอกสารมาให้กรอก จริง ๆ จะเรียกว่าเป็นตั๋วก็ได้ เป็นกระดาษใบเล็ก ๆ ยาว ๆ 2 ใบให้กรอกข้อมูลสำหรับออกนอกประเทศไทยและเข้าประเทศลาว (ใช้เข้า-ออก ไทย ลาว ใบนึงของไทย ใบนึงของลาว) เขาให้เขียนบนรถระหว่างเดินทางก่อนถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองเลยจะได้ไม่ต้องไปเสียเวลากรอกอยู่หน้าด่านอีก
ประมาณ 10 โมง ก็ถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย เราก็ลงรถไปยื่นเอกสารสำหรับออกนอกประเทศพร้อมพาสปอร์ต
จากนั้นก็กลับขึ้นรถเดินทางกันต่อ
เดินทางข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวพักนึง ก็มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองของลาว เราก็ลงรถไปยื่นเอกสารสำหรับเข้าประเทศและพาสปอร์ต พร้อมกับซื้อบัตรเข้าประเทศลาว มูลค่า 48 บาท (เหมือนบัตร BTS) เราสามารถแลกเงินที่นี่ได้เลย แต่ถ้าคนเยอะเกินก็ไปแลกที่วังเวียงแทน (แต่ถ้าไปวันหยุดธนาคารไม่เปิดก็ไปหาแลกตามร้านรับแลกเงิน ซึ่งเรทจะต่างจากธนาคาร หรือว่าจะใช้เงินไทยก็ได้บางร้านเขารับเงินไทย) ***แนะนำว่าเข้าห้องน้ำไว้ก่อนก็ดี เพราะบนรถไม่มีห้องน้ำ และอีกนานมากกว่าจะจอดพัก***
เดินทางมาได้สักพัก…พักใหญ่ ๆ มาก น่าจะอยู่แถว ๆ Phônhông ก็ได้จอดพักกันสักที จุดพักก็มีของกินหลายอย่างขาย ไม่ว่าจะเป็น เฝอ, ขนมปัง Baguette, ข้าวจี่, ซาลาเปา หรือแม้แต่ของกินจากไทยหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น มาม่า, นม, ชาเขียว และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งราคาก็ค่อนข้างจะสูงกว่าที่ไทยพอสมควร นอกจากนั้น เข้าห้องน้ำยังต้องเสียเงินด้วย (จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่)…ซึ่งห้องน้ำ โคตรห่วย เอาเงินที่ได้ไปปรับปรุงบ้างมั้ย
หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปวังเวียง
ประมาณบ่าย 3 กว่า ๆ เราก็มาถึงวังเวียง รถทัวร์เขาจะจอดที่ท่ารถ(?)ที่อยู่ชานเมือง(?)แล้วเขาจะมีรถตู้พัดลมพาเข้าไปส่งในตัวเมืองอีกที (ดูจากถนนแล้ว รถทัวร์ไม่สามารถเข้าไปได้ ทั้งเล็ก ทั้งขรุขระ) ถ้าใครได้จองที่พักไว้ก่อนล่วงหน้าสามารถบอกพี่คนขับรถตู้ให้ไปส่งหน้าที่พักได้เลย แต่ถ้าใครไม่ได้จองที่พักไว้ก่อนเขาจะไปส่งหน้าที่พักแห่งนึง (จำชื่อไม่ได้)
จากนั้นเราก็เดินทางหาที่พักกัน ระหว่างทางเราก็หาแลกเงินกันก่อน ที่แลกเงินสามารถหาได้ง่ายเรียกได้ว่าสามารถแลกที่ร้านขายของชำแทบทุกร้าน แต่เรทไม่ดีเท่าแลกที่ธนาคาร ก็ลองเดิน ๆ หาดูกันได้
หลังจากแลกเงินเสร็จ เราก็เดินกันต่อ ลงไปแถว ๆ ริมแม่น้ำซอง ซึ่งเพื่อนดูรีวิวที่พักมาแล้วมันเลยว่าจะเอาที่พักบริเวณริมน้ำ
เดินมาสักพัก ก็เห็นป้ายของที่พักที่เพื่อนมันเล็งไว้ (แล้วไหนตอนแรกบอกว่าจะมาเดินหาเอาดาบหน้า) เดินเข้ามาในซอยเล็ก ๆ ก็เจอสะพาน ปลายสะพานมีทางแยก 2 ทาง
เราก็แยกกันไปถามราคาของแต่ละที่ สรุปว่าเราเอาที่พักที่อยู่ทางด้านซ้าย ซึ่งก็คือ “ริเวอร์วิว บังกะโล” (ข้อมูลเพิ่มเติม ผู้อ่านสามารถกูเกิ้ลหาได้นะครับ)
โดยบังกะโลนี้จะตั้งอยู่เกาะกลางสันดอนแม่น้ำซอง ซึ่งจะมีห้องพัก 2 ฝั่งคือ ฝั่งที่หันหน้าเข้าฝั่งกับห้องที่หันหน้าเข้าแม่น้ำซอง เราก็อยากได้อารม์แบบเดินออกมาหน้าห้องก็ได้ซึมซับบรรยากาศขุนเขาหลังแม่น้ำซองเลยเลือกฝั่งที่หันหน้าเข้าแม่น้ำซอง แต่…ห้องที่อยู่ชั้นบนเต็มหมดแล้ว เหลือแค่ 2 ห้องที่อยู่ข้างล่าง (ห้องพักของที่นี่จะเป็นหลัง ๆ หลังนึงมี 2 ห้องยกพื้นสูง จะมีแค่ 2 ห้องนี้เท่านั้นที่อยู่ติดพื้น)
พอเข้าไปในห้องก็สัมผัสได้ถึงความอับเนื่องจากน้ำท่วมเมื่อตอนต้นเดือนสิงหา แต่พอเปิดห้องเปิดแอร์สักพักก็ดีขึ้นแต่ก็ยังไม่หายอับ พยายามเปิดพัดลมดูดอากาศเปิดยังไงก็ไม่ติดเลยไปเรียกพนักงานมาดู ปรากฏว่าพนักงานมาดูแล้วก็ไปเอาพัดลมดูดอากาศอันใหม่มาเปลี่ยนให้เลย เปิดพัดลมดูดอากาศสักพักกลิ่นอับก็หายไป (หรือจริง ๆ แล้วจมูกเราชิน)
รอแดดร่มลมตกประมาณ 5 โมงกว่า ๆ เราก็ออกมาหาข้าวกินกัน เดิน ๆ สักพักก็เจอร้าน "ซนะซัย" (ชนะชัย) ขายอาหารตามสั่งหลากหลายแนว ลาว ไทย จีน ฝรั่ง มีหมด อาหารมื้อแรก(อย่างเป็นทางการ)ที่ลาว…ผมเลยขอจัด……..สปาเกตตี้ คาโบนาร่า – –
รสชาติก็พอได้อยู่ แม้ว่าชีสอาจไม่เข้มข้น เส้นอาจไม่เหนียวนุ่มเท่าที่กินอยู่ไทย ราคาก็ประมาณเกือบร้อยบาทพอ ๆ กับที่ไทย จากนั้นก็ใช้แอป WONGNAI เสิร์ชหาของหวานกินต่อ (ที่ลาวยังใช้ WONGNAI ได้ มีคนไทยไปรีวิวร้านอาหารที่นั่นอยู่) ก็ไปเจอร้าน "โรตี(เจ้าเก่า)" ซึ่งอยู่ตรงข้ามร้าน ซนะซัย ราคาแผ่นละ 40 บาท แต่รสชาติ….โรตีแผ่นละ 10 บาท ตามรถเข็นหน้าเซเว่นบ้านเรายังอร่อยกว่าอีก
จากนั้นเราก็เดินไปหาที่จองทริป One-Day Trip กัน เราจองทริปที่ “ริเวอร์ไซด์………(อะไรสักอย่าง จำไม่ได้ อยู่ข้างหลวงพระบางเบเกอรี่)” ค่าเสียหายตกคนละประมาณ 600 บาท กำหนดการคร่าว ๆ คือ เจอที่ร้าน 9 โมงเช้า ไปเที่ยวถ้ำลอด แล้วก็น้ำตก จากนั้นก็พายเรือคายัคตามแม่น้ำซอง (หรืออาจจะเปลี่ยนมานั่งห่วงยางระหว่างทาง) จากนั้นก็ไปบลูลากูน โดยมีบุฟเฟต์ให้กินเป็นมื้อเที่ยง (ถ้าจำไม่ผิดนะ)
จากนั้นก็เดินกลับที่พัก อาบน้ำนอนประมาณ 4 ทุ่มกว่า…
วันที่ 6 กันยายน 2558
เวลาประมาณตี 5 ครึ่ง
ได้ยินเสียงเคาะประตู “ก๊อก ก๊อก ก๊อก” ตื่นขึ้นมางัวเงีย ๆ คิดในใจ “เพื่อนมันมาปลุกไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นป่ะวะ” แต่ด้วยอารมณ์ขี้เกียจลุกเลยหลับตาจะนอนต่อทำเป็นไม่สนใจ แต่เพื่อนชื่อ “อั้ม” (นามสมมติ) ลุกขึ้นจะไปเปิดประตู พอก้าวลงจากเตียง เสียงดัง “จ๋อม”
“เฮ้ย น้ำท่วม” อั้มตะโกน
จากกำลังง่วง ๆ ตื่นขึ้นทันที แล้วมองไปที่พื้นห้อง “เห้”
พอได้สติก็คิดขึ้นมาได้ว่าชาร์จแบทกล้องไว้อยู่นี่หว่า เลยเอื้อมมือไปที่ปลั๊กที่หัวเตียง ดึงสายชาร์จออกแล้วยกกล้องขึ้นมาจากน้ำ (เหมือนที่นี่น้ำจะท่วมบ่อย รูปลั๊กเลยอยู่ซะสูงเชียว)
จากนั้นก็ลงจากเตียง น้ำท่วมสูงประมาณหน้าแข้งเดินไปห้องเพื่อน (น้ำข้างนอกสูงประมาณหัวเข่า) เคาะประตูสักพัก เพื่อนก็ออกมาเปิดประตูด้วยความตกใจ (ได้ยินเสียงมันโวยวายตั้งแต่ตอนมันตื่น) แล้วผมก็กลับมาเก็บของที่ห้องต่อ
เนื่องด้วยในห้องไม่มีโต๊ะหรือที่วางของให้วาง เราเลยวางสัมภาระไว้บนพื้นกันหมด คว้าอะไรได้ก็จับไปวางไว้บนเตียงก่อน ไม่สนใจแล้วว่าเตียงจะเปียกมั้ย เพราะมันไม่มีที่วางแล้วจริง ๆ จากนั้นพนักงานก็เดินเข้ามาในห้อง แล้วก็ยกทีวีออกไปแล้วก็เปิดประตูเข้า ๆ ออก ๆ อยู่นั่น ไอ้เราก็อุตส่าห์เปิดหน้าต่างให้เข้าออกก็ไม่เข้ากลัวของลอยออกไป สักพักเขาก็ให้เราขนของ (ที่เปียกน้ำหมดแล้ว) ขึ้นไปบนชั้น 2
เราก็เอาของทุกอย่าง โดยเฉพาะกล้องออกมาตาก (แต่ดูจากสภาพแล้ว ไม่น่ารอด) ไว้ระเบียงหน้าห้องชั้น 2
จากนั้นสักพักพนักงานก็เอาอาหารเช้ามาให้เรา เป็นแซนวิชขนมปัง Baguette แล้วก็น้ำดื่ม เป็นถุงยังชีพช่วยผู้ประสบภัย
เขาบอกว่าเมื่อคืนฝนตกหนักมาก แล้วน้ำป่ามาตอนตี 5 เขามาปลุกแล้วแต่เราไม่ตื่นกัน แต่พวกเราไม่มีใครรู้เรื่องกันเลยจนเขามาปลุกอีกรอบนี่แหละ
พอเจ้าของห้องชั้น 2 เช็คเอาท์แล้วเราก็เข้าไปยึดห้องเอาของทุกอย่างไปตากบนเตียงเปิดพัดลมใส่ เอาเสื้อผ้าส่วนนึงที่จะใส่วันนี้ไปให้เขาซักให้ก่อน จากนั้นก็เอาที่เหลือไปให้เขาซักให้อีกรอบ
ระหว่างที่รอเสื้อผ้าแห้งเราก็จัดการซักกระเป๋าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋าเสื้อผ้า กระเป๋ากล้อง และกระเป๋าขากล้อง ส่วนเพื่อนอีก 2 คนก็ไปจัดการยกเลิก One-day Trip ที่จองไว้ พร้อมกับไปแจ้งความกับตำรวจไว้เพื่อลงบันทึกว่าเราโดนประสบภัยพาสปอร์ทเสียหาย
เรื่องยกเลิกทริป สรุปว่า เราไปยกเลิกทริปช้าไปเลยได้เงินคืนแค่ครึ่งเดียว แต่ได้ข้าวกล่องกลับมา...ก็ยังดี
เรื่องแจ้งความ…ตำรวจก็มาดูสถานที่เกิดเหตุ เจ้าของที่พักก็อยู่ด้วยเลยลองถามดูว่ามีค่าชดเชยอะไรให้มั้ย สรุปว่าเขาจะคืนเงินค่าที่พักทั้งหมดที่นอนไปเมื่อคืนก็ไม่คิด แต่ไม่สามารถชดเชยค่าเสียหายอะไรได้เพราะมันเป็นอุบัติเหตุเขาก็ไม่รู้เหมือนกันแล้วก็ยืนยันว่ามาปลุกเราแล้ว แต่เราไม่ตื่นกันเอง – –
สรุปความเสียหายคร่าว ๆ ตอนนั้น
กล้อง
- SONY NEX-5R
- FUJI X-E1
- FUJI X-T1
- OLYMPUS OM-D E-M5
- กล้องคอมแพคท์กิ๊กก๊อก
เลนส์
- SONY SELP1650, SEL50F1.8, SEL55210
- FUJI 18-55
- FUJI 18-135, 27 F2.8
- OLYMPUS KIT 12-40
โทรศัพท์
- iPhone 5
- Samsung Duos
- Samsung Hero
และอื่น ๆ อีกมากมาย
ระหว่างรอน้ำแห้ง + ของแห้งเราก็นั่งดูทีวี…ดูทีวีช่องไทยนี่แหละ ช่องลาวไม่ค่อยชัด เอาจริง ๆ อยู่ลาวนี่แทบทุกบ้านเขาดูทีวีช่องไทยกัน หาได้น้อยมากที่จะดูช่องของลาว ไปไหนก็เห็นเขาเปิดช่องไทยกันหมด