ในที่สุด แนวโน้มที่ว่า “ขบวนการ” จาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็น
ผู้ก่อปฏิบัติการ 17 จุด ภายใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนมากที่สุด
ก็เริ่มกลายเป็นบทสรุป “ร่วม” มากยิ่งขึ้น
บทสรุปเช่นนี้ ด้านหลัก อาศัยแถลงอย่างเป็นทางการจากเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งรับผิดชอบในฐานะ
เจ้าพนักงานสอบสวน
ด้านรอง มาจาก “นักวิเคราะห์” และ “ผู้เชี่ยวชาญ”
ทั้งที่เป็นนักวิเคราะห์ซึ่งเป็นคนไทย ทั้งที่เป็นนักวิเคราะห์ซึ่งอยู่ในพื้นที่ และทั้งที่เป็นนักวิเคราะห์
ซึ่งอยู่ในต่างประเทศ
ปมเงื่อนสำคัญอยู่ตรงที่ระบุว่าเป็น “ปฏิบัติการ” อย่างเป็น “ขบวนการ”
คำว่าขบวนการสะท้อนให้รับรู้โดยพื้นฐานว่าต้องดำเนินไปอย่างมี “การจัดตั้ง” หรือที่เรียกใน
ภาษาอังกฤษว่า ORGANIZATION
ทั้งยังเป็นการจัดตั้งในลักษณะ “ทหาร”
มิได้เลเพลาดพาดในแบบการรวมตัวทางการเมืองอย่างหลวมๆ ไม่ว่าจะเรียกว่าพรรคการเมือง
ไม่ว่าจะเรียกว่ากลุ่มทางสังคมอย่างใดอย่างหนึ่ง
เมื่อจัดตั้งในแบบทหารจำเป็นต้องเปี่ยมด้วย “วินัย”
ต้องยอมรับว่าปฏิบัติการอันปะทุขึ้นในวันที่ 11-12 สิงหาคม เกือบจะพร้อมๆ
กันนั้นเป็นปฏิบัติการขนาดค่อนข้างใหญ่ ดำเนินไปอย่างอึกทึกครึกโครม
เพราะปรากฏให้เห็นมากถึง 17 จุด ใน 7 จังหวัด
ผลการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นที่ภูเก็ต พังงา ตรัง กระบี่
นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี กระทั่งหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ สะท้อนให้เห็นการตระเตรียม
ตระเตรียมตั้งแต่ก่อนวันที่ 7 สิงหาคม วันประชามติ
1 มีการส่งคนลงไปสำรวจพื้นที่ ถ่ายภาพ จัดทำแผนผัง 1 มีการส่งคนลงไปจัดวางระเบิ
ดและกำหนดเวลาเพื่อให้ระเบิดในวันใด และ 1 เมื่อระเบิดแล้วยังมีการส่งอีกชุดหนึ่งเข้าไปขยายผล
การตระเตรียมเช่นนี้ต้องใช้คนจำนวนมาก
แต่สังเกตหรือไม่ว่า ภายในผู้ปฏิบัติงานจำนวนมากนั้นกลับไม่ทำให้หน่วยข่าวไม่ว่าทหาร
ไม่ว่าตำรวจ ไม่ว่าพลเรือน ได้ระแคะระคายอะไรเลย
สะท้อนให้เห็นว่า มีการเคลื่อนไหวภายใต้ “วินัยเหล็ก”
ลักษณะอย่างนี้แหละที่บรรดานักเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยทั่วไปไม่มี
หรือหากมีก็มิได้เคร่งครัดอะไร เป็นไปอย่างเสรี โอกาสที่จะเก็บรักษาความลับ
จึงเป็นไปได้ด้วยความยากลำบาก หรือเรียกว่าแบบเป็นไปไม่ได้เลย
ตรงกันข้าม “ขบวนการ” นี้ดำรงอยู่อย่าง “นิ่งสนิท”
ถามว่าศักยภาพในการเปิดปฏิบัติการอย่างพร้อมเพรียงกันมากมายถึง 17 จุด
ภายใน 7 จังหวัดได้อย่างทรงพลานุภาพเช่นนี้มี “ขบวนการ” หรือ “องค์การจัดตั้ง”
ใดสามารถทำได้
บางคนอาจมองไปยังขบวนการ “คอมมิวนิสต์”
เพราะว่าเคยมีกระทั่งกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย (ทปท.)
เพราะว่าเคยก่อยุทธการถึงขนาดยึดสถานีตำรวจมาแล้วระหว่างปี 2508-2520
แต่คอมมิวนิสต์ไทยก็ไม่เคยปฏิบัติการใน “เมือง”
ยิ่งกว่านั้น นับแต่เกิดวิกฤตศรัทธาเมื่อปี 2524 เป็นต้นมา คอมมิวนิสต์ไทย
ก็มิได้ดำรงอยู่ในลักษณะอันเป็น “ขบวนการ” ที่แข็งแกร่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในทาง “การทหาร”
จึงมีก็แต่ขบวนการของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น
ที่ยังสะท้อนลักษณะอันเป็น “กัมมันตะ” อย่างเด่นชัด
โดยเฉพาะนับแต่เดือนมกราคม 2547 เป็นต้นมา
ปฏิบัติการ วางเพลิง วางระเบิด ในพื้นที่ ภูเก็ต พังงา ตรัง กระบี่
นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ ครั้งนี้
ความเป็นไปได้จึงวางน้ำหนักไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยึด “สถานการณ์” บริเวณรามคำแหงเมื่อเดือนพฤษภาคม 2556
มาเป็น “แนวทาง” สำคัญ
จากนี้จึงเห็นได้ว่า เมื่อตั้งหลักได้กระบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ก็สามารถดำรงสถานะแห่ง “มวยหลัก” ได้
แม้ในเบื้องต้นจะไขว้เขวไปเพราะ “กระแส” กดดันจากปีกการเมืองบางปีก
แต่ในที่สุดก็ยึดกุมแนวทางที่ยึด พยาน หลักฐาน มาเป็นคำตอบสำคัญ
กุมทิศทางการสอบสวน สืบสวนได้อย่างแน่วแน่ มั่นคง
ทิศทาง แนวทาง กรณี 17 จุด 7 จังหวัด ภาคใต้ ตอนบน .... มตินออนไลน์ .../sao..เหลือ..noi
ในที่สุด แนวโน้มที่ว่า “ขบวนการ” จาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็น
ผู้ก่อปฏิบัติการ 17 จุด ภายใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนมากที่สุด
ก็เริ่มกลายเป็นบทสรุป “ร่วม” มากยิ่งขึ้น
บทสรุปเช่นนี้ ด้านหลัก อาศัยแถลงอย่างเป็นทางการจากเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งรับผิดชอบในฐานะ
เจ้าพนักงานสอบสวน
ด้านรอง มาจาก “นักวิเคราะห์” และ “ผู้เชี่ยวชาญ”
ทั้งที่เป็นนักวิเคราะห์ซึ่งเป็นคนไทย ทั้งที่เป็นนักวิเคราะห์ซึ่งอยู่ในพื้นที่ และทั้งที่เป็นนักวิเคราะห์
ซึ่งอยู่ในต่างประเทศ
ปมเงื่อนสำคัญอยู่ตรงที่ระบุว่าเป็น “ปฏิบัติการ” อย่างเป็น “ขบวนการ”
คำว่าขบวนการสะท้อนให้รับรู้โดยพื้นฐานว่าต้องดำเนินไปอย่างมี “การจัดตั้ง” หรือที่เรียกใน
ภาษาอังกฤษว่า ORGANIZATION
ทั้งยังเป็นการจัดตั้งในลักษณะ “ทหาร”
มิได้เลเพลาดพาดในแบบการรวมตัวทางการเมืองอย่างหลวมๆ ไม่ว่าจะเรียกว่าพรรคการเมือง
ไม่ว่าจะเรียกว่ากลุ่มทางสังคมอย่างใดอย่างหนึ่ง
เมื่อจัดตั้งในแบบทหารจำเป็นต้องเปี่ยมด้วย “วินัย”
ต้องยอมรับว่าปฏิบัติการอันปะทุขึ้นในวันที่ 11-12 สิงหาคม เกือบจะพร้อมๆ
กันนั้นเป็นปฏิบัติการขนาดค่อนข้างใหญ่ ดำเนินไปอย่างอึกทึกครึกโครม
เพราะปรากฏให้เห็นมากถึง 17 จุด ใน 7 จังหวัด
ผลการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นที่ภูเก็ต พังงา ตรัง กระบี่
นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี กระทั่งหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ สะท้อนให้เห็นการตระเตรียม
ตระเตรียมตั้งแต่ก่อนวันที่ 7 สิงหาคม วันประชามติ
1 มีการส่งคนลงไปสำรวจพื้นที่ ถ่ายภาพ จัดทำแผนผัง 1 มีการส่งคนลงไปจัดวางระเบิ
ดและกำหนดเวลาเพื่อให้ระเบิดในวันใด และ 1 เมื่อระเบิดแล้วยังมีการส่งอีกชุดหนึ่งเข้าไปขยายผล
การตระเตรียมเช่นนี้ต้องใช้คนจำนวนมาก
แต่สังเกตหรือไม่ว่า ภายในผู้ปฏิบัติงานจำนวนมากนั้นกลับไม่ทำให้หน่วยข่าวไม่ว่าทหาร
ไม่ว่าตำรวจ ไม่ว่าพลเรือน ได้ระแคะระคายอะไรเลย
สะท้อนให้เห็นว่า มีการเคลื่อนไหวภายใต้ “วินัยเหล็ก”
ลักษณะอย่างนี้แหละที่บรรดานักเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยทั่วไปไม่มี
หรือหากมีก็มิได้เคร่งครัดอะไร เป็นไปอย่างเสรี โอกาสที่จะเก็บรักษาความลับ
จึงเป็นไปได้ด้วยความยากลำบาก หรือเรียกว่าแบบเป็นไปไม่ได้เลย
ตรงกันข้าม “ขบวนการ” นี้ดำรงอยู่อย่าง “นิ่งสนิท”
ถามว่าศักยภาพในการเปิดปฏิบัติการอย่างพร้อมเพรียงกันมากมายถึง 17 จุด
ภายใน 7 จังหวัดได้อย่างทรงพลานุภาพเช่นนี้มี “ขบวนการ” หรือ “องค์การจัดตั้ง”
ใดสามารถทำได้
บางคนอาจมองไปยังขบวนการ “คอมมิวนิสต์”
เพราะว่าเคยมีกระทั่งกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย (ทปท.)
เพราะว่าเคยก่อยุทธการถึงขนาดยึดสถานีตำรวจมาแล้วระหว่างปี 2508-2520
แต่คอมมิวนิสต์ไทยก็ไม่เคยปฏิบัติการใน “เมือง”
ยิ่งกว่านั้น นับแต่เกิดวิกฤตศรัทธาเมื่อปี 2524 เป็นต้นมา คอมมิวนิสต์ไทย
ก็มิได้ดำรงอยู่ในลักษณะอันเป็น “ขบวนการ” ที่แข็งแกร่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในทาง “การทหาร”
จึงมีก็แต่ขบวนการของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น
ที่ยังสะท้อนลักษณะอันเป็น “กัมมันตะ” อย่างเด่นชัด
โดยเฉพาะนับแต่เดือนมกราคม 2547 เป็นต้นมา
ปฏิบัติการ วางเพลิง วางระเบิด ในพื้นที่ ภูเก็ต พังงา ตรัง กระบี่
นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ ครั้งนี้
ความเป็นไปได้จึงวางน้ำหนักไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยึด “สถานการณ์” บริเวณรามคำแหงเมื่อเดือนพฤษภาคม 2556
มาเป็น “แนวทาง” สำคัญ
จากนี้จึงเห็นได้ว่า เมื่อตั้งหลักได้กระบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ก็สามารถดำรงสถานะแห่ง “มวยหลัก” ได้
แม้ในเบื้องต้นจะไขว้เขวไปเพราะ “กระแส” กดดันจากปีกการเมืองบางปีก
แต่ในที่สุดก็ยึดกุมแนวทางที่ยึด พยาน หลักฐาน มาเป็นคำตอบสำคัญ
กุมทิศทางการสอบสวน สืบสวนได้อย่างแน่วแน่ มั่นคง