ไออุ่นรักจากเธอ

กระทู้สนทนา
.

ไออุ่นรักจากเธอ
=====


ฉันเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่งเติบโตมาในพื้นที่ ที่อุดมสมบูรณ์ ‘ในน้ำมีปลาในนามีข้าว’ วลีนี้ยังพอใช้ได้อยู่ในยุคสมัยที่ฉันเป็นเด็ก ฉันยังจดจำบรรยากาศของท้องถิ่นบ้านนาได้ดี แม้เวลาจะผ่านมานานเกือบยี่สิบปีแล้วก็ตาม บ้านฉันเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง มีใต้ถุน มีแคร่ไม้ไผ่ตัวใหญ่ตั้งไว้ตรงกลางไว้สำหรับเป็นที่นั่งเล่น และมีโอ่งมังกรสามสี่ใบตั้งเรียงรายรอรับน้ำฝนที่ตกลงมาจากหลังคาบ้าน ห้องน้ำอยู่เยื้องไปทางหลังบ้านเล็กน้อย

ระเบียงบ้านมองออกไปจะเห็นทุ่งนาข้าวเขียวขจี กว้างไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา ยามลมเย็นพัดมาจะได้กลิ่นหอมของต้นกล้าข้าว หอมชื่นใจยิ่ง ตกเย็นมาอากาศจะหนาวจนทำให้ขนลุกชันได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวต้องต้มน้ำอาบ หากอาบน้ำเย็นจากโอ่งมีหวังหนาวสั่นสะท้านเข้าไปถึงเส้นเลือดแน่ๆ

ฉันก็เคยหนาวสะท้านไปถึงเส้นเลือดมาแล้ว เข้าถึงกระดูกเลยก็ว่าได้ หนาวมากเสียจนต้องตรึงไว้ในความทรงจำไม่เคยลืม เมื่อครั้นนั้นตอนฉันเป็นเด็กน้อยอยู่ชั้นประถมสอง ตกเย็นหลังเลิกเรียนฉันกับกลุ่มเพื่อนชวนกันไปหาหอยขมที่ทุ่งนา ซึ่งมันจะมีเยอะมากในนาข้าว เราเดินบนคันนาเป็นขบวน บางคนถือข้อง บางคนถือถุงย่ามที่เย็บมาจากกระสอบข้าว บางคนถือถังน้ำใบเล็กพอเหมาะมือสำหรับเด็ก

เราเดินลุยนาข้าวที่ต้นกล้าเริ่มออกรวงสีเขียวอ่อนๆ (แต่เราไม่เหยียบต้นข้าวนะ) แล้วก็ก้มๆเงยๆเก็บหอยขมด้วยความสนุกสนาน บางครั้งก็นอนเกลือกกลิ้งเล่นน้ำแช่ตัวเสียหน่อย เย็นชื่นสบายใจสบายกายที่สุด ความสุขในวัยเด็กหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรให้มาก ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล วันๆหนึ่งตื่นมาคิดแค่เพียงว่าจะเล่นอะไรดี

น้ำในนาข้าวใสแจ๋วจนมองเห็นพื้นใต้น้ำกระจ่างชัดเจน การเก็บหอยขมจึงไม่ยากเย็นนัก แต่จะเกิดความวุ่นวายขึ้นมาทันทีที่เห็นปูนาตัวใหญ่โตน่ากิน จับได้คงเอาไปย่างจะได้มันปูที่กระดองของมัน จิ้มกับข้าวเหนียวร้อนๆอร่อยนักเชียวนะ

การจับปูนาจะต้องมีความชำนาญเป็นพิเศษ ต้องจับไม่ให้ปูหนีบนิ้วถ้าใครพลาดท่ามีหวังร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่ๆ แต่ฉันคือมือจับปูระดับพระกาฬชำนิชำนาญยิ่งนัก ฮึ ไม่อยากจะโม้เท่าไรหรอก ตั้งแต่จับปูมาหลายสิบตัวไม่เคยมีพลาดแม้แต่ครั้งเดียว และครั้งนี้ก็เหมือนกัน ฉันหลอกล่อให้ปูไปจนมุมที่คันนา มันชูกล้ามปูต่อสู้ข่มขู่ฉัน ไม่กลัวหรอกนะเจ้าปูนา กำลังยื่นมือ ค่อยๆ หย่อนลงไป เพื่อจะกดกล้ามปูลงให้ชิดกับกระดองแล้วค่อยจับรวบตัวมันทันมา คิดไว้ในหัวและวางแผนจับ มือของฉันใกล้ถึงตัวปูแล้ว

แต่เอ๊ะ เหมือนจะมีตัวอะไรโผล่ออกมาจากใต้ท้องปู ลูกปูสามตัวค่อยๆเดินออกมาจากท้องแม่ปู ฉันมองดูลูกปูน้อย น่ารักน่าเอ็นดูเชียวตัวเล็กนิดเดียว ยังไม่ชำนาญการเดินเสียเท่าไรด้วยซ้ำ ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่จับแกก็ได้ ตัดสินใหญ่ปล่อยแม่ปูไป ก่อนจะก้มหน้าก้มตาหาหอยขมต่อ อากาศเริ่มเย็น พระอาทิตย์สีเหลืองส้มอำพันกำลังจะลับขอบฟ้าแล้ว เราทั้งหมดจึงชวนกันกลับบ้าน

ฉันได้หอยขมมาเกือบเต็มข้อง(ขนาดเล็กสำหรับเด็ก) แถมได้ผักบุ้งมาอีกกำด้วย ในใจฉันปลื้มปริ่มสุดๆจะได้ของกินมาอวดพี่ๆเลย (ช่วงเวลาในตอนนั้นฉันอยู่กับพี่ๆอีกสามคน มีพี่ชายคนโตและพี่สาวอีกสอง พ่อกับแม่ไปทำงานที่กรุงเทพฯ เราสี่พี่น้องจึงต้องอยู่ด้วยกันตามลำพัง)

ท้องฟ้ามืดลงฉันเดินกลับบ้านด้วยสภาพเนื้อตัวมอมแมม แก้มทั้งสองเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน เสื้อผ้าเลอะโคลนสีดำเกาะเต็ม สภาพร่างกายไม่น่ามองเท่าไร แต่ในใจนี้มีความสุขสุดสนุกที่ในชีวิต แต่แล้วความสุขของเด็กน้อยอย่างฉันก็พังทลายครืนลง เมื่อเห็นพี่สาวคนโตยืนถือไม้เรียวรออยู่หน้าบ้าน

“ไปไหนมาไหนไม่บอกพี่ ทุกคนเค้าตามหากันจ้าวละหวั่น แล้วกลับมาเอาป่านนี้ มืดค่ำแล้ว รู้ไหมมันอันตราย”
  พี่สาวฉันตะหวาดเสียงดัง ไม้เรียวในมือเหวี่ยงขึ้นลงบนอากาศ ฉันยืนก้มหน้าตัวสั่น สั่นเพราะอากาศหนาวและสั่นเพราะกลัวก็ผสมผสานปะปนกันไป

“ไปหาหอยมา” ฉันบอกพี่เสียงอ่อยพร้อมยื่นข้องให้พี่

“ใครบอกให้ไปหา ทีหลังอย่าไปอีก ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าว”
    
“ไม่อาบน้ำได้ไหม น้องหนาว” ฉันพูดออกไปแบบนั้น ก็ยังงงกับตัวเองกล้าพูดแบบนั้นได้อย่างไร

“สกปรกมอมแมมขนาดนี้ไม่อาบได้ยังไง แล้วใส่เสื้อผ้าแต่ละทีดำเสียจนซักไม่ออก” พี่ฉันแหกปากดุฉันอีกครั้ง (ฉันก็เข้าใจอยู่น่าว่าพี่ไม่ให้ใส่เสื้อผ้าเลอะ แต่ฉันก็ทำไม่ได้เสียที มันต้องเลอะกลับบ้านทุกที ฉันซักผ้าไม่เป็นหน้าที่ซักผ้าเลยเป็นของพี่คนเดียว ก็น่าที่จะโดนดุอยู่หรอกนะ)

พี่สาวฉันพูดเพียงแค่นั่น ก็ทิ้งไม้เรียว แล้วลากฉันเข้าห้องน้ำ จับฉันถอดเสื้อผ้าแล้วอาบน้ำให้ เป็นการอาบน้ำที่ฉันจำไม่เคยลืม พี่ใช้ฝอยเปลือกมะพร้าวถูกๆขัดๆทั้งตัว ฉันแหกปากร้องไห้เสียงดัง ใช้ผงขมิ้นมาขัดอีกรอบหนึ่ง ฉันแหกปากร้องไห้เสียงดัง ฝ่ามือพี่ฟาดเข้าที่ไหล่ฉัน ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น  ขัดๆถูกๆด้วยเปลือกมะพร้าวและผงขมิ้นอยู่หลายรอบ ตามด้วยสบู่จัดมาชุดใหญ่ (ฉันเคยดูในละครไทยหลายเรื่องมีฉากอาบน้ำแบบนี้ด้วย ไม่เคยคิดว่าจะมาเจอเข้ากับตัวเอง) ฉันหนาวสั่นเข้าไปถึงเส้นเลือด ขากรรไกรสั่นจนฟันล่างบนกระทบกัน หนาวจนก้าวเท้าเดินออกจากห้องน้ำไม่ได้ และร้องไห้จนตาบวมมองไม่อะไรพร่ามัวไปหมด

“เล่นมาสกปรกแล้วยังไม่อยากอาบน้ำอีก มันต้องโดนแบบนี้ละ” พี่สาวฉันพูดใส่หู ก่อนรีบเอาผ้าขนมาพันรอบตัวฉันแล้วจับฉันมาใส่เสื้อผ้า ใครจะกล้าต่อกรกับพี่ พี่ฉันโหดมากเลย ตอนนั้นฉันกลัวพี่มาก และโกรธพี่ที่ทำนี้ แต่เมื่อโตขึ้นจึงเข้าใจ ที่พี่ทำไปเพราะรักและหวังดีกับฉันนี้เอง

=====


เมื่อครั้งฉันเป็นเด็กอนุบาลสาม พี่ชายฉันน่าจะอยู่ชั้นประถมหก ฉันกำลังเล่นที่สนามเด็กเล่นกับเพื่อนๆด้วยความสนุกสนาน และแล้วก็มีหน่วยแจ้งข่าวด่วนวิ่งตรงลิ่วมาที่ฉัน

“เธอๆพี่ชายเธอไปยืนตีกลองอยู่กลางสนามฟุตบอลแหละ” หน่วยแจ้งข่าวรีบรายงานทันที

ฉันหยุดเล่นแล้ววิ่งมาดูพี่ ภาพที่เห็นคือพี่ชายฉันกับเพื่อนอีกคนกำลังยืนตีกลองแต๊กอยู่กลางสนาม และเริ่มจะมีคนมายืนดูโดยรอบ นักเรียนหลายคนชี้แล้วหัวเราะตลกขบขำกันยกใหญ่ ฉันเองยังไม่เข้าใจว่าพี่ไปยืนตีกลองทำไม จนพี่สาวคนรองซึ่งเดินมาสมทบกับฉันคนเป็นบอกว่า

“พี่ไปเล่นตีกลองในห้องดนตรีเสียงดัง ครูมาเห็นเข้า ก็เลยจับลงโทษ ให้มายืนตีกลองกลางสนามจะได้ไม่รบกวนคนอื่น”

ฉันได้ฟังเพียงเท่านั้นก็ปล่อยโฮร้องไห้ใหญ่เลย ในใจเกินสงสารพี่และไม่อยากให้พี่โดนลงโทษ พี่สาวคนรองเห็นฉันร้องไห้ก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้ววิ่งหายไป ฉันจึงเดินมุ่งไปหาพี่ชายกลางสนามฟุตบอล น้ำมูกน้ำตาไหลเป็นทาง

“เฮ้ย จะเดินมาทำไม ..ออกไป” พี่ชายฉันตะโกนไล่ แต่ในมือยังถือไม้ตีกลองขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะ

“แล้วจะร้องไห้ทำไมนี่ โอ๊ย” พี่ชายฉันเริ่มหงุดหงิด คิดไม่ออกจะทำอย่างไรกับน้องดี พอพี่พูดจบ ฉันก็รีบวิ่งไปกอดขาพี่ไว้แน่น ครูที่ลงโทษจึงต้องบอกให้พี่กับเพื่อนหยุดตีแล้วเอากลองไปเก็บ สรุปคือพี่ชายฉันต้องแบกกลองและอุ้มน้องออกจากสนามฟุตบอลแบบทุลักทุเล

กลับมาถึงบ้านพี่เล่าให้พ่อกับแม่ฟังว่า “ทั้งเหนื่อย ทั้งอายเพื่อนเลย  โดนลงโทษก็อายแล้ว นี่น้องยังไปยืนร้องไห้โชว์อีก เฮ้อ” พูดไปก็ทอดหายใจยาว ทว่าไม่มีใครว่ากล่าวอะไร มีเพียงเสียงหัวเราะดังลั่นบ้านกลบเสียงอามรณ์หงุดหงิดของพี่ชายไปโดยปริยาย

เมื่อพี่ชายฉันโตเป็นวัยรุ่นก็ยังคงเป็นตัวแสบและแสบมากขึ้น วันสงกรานต์คือช่วงเวลาแห่งความสุข ฉันเล่นสาดน้ำอยู่ข้างถนนกับกลุ่มเพื่อนๆ ในขณะที่พี่ชายกับพ้องเพื่อนนั่งล้อมวงดื่มเหล้าใต้ต้นไม้ แม่บอกพี่ให้ดูน้องอย่าให้วิ่งออกนอกถนน แต่คนเมาจะมาดูแลเด็กได้ยังไง

เมื่อฤทธิ์แอลกอฮอล์เริ่มสำแดงก๊วนนักดื่มก็เริ่มส่งเสียงดัง  เอะอะโวยวาย โต้เถียงกัน เปร้ยง! เสียงขวดเหล้าแตก จนทำให้เด็กที่เล่นสาดน้ำต้องหันมาดู แล้วก็เกิดการตะลุมบอนชกต่อย จนดูไม่ออกว่า ฝ่ายไหนชกต่อยกันหรือฝ่ายไหนกำลังห้ามปราม

เด็กน้อยทุกคนยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก แต่บางคนก็วิ่งหนีกลับบ้านไป ฉันตื่นตกใจและหวาดกลัวทำได้เพียงยืนเรียกชื่อพี่ชายเสียงสั่น และเริ่มร้องไห้เมื่อเห็นพี่โดนขวดเหล้าฟาดเข้าที่กลางหน้าผาก เลือดไหลออกมาเป็นสาย  พี่ยกมือห้ามเพื่อน บอกว่า “เดี๋ยวๆ” แล้ววิ่งมาอุ้มตัวฉัน เอาฉันกลับมาส่งที่บ้าน ก่อนจะวิ่งมาตะลุมบอนกับเพื่อนใหม่ ผลคือพี่ต้องเย็บแผลที่หน้าผากเกือบยี่สิบเข็ม

จดจำ เข็ดหลาบไหม ไม่เลย พี่ชายยังมีเรื่องชกต่อยอยู่เป็นประจำ บางวันก็โดนพ่อเอาไม้เรียวไล่ตี แต่มีรึพ่อจะตามเด็กวัยรุ่นทัน พ่อไม่เคยตีพี่ได้เป็นกิจจะลักษณะสักเท่าไร เพราะพี่จะใส่เกียร์ตีนผีวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต ฉันจึงได้เห็นภาพพ่อไล่ตีลูกชายรอบหมู่บ้านแล้วทะลุทะลวงออกไปทุ่งนา และได้กลายเป็นภาพที่ชินตาของคนในหมู่บ้านไปเสียแล้ว

พี่ชายวิ่งหนีแบบไม่มีการชะลอฝีเท้าและยังไม่วายตะโกนไล่หลังพ่อว่า “แน่จริงก็ตามมาให้ทันสิ” และก็ไม่แน่ เพราะพ่อจะเดินถือไม้เรียว ไหล่ตก หอบจับ แล้วไอแค่กๆกลับบ้านแบบจับตัวลูกชายตัวดีไม่ได้เลย  ส่วนพี่ชายจะหายไปจนค่ำมืดแล้วจึงกลับบ้าน ถึงเวลานั้นพ่อก็สงบเยือกเย็น ไม่มีความคิดที่จะตีอีกแล้ว

และถึงแม้พี่ชายฉันจะเกเร เป็นเด็กแว้น หรือแม้แต่เป็นอันธพาลที่มีเรื่องไปทั่ว แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้คือพี่รักน้องๆทุกคน พี่ปกป้องน้องๆ ประมาณว่า “น้องข้าใครอย่าแตะ” และไม่ว่าพี่จะโดนพ่อแม่ดุด่ากล่าวโทษหรือลงโทษ พี่ชายจะไม่เถียงพ่อแม่เลย โดยส่วนใหญ่พี่จะใช้วิธีหลบหลีกเสียมากกว่า หลบหลีกไปก่อนให้ต่างฝ่ายต่างเย็นแล้วพี่ค่อยกลับมา ซึ่งก็เป็นวิธีที่ได้ผลทีดีเดียว

ในบางครั้งฉันเองก็เห็นใจพี่ชาย เพราะเป็นผู้ชายคนเดียว แถมมีน้องสาวสามคนอีก แม่เคยเล่าให้ฟัง ตอนพี่ชายเป็นเด็กแกเคยพูดกับแม่ว่า “คลอดออกมาทำไมเยอะแยะ ขี้เกียจช่วยเลี้ยงแล้วนะ ไม่มีเวลาไปเล่นกับเพื่อนๆเลย” เวลาในวัยเด็กของพี่ชายต้องสูญเสียไปบ้างเพื่อมาช่วยแม่ดูแลน้องๆ

เมื่อฉันโตขึ้นพี่ชายพยายามเปลี่ยนฉันให้เป็นเด็กผู้ชาย ด้วยการเอาชุดผู้ชายมาให้ฉันใส่ สอนฉันเตะบอล เตะตะกร้อ และเล่นเปตอง(เป็นสิ่งที่ปูพื้นฐานให้ฉันได้เป็นนักกีฬาเปตองประจำคณะ) แต่ฉันรู้สึกว่ามันไม่สนุกเท่าไร ฉันอยากเล่นขายของกับเพื่อนมากกว่า ฉันจึงบอกพี่ว่า

“น้องเป็นเด็กผู้หญิงนะ น้องไม่ชอบเตะฟุตบอล อยากเล่นขายของมากกว่า พี่มาเป็นลูกค้าซื้อของนะ”

แผนการพี่ชายที่จะเปลี่ยนน้องสาวให้เป็นเด็กผู้ชายจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า

=====
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งเรื่องสั้น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่