ริษยาซ่อนร่าง
ตอนที่ 16
เส้นทางรักนรกแตก
โดย...ล. วิลิศมาหรา & Phycho man
ลักขณามองจากหน้าต่างรถเห็นท่าทีแปลก ๆ ของสามี ถึงจะหวาดกลัวแต่ด้วยความร้อนใจจึงเปิดประตูลงมาดูด้วยอีกคน
“มีอะไรเหรอภพ”
“มีเสียงแปลกในนี้” พิภพกราดไฟฉายไปทางท้ายรถ ลักขณาเหลียวมองรอบตัวอย่างหวาด ๆ ก่อนหันไปมองตามที่สามีบอก
“เสียงอะไรคะ”
ทันใดนั้น เสียงกุกกัก ปึง ๆ ก็ดังมาจากท้ายรถอีก สองสามีภรรยาสบตากัน พิภพฉายไฟส่องไปที่กระโปรงท้ายรถพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้ โดยมีร่างอรวีตามติด ท่ามกลางแสงสว่างของไฟฉายในมือ ทั้งสองเห็นกระโปรงรถคล้ายมีบางอย่างดิ้นรนเคลื่อนไหวอยู่ข้างใน บัดดลทั้งคู่คิดไปในทางเดียวกัน
“เปิดกระโปรงท้ายรถเร็วเข้า หรือว่าข้างในนั่น อรวียังไม่ตาย”
ลักขณาละล่ำละลัก เร่งให้สามีเปิดกระโปรงท้ายรถทันที เธอคิดเหมือนสามี นั่นคือคิดว่าเป็นอรวีที่กำลังดิ้นรนอยู่ข้างในนั้น คราวนี้หญิงสาวผู้เป็นภรรยาหลวงกลับรู้สึกดีใจ นี่ถ้าหากอรวีฟื้นขึ้นมาจริง เธอก็จะพ้นจากข้อหาฆ่าคนตาย
ส่วนพิภพยังชั่งใจใคร่ครวญไปมา ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจ เพราะตอนหามร่างภรรยาน้อยของเขาขึ้นใส่ท้ายรถ เขาแน่ใจว่าอรวีสิ้นลมไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่หญิงสาวจะฟื้นขึ้นมา นอกจากมีปาฏิหาริย์... แต่ชายหนุ่มก็ตัดสินใจเปิดกระโปรงท้ายรถออกดู ถ้าหากอรวีไม่ตายก็นับว่าปาฏิหาริย์มีจริง จะได้นำร่างหญิงเคราะห์ร้ายออกมาปฐมพยาบาล และทันทีที่ฝากระโปรงท้ายรถถูกเปิดออก ร่างหนึ่งก็ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่ง
“เฮ้ย!”
“ว้าย!”
สองสามีภรรยาร้องออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ
“อรวี” พิภพอุทานอย่างตื่นตะลึง ร่างภรรยาอีกคนของเขานั่นเอง ที่บัดนี้ลุกขึ้นมานั่งจ้องมองดูคนทั้งคู่อยู่ท้ายกระโปรงรถอย่างน่าอัศจรรย์
“อรยังไม่ตายหรือนี่ โอ้ ดีใจจริง ๆ”
นังเมียน้อยฟื้นขึ้นมาได้ไง...หญิงผู้เป็นภรรยาหลวงแม้ดีใจ แต่ก็รู้สึกถึงความไม่ชอบพากล
อาจเป็นเพราะนังนี่มันแค่สลบหรือหยุดหายใจไปชั่วขณะแล้วเกิดฟื้นขึ้นมาตอนนี้พอดี เคยอ่านเจอข่าวบ่อยไปที่มีคนตายไปตั้งหลายวันแล้วฟื้น บางคนจนเขานำศพไปเผา ดันเกิดฟื้นขึ้นมานั่งกลางกองฟอนก็ยังเคยมี
“นี่...เธอเป็นยังไงบ้าง”
ถามเพราะความสงสัยอะไรบางอย่าง ไม่ใช่เพราะห่วงใย น้ำเสียงจึงสะบัด ๆ อย่างไม่วายขุ่นเคือง อรวีที่ใบหน้าดูสดใสและไม่มีอาการบาดเจ็บอะไรเลย ชำเลืองมองภรรยาหลวงด้วยหางตา หล่อนเหยียดมุมปากเข้าใส่แล้วตอบด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกันว่า
“ผิดหวังเหรอยะที่ฉันยังไม่ตาย” ก่อนหันไปออดอ้อนสามีซึ่งยืนตะลึงจ้องเธออย่างทึ่ง
“โอย...พี่ภพคะ ถ้ามาเปิดกระโปรงรถช้าอีกนิดเดียวเมียคงขาดใจตายไปจริง ๆ พี่ดูสิ อรไม่มีเลือดออกแล้ว ลูกของเราคงยังปลอดภัย แต่อรอ่อนเพลียมากค่ะพี่ แทบไม่มีเรี่ยวแรง”
พอรู้ว่าอรวีปลอดภัยและได้ยินว่าลูกในท้องของเธออาจไม่ได้แท้งไป พิภพก็แทบกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ เขากรากเข้ามาหาเธอ เอามือจับสำรวจดูตามเนื้อตัว แล้วเชยคางเธอเงยขึ้นเพื่อจ้องใบหน้า เมื่อเห็นอรวีมีหน้าตาเปล่งปลั่งไม่ได้ซีดเซียวอะไร ตลอดจนไม่มีเลือดไหลออกมาจากชายกระโปรงชุดคลุมท้องให้เห็นอีกแล้ว และภรรยาน้อยของเขาก็ไม่แสดงอาการเจ็บปวดใด ๆ ออกมา ชายหนุ่มจึงอดยินดีไมได้ เขาพร่ำบอกเธอด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
“ดีใจจังที่อรไม่เป็นไร พี่ขอโทษที่เอาอรมาไว้ท้ายรถแบบนี้ บอกตามตรงพี่นึกว่าเสียอรไปแล้ว เดี๋ยวพอหาทางออกจากที่นี่ได้ พี่จะรีบพาอรไปโรงพยาบาลทันที อรอดทนเอาไว้นะ”
อรวีซึ่งฟื้นขึ้นมานั่งได้อย่างเหลือเชื่อยิ้มให้สามี ก่อนจิกหางตาใส่ผู้หญิงอีกคนที่ยืนข้าง ๆ พิภพอย่างชิงชัง
“ค่ะ อรไม่เป็นอะไรมาก ไม่ตายง่าย ๆ ให้สมใจใครหรอกค่ะ จะอยู่คลอดลูกให้พี่แน่นอน”
เป็นอีกครั้งที่ลักขณาต้องยืนทำคอแข็งมองสามีประคับประคองร่างนังผู้หญิงชั่ว เกือบบันดาลโทสะอาละวาดด่าทอคนทั้งคู่เข้าให้อีก แต่ครั้นพอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองและสามีกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากท่ามกลางถนนผีสิงแห่งนี้ จึงต้องสงบใจลง หญิงสาวข่มใจบอกสามี
“พาแม่นี่มาขึ้นรถเถอะภพ เอาใส่ไว้ตรงเบาะหลังแน่ะ”
บอกแล้วสะบัดหน้าหนีภาพบาดตาไปอีกทาง ซึ่งก็เลยเห็นความมืดมิดรอบข้างเข้าเต็ม ๆ ลักขณาเหลียวมองรอบกายอย่างหวาดวิตก...ไอ้ถนนอุบาทว์นี่มันก็ไม่ต่างจากจากถนนสายเดิมเลย ยังให้ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยววังเวงน่ากลัวเหมือนเดิม
ความคิดเตลิดไปยังเรื่องของภูตผีปีศาจที่เคยประสบ ลักขณาเริ่มหลอนตัวเอง...ถ้ามีปีศาจอยู่แถวนี้ล่ะ
บ้าน่า...ไม่บ้าหรอก เพราะเธอเคยเจอมาแล้วที่บ้านแสงสินี บางทีอาจมีวิญญาณสัมภเวสีเร่ร่อนผ่านมาเจอพวกเธอเข้า แล้วอยากมาอยู่เป็นเพื่อน ตอนนี้อาจกำลังค่อย ๆ ยื่นใบหน้าเน่าเฟะมาหาอย่างช้า ๆ พร้อมกับลมหายใจอันเย็นยะเยือกสัมผัสรดต้นคอ ความคิดน่ากลัวเกี่ยวกับภูตผีแบบนั้นทำให้ลักขณาขนลุกขนพอง
“เร็วเข้าหน่อย บรรยากาศแถวนี้มันไม่ค่อยดี” ภรรยาหลวงเร่งยิก พิภพจึงประคองอรวีให้ลุกขึ้นยืน
“เอาล่ะ พี่จะอุ้มอรไปนอนอยู่ที่เบาะหลังนะครับ อรจะได้นอนเหยียดพักได้สบาย อุ้ม ขึ้นรถเร็วเข้า”
บอกอ่อนโยนกับภรรยาน้อยและหันมาสั่งให้ภรรยาหลวงขึ้นรถ ซึ่งลักขณาก็ไม่รอช้า รีบเปิดประตูขึ้นนั่งเบาะหน้าข้างคนขับ กระชากประตูรถปิดดังปัง พิภพเองก็เปิดประตูเบาะหลังรถเก๋งออกก่อนช้อนร่างอรวีขึ้น เขาอุ้มร่างเธอไปใส่ไว้ตรงเบาะหลัง กำชับให้นอนราบลงกับเบาะ
“อรนอนลงไปเลยนะ อีกไม่นานคงออกถนนใหญ่ได้ ถ้าถึงโรงพยาบาลพี่จะพาอรเข้าไปรักษาตัวทันที”
หญิงสาวคนเจ็บพยักหน้าให้สามี ลักขณาหันมาค้อนขวับใส่คนทั้งคู่ พิภพขึ้นมานั่งประจำที่คนขับ เขายกมือไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนเอื้อมมือบิดกุญแจรถเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง
บรื้นนนน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เสียงเครื่องยนต์คำรามกระหึ่ม รถเก๋งคันงามสตาร์ทติดในครั้งแรกทันที พิภพกับลักขณาถอนหายใจอย่างโล่งอกขึ้นมาพร้อมกัน ชายหนุ่มเร่งเครื่องให้รถเคลื่อนตัวออกสู่ถนนอีกครั้งหนึ่ง
ขับมาอีกสักพัก ทันใดนั้นแสงไฟหน้ารถสาดส่องให้เห็นร่างคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ข้างถนนซ้ายมือ ซึ่งทำให้คนในรถใจชื้นขึ้นมาอีกครั้ง การเห็นคนยืนข้างทางก็หมายถึงว่า แถวนี้คงมีหมู่บ้างห่างออกไปไม่ไกลนัก บางทีอาจจะอยู่ข้างหน้าก็เป็นได้
“แวะถามทางเถอะภพ แต่อย่ารับขึ้นรถนะ”
พิภพเองก็คิดว่าควรชะลอรถแวะทักสักหน่อยพอให้อุ่นใจ แต่พอขับรถเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มต้องตัวสะท้านเยือก ใจสั่นระรัวกะทันหัน เพราะกลุ่มคนที่กำลังยืนอยู่ข้างทางนั้น จำนวนคน รูปร่าง ท่าทาง คุ้นตาอย่างไม่น่าเชื่อ ใช่แล้ว...เขาเพิ่งเห็นคนกลุ่มนี้ตรงทางแยกนั่นเอง แล้วทำไมถึงมาเจออีกครั้ง มันไม่น่าเป็นไปได้
ความตกใจทำให้ถอนคันเร่งโดยไม่รู้ตัว รถเก๋งชะลอความเร็วจนเกือบหยุดลงตรงหน้าคนกลุ่มนั้น ซึ่งพากันยืนตัวแข็งทื่อ ครั้นแล้วพวกเขาก็สะบัดหน้ามาทางรถเก๋งและหันมาจ้องหนุ่มสาวในรถเป็นตาเดียว ไม่ผิดกับเหตุการณ์บริเวณทางสามแพร่งแม้แต่น้อย
แต่คราวนี้หนักกว่า เพราะพอรถชะลอความเร็วและแล่นช้า ๆ ผ่าน ใครคนหนึ่งในจำนวนนั้นก็ชะโงกหน้ามาแนบกระจก สองคนในรถต่างหันขวับไปมองก่อนสมองจะสั่งการเสียด้วยซ้ำ
ที่กำลังเอาหน้าแนบกระจกอยู่นั้น...นั่นมันใบหน้าของซากศพชัด ๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมองเห็นชัดเหลือเกิน ทั้งที่ด้านนอกมืดสนิทเพราะพ้นรัศมีแสงไฟหน้ารถไปแล้ว ใบหน้านั้นขาวโพลนซีดเผือด ตาสองข้างเหม่อลอยไร้ความรู้สึก ปากอ้ากว้างค้าง มือทั้งสองข้างตะกายไปมาอยู่บนกระจกเสียงดังแคว่ก ๆ ตลอดเวลา
ลักขณากรีดร้องสุดเสียง หญิงสาวตกใจแทบสิ้นสติกระเถิบตัวออกห่างจากกระจกหน้าต่างรถทันควัน อรวีที่แต่แรกนอนตะแคงตัวอยู่ตรงเบาะหลัง ผุดลุกขึ้นนั่งอย่างงง ๆ ครั้นเห็นภาพสยองภาพเดียวกันก็หวีดร้องประสานเสียงกับภรรยาหลวง
ส่วนพิภพก็ตกใจอย่างหนัก แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดยังอยู่ครบถ้วน ชายหนุ่มกระทืบคันเร่งเต็มแรง รถพุ่งพรวดแทบแฉลบลงข้างทาง แต่ถึงตกใจปานใด มือของเขายังหมุนพวงมาลัย สามารถบังคับให้รถกลับมาอยู่ในเส้นทางได้อย่างหวุดหวิด เขาเบิกตาจ้องมองทางกระจกมองหลัง แย่แล้ว...คนประหลาดพวกนั้นวิ่งตามมาติด ๆ มือทั้งคู่ไขว่คว้าไปมาในอากาศอย่างน่าขนลุก กิริยาอันวิปริตผิดธรรมชาติของคนเหล่านี้ช่างน่าสะพรึงกลัว สามสามีภรรยาแข่งกันร้องโวยวายด้วยความสยดสยอง
ตายแล้ว...ตายแล้ว!
คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกช้างด้วย!
ยิ่งช่วงนั้นสภาพของถนนไม่ค่อยดีนัก บางครั้งรถกระแทกหลุมบ่อเอียงวูบวาบ แต่พิภพพยายามขับให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ชายหนุ่มจะไม่หันไปมองข้างหลังแล้วก็ตาม แต่ยังรู้สึกมองเห็นภาพผู้คนเหล่านั้นชัดเจนอยู่ในห้วงความคิด เห็นชัดขนาดมองออกว่า ใบหน้าขาวซีดของคนพวกนั้นกำลังอ้าปากเหมือนพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง สองมือบิดเบี้ยวหงิกงอตะกายไขว่คว้าไปในอากาศ บางมือยื่นตรงมาข้างหน้าคล้ายเปรตขอส่วนบุญ ภาพสยองนั้นติดตาติดความรู้สึกนานชัดเจนอยู่หลายนาทีกว่าจะจางหายไป
พิภพขับรถพาภรรยาทั้งสองหนีแบบไม่คิดชีวิต เป็นระยะทางไกลเท่าไรก็สุดจะคำนวณ จนกระทั่งใจคอเริ่มสงบลงบ้างจึงกล้ามองดูทางกระจกหลัง ซึ่งไม่พบอะไรอีกนอกจากความมืดทะมึน
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันภพ ถนนเส้นนี้กำลังตรงไปที่ไหน อุ้มกลัว...กลัวจังเลย” ภรรยาเบอร์หนึ่งของเขาเริ่มร้องไห้ฟูมฟายอีกครั้ง
“นั่นมันผี ไม่ใช่คนแน่ ๆ เราโดนผีหลอกเข้าให้แล้ว ใช่ไหมคะพี่” หญิงคนเจ็บซึ่งบัดนี้แทบลืมอาการเจ็บป่วยของตน เธอนั่งเกาะพนักเบาะคนขับแน่น ถามสามีเสียงสั่น บ่งบอกถึงความหวาดกลัวขนาดหนัก
พิภพกัดฟันกรอด ๆ ไม่ตอบคำถามใคร ชายหนุ่มกำลังหงุดหงิดผสมความหวาดกลัว พยายามตั้งสติไม่หันกลับไปคิดถึงกลุ่มคนประหลาดที่เพิ่งเจอมาหยก ๆ มันจะเป็นภูตผีปีศาจ เป็นซอมบี้เมืองไทยหรือเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาก็ตาม แต่ที่แน่ ๆ มันได้สร้างความขนพองสยองเกล้าจนสติแทบปลิดปลิว
เมื่อเห็นอาการหงุดหงิดของสามี ภรรยาทั้งสองต่างเงียบเสียงลง พากันนั่งตัวเกร็งจ้องเขม็งไปเบื้องหน้าด้วยใจระทึก สามคนสามีภรรยานั่งอยู่ในรถที่กำลังแล่นไปโดยไร้จุดหมายปลายทางอย่างอกสั่นขวัญแขวน
(มีต่อ)
ริษยาซ่อนร่าง ตอนที่ 16
โดย...ล. วิลิศมาหรา & Phycho man
ลักขณามองจากหน้าต่างรถเห็นท่าทีแปลก ๆ ของสามี ถึงจะหวาดกลัวแต่ด้วยความร้อนใจจึงเปิดประตูลงมาดูด้วยอีกคน
“มีอะไรเหรอภพ”
“มีเสียงแปลกในนี้” พิภพกราดไฟฉายไปทางท้ายรถ ลักขณาเหลียวมองรอบตัวอย่างหวาด ๆ ก่อนหันไปมองตามที่สามีบอก
“เสียงอะไรคะ”
ทันใดนั้น เสียงกุกกัก ปึง ๆ ก็ดังมาจากท้ายรถอีก สองสามีภรรยาสบตากัน พิภพฉายไฟส่องไปที่กระโปรงท้ายรถพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้ โดยมีร่างอรวีตามติด ท่ามกลางแสงสว่างของไฟฉายในมือ ทั้งสองเห็นกระโปรงรถคล้ายมีบางอย่างดิ้นรนเคลื่อนไหวอยู่ข้างใน บัดดลทั้งคู่คิดไปในทางเดียวกัน
“เปิดกระโปรงท้ายรถเร็วเข้า หรือว่าข้างในนั่น อรวียังไม่ตาย”
ลักขณาละล่ำละลัก เร่งให้สามีเปิดกระโปรงท้ายรถทันที เธอคิดเหมือนสามี นั่นคือคิดว่าเป็นอรวีที่กำลังดิ้นรนอยู่ข้างในนั้น คราวนี้หญิงสาวผู้เป็นภรรยาหลวงกลับรู้สึกดีใจ นี่ถ้าหากอรวีฟื้นขึ้นมาจริง เธอก็จะพ้นจากข้อหาฆ่าคนตาย
ส่วนพิภพยังชั่งใจใคร่ครวญไปมา ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจ เพราะตอนหามร่างภรรยาน้อยของเขาขึ้นใส่ท้ายรถ เขาแน่ใจว่าอรวีสิ้นลมไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่หญิงสาวจะฟื้นขึ้นมา นอกจากมีปาฏิหาริย์... แต่ชายหนุ่มก็ตัดสินใจเปิดกระโปรงท้ายรถออกดู ถ้าหากอรวีไม่ตายก็นับว่าปาฏิหาริย์มีจริง จะได้นำร่างหญิงเคราะห์ร้ายออกมาปฐมพยาบาล และทันทีที่ฝากระโปรงท้ายรถถูกเปิดออก ร่างหนึ่งก็ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่ง
“เฮ้ย!”
“ว้าย!”
สองสามีภรรยาร้องออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ
“อรวี” พิภพอุทานอย่างตื่นตะลึง ร่างภรรยาอีกคนของเขานั่นเอง ที่บัดนี้ลุกขึ้นมานั่งจ้องมองดูคนทั้งคู่อยู่ท้ายกระโปรงรถอย่างน่าอัศจรรย์
“อรยังไม่ตายหรือนี่ โอ้ ดีใจจริง ๆ”
นังเมียน้อยฟื้นขึ้นมาได้ไง...หญิงผู้เป็นภรรยาหลวงแม้ดีใจ แต่ก็รู้สึกถึงความไม่ชอบพากล อาจเป็นเพราะนังนี่มันแค่สลบหรือหยุดหายใจไปชั่วขณะแล้วเกิดฟื้นขึ้นมาตอนนี้พอดี เคยอ่านเจอข่าวบ่อยไปที่มีคนตายไปตั้งหลายวันแล้วฟื้น บางคนจนเขานำศพไปเผา ดันเกิดฟื้นขึ้นมานั่งกลางกองฟอนก็ยังเคยมี
“นี่...เธอเป็นยังไงบ้าง”
ถามเพราะความสงสัยอะไรบางอย่าง ไม่ใช่เพราะห่วงใย น้ำเสียงจึงสะบัด ๆ อย่างไม่วายขุ่นเคือง อรวีที่ใบหน้าดูสดใสและไม่มีอาการบาดเจ็บอะไรเลย ชำเลืองมองภรรยาหลวงด้วยหางตา หล่อนเหยียดมุมปากเข้าใส่แล้วตอบด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกันว่า
“ผิดหวังเหรอยะที่ฉันยังไม่ตาย” ก่อนหันไปออดอ้อนสามีซึ่งยืนตะลึงจ้องเธออย่างทึ่ง
“โอย...พี่ภพคะ ถ้ามาเปิดกระโปรงรถช้าอีกนิดเดียวเมียคงขาดใจตายไปจริง ๆ พี่ดูสิ อรไม่มีเลือดออกแล้ว ลูกของเราคงยังปลอดภัย แต่อรอ่อนเพลียมากค่ะพี่ แทบไม่มีเรี่ยวแรง”
พอรู้ว่าอรวีปลอดภัยและได้ยินว่าลูกในท้องของเธออาจไม่ได้แท้งไป พิภพก็แทบกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ เขากรากเข้ามาหาเธอ เอามือจับสำรวจดูตามเนื้อตัว แล้วเชยคางเธอเงยขึ้นเพื่อจ้องใบหน้า เมื่อเห็นอรวีมีหน้าตาเปล่งปลั่งไม่ได้ซีดเซียวอะไร ตลอดจนไม่มีเลือดไหลออกมาจากชายกระโปรงชุดคลุมท้องให้เห็นอีกแล้ว และภรรยาน้อยของเขาก็ไม่แสดงอาการเจ็บปวดใด ๆ ออกมา ชายหนุ่มจึงอดยินดีไมได้ เขาพร่ำบอกเธอด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
“ดีใจจังที่อรไม่เป็นไร พี่ขอโทษที่เอาอรมาไว้ท้ายรถแบบนี้ บอกตามตรงพี่นึกว่าเสียอรไปแล้ว เดี๋ยวพอหาทางออกจากที่นี่ได้ พี่จะรีบพาอรไปโรงพยาบาลทันที อรอดทนเอาไว้นะ”
อรวีซึ่งฟื้นขึ้นมานั่งได้อย่างเหลือเชื่อยิ้มให้สามี ก่อนจิกหางตาใส่ผู้หญิงอีกคนที่ยืนข้าง ๆ พิภพอย่างชิงชัง
“ค่ะ อรไม่เป็นอะไรมาก ไม่ตายง่าย ๆ ให้สมใจใครหรอกค่ะ จะอยู่คลอดลูกให้พี่แน่นอน”
เป็นอีกครั้งที่ลักขณาต้องยืนทำคอแข็งมองสามีประคับประคองร่างนังผู้หญิงชั่ว เกือบบันดาลโทสะอาละวาดด่าทอคนทั้งคู่เข้าให้อีก แต่ครั้นพอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองและสามีกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากท่ามกลางถนนผีสิงแห่งนี้ จึงต้องสงบใจลง หญิงสาวข่มใจบอกสามี
“พาแม่นี่มาขึ้นรถเถอะภพ เอาใส่ไว้ตรงเบาะหลังแน่ะ”
บอกแล้วสะบัดหน้าหนีภาพบาดตาไปอีกทาง ซึ่งก็เลยเห็นความมืดมิดรอบข้างเข้าเต็ม ๆ ลักขณาเหลียวมองรอบกายอย่างหวาดวิตก...ไอ้ถนนอุบาทว์นี่มันก็ไม่ต่างจากจากถนนสายเดิมเลย ยังให้ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยววังเวงน่ากลัวเหมือนเดิม
ความคิดเตลิดไปยังเรื่องของภูตผีปีศาจที่เคยประสบ ลักขณาเริ่มหลอนตัวเอง...ถ้ามีปีศาจอยู่แถวนี้ล่ะ
บ้าน่า...ไม่บ้าหรอก เพราะเธอเคยเจอมาแล้วที่บ้านแสงสินี บางทีอาจมีวิญญาณสัมภเวสีเร่ร่อนผ่านมาเจอพวกเธอเข้า แล้วอยากมาอยู่เป็นเพื่อน ตอนนี้อาจกำลังค่อย ๆ ยื่นใบหน้าเน่าเฟะมาหาอย่างช้า ๆ พร้อมกับลมหายใจอันเย็นยะเยือกสัมผัสรดต้นคอ ความคิดน่ากลัวเกี่ยวกับภูตผีแบบนั้นทำให้ลักขณาขนลุกขนพอง
“เร็วเข้าหน่อย บรรยากาศแถวนี้มันไม่ค่อยดี” ภรรยาหลวงเร่งยิก พิภพจึงประคองอรวีให้ลุกขึ้นยืน
“เอาล่ะ พี่จะอุ้มอรไปนอนอยู่ที่เบาะหลังนะครับ อรจะได้นอนเหยียดพักได้สบาย อุ้ม ขึ้นรถเร็วเข้า”
บอกอ่อนโยนกับภรรยาน้อยและหันมาสั่งให้ภรรยาหลวงขึ้นรถ ซึ่งลักขณาก็ไม่รอช้า รีบเปิดประตูขึ้นนั่งเบาะหน้าข้างคนขับ กระชากประตูรถปิดดังปัง พิภพเองก็เปิดประตูเบาะหลังรถเก๋งออกก่อนช้อนร่างอรวีขึ้น เขาอุ้มร่างเธอไปใส่ไว้ตรงเบาะหลัง กำชับให้นอนราบลงกับเบาะ
“อรนอนลงไปเลยนะ อีกไม่นานคงออกถนนใหญ่ได้ ถ้าถึงโรงพยาบาลพี่จะพาอรเข้าไปรักษาตัวทันที”
หญิงสาวคนเจ็บพยักหน้าให้สามี ลักขณาหันมาค้อนขวับใส่คนทั้งคู่ พิภพขึ้นมานั่งประจำที่คนขับ เขายกมือไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนเอื้อมมือบิดกุญแจรถเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง
บรื้นนนน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เสียงเครื่องยนต์คำรามกระหึ่ม รถเก๋งคันงามสตาร์ทติดในครั้งแรกทันที พิภพกับลักขณาถอนหายใจอย่างโล่งอกขึ้นมาพร้อมกัน ชายหนุ่มเร่งเครื่องให้รถเคลื่อนตัวออกสู่ถนนอีกครั้งหนึ่ง
ขับมาอีกสักพัก ทันใดนั้นแสงไฟหน้ารถสาดส่องให้เห็นร่างคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ข้างถนนซ้ายมือ ซึ่งทำให้คนในรถใจชื้นขึ้นมาอีกครั้ง การเห็นคนยืนข้างทางก็หมายถึงว่า แถวนี้คงมีหมู่บ้างห่างออกไปไม่ไกลนัก บางทีอาจจะอยู่ข้างหน้าก็เป็นได้
“แวะถามทางเถอะภพ แต่อย่ารับขึ้นรถนะ”
พิภพเองก็คิดว่าควรชะลอรถแวะทักสักหน่อยพอให้อุ่นใจ แต่พอขับรถเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มต้องตัวสะท้านเยือก ใจสั่นระรัวกะทันหัน เพราะกลุ่มคนที่กำลังยืนอยู่ข้างทางนั้น จำนวนคน รูปร่าง ท่าทาง คุ้นตาอย่างไม่น่าเชื่อ ใช่แล้ว...เขาเพิ่งเห็นคนกลุ่มนี้ตรงทางแยกนั่นเอง แล้วทำไมถึงมาเจออีกครั้ง มันไม่น่าเป็นไปได้
ความตกใจทำให้ถอนคันเร่งโดยไม่รู้ตัว รถเก๋งชะลอความเร็วจนเกือบหยุดลงตรงหน้าคนกลุ่มนั้น ซึ่งพากันยืนตัวแข็งทื่อ ครั้นแล้วพวกเขาก็สะบัดหน้ามาทางรถเก๋งและหันมาจ้องหนุ่มสาวในรถเป็นตาเดียว ไม่ผิดกับเหตุการณ์บริเวณทางสามแพร่งแม้แต่น้อย
แต่คราวนี้หนักกว่า เพราะพอรถชะลอความเร็วและแล่นช้า ๆ ผ่าน ใครคนหนึ่งในจำนวนนั้นก็ชะโงกหน้ามาแนบกระจก สองคนในรถต่างหันขวับไปมองก่อนสมองจะสั่งการเสียด้วยซ้ำ
ที่กำลังเอาหน้าแนบกระจกอยู่นั้น...นั่นมันใบหน้าของซากศพชัด ๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมองเห็นชัดเหลือเกิน ทั้งที่ด้านนอกมืดสนิทเพราะพ้นรัศมีแสงไฟหน้ารถไปแล้ว ใบหน้านั้นขาวโพลนซีดเผือด ตาสองข้างเหม่อลอยไร้ความรู้สึก ปากอ้ากว้างค้าง มือทั้งสองข้างตะกายไปมาอยู่บนกระจกเสียงดังแคว่ก ๆ ตลอดเวลา
ลักขณากรีดร้องสุดเสียง หญิงสาวตกใจแทบสิ้นสติกระเถิบตัวออกห่างจากกระจกหน้าต่างรถทันควัน อรวีที่แต่แรกนอนตะแคงตัวอยู่ตรงเบาะหลัง ผุดลุกขึ้นนั่งอย่างงง ๆ ครั้นเห็นภาพสยองภาพเดียวกันก็หวีดร้องประสานเสียงกับภรรยาหลวง
ส่วนพิภพก็ตกใจอย่างหนัก แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดยังอยู่ครบถ้วน ชายหนุ่มกระทืบคันเร่งเต็มแรง รถพุ่งพรวดแทบแฉลบลงข้างทาง แต่ถึงตกใจปานใด มือของเขายังหมุนพวงมาลัย สามารถบังคับให้รถกลับมาอยู่ในเส้นทางได้อย่างหวุดหวิด เขาเบิกตาจ้องมองทางกระจกมองหลัง แย่แล้ว...คนประหลาดพวกนั้นวิ่งตามมาติด ๆ มือทั้งคู่ไขว่คว้าไปมาในอากาศอย่างน่าขนลุก กิริยาอันวิปริตผิดธรรมชาติของคนเหล่านี้ช่างน่าสะพรึงกลัว สามสามีภรรยาแข่งกันร้องโวยวายด้วยความสยดสยอง
ตายแล้ว...ตายแล้ว!
คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกช้างด้วย!
ยิ่งช่วงนั้นสภาพของถนนไม่ค่อยดีนัก บางครั้งรถกระแทกหลุมบ่อเอียงวูบวาบ แต่พิภพพยายามขับให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ชายหนุ่มจะไม่หันไปมองข้างหลังแล้วก็ตาม แต่ยังรู้สึกมองเห็นภาพผู้คนเหล่านั้นชัดเจนอยู่ในห้วงความคิด เห็นชัดขนาดมองออกว่า ใบหน้าขาวซีดของคนพวกนั้นกำลังอ้าปากเหมือนพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง สองมือบิดเบี้ยวหงิกงอตะกายไขว่คว้าไปในอากาศ บางมือยื่นตรงมาข้างหน้าคล้ายเปรตขอส่วนบุญ ภาพสยองนั้นติดตาติดความรู้สึกนานชัดเจนอยู่หลายนาทีกว่าจะจางหายไป
พิภพขับรถพาภรรยาทั้งสองหนีแบบไม่คิดชีวิต เป็นระยะทางไกลเท่าไรก็สุดจะคำนวณ จนกระทั่งใจคอเริ่มสงบลงบ้างจึงกล้ามองดูทางกระจกหลัง ซึ่งไม่พบอะไรอีกนอกจากความมืดทะมึน
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันภพ ถนนเส้นนี้กำลังตรงไปที่ไหน อุ้มกลัว...กลัวจังเลย” ภรรยาเบอร์หนึ่งของเขาเริ่มร้องไห้ฟูมฟายอีกครั้ง
“นั่นมันผี ไม่ใช่คนแน่ ๆ เราโดนผีหลอกเข้าให้แล้ว ใช่ไหมคะพี่” หญิงคนเจ็บซึ่งบัดนี้แทบลืมอาการเจ็บป่วยของตน เธอนั่งเกาะพนักเบาะคนขับแน่น ถามสามีเสียงสั่น บ่งบอกถึงความหวาดกลัวขนาดหนัก
พิภพกัดฟันกรอด ๆ ไม่ตอบคำถามใคร ชายหนุ่มกำลังหงุดหงิดผสมความหวาดกลัว พยายามตั้งสติไม่หันกลับไปคิดถึงกลุ่มคนประหลาดที่เพิ่งเจอมาหยก ๆ มันจะเป็นภูตผีปีศาจ เป็นซอมบี้เมืองไทยหรือเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาก็ตาม แต่ที่แน่ ๆ มันได้สร้างความขนพองสยองเกล้าจนสติแทบปลิดปลิว
เมื่อเห็นอาการหงุดหงิดของสามี ภรรยาทั้งสองต่างเงียบเสียงลง พากันนั่งตัวเกร็งจ้องเขม็งไปเบื้องหน้าด้วยใจระทึก สามคนสามีภรรยานั่งอยู่ในรถที่กำลังแล่นไปโดยไร้จุดหมายปลายทางอย่างอกสั่นขวัญแขวน
(มีต่อ)