“ไปลองเที่ยววังตีระฆังให้ดังระเบิด”
ชื่อแคมเปญนี้อาจยังไม่คุ้นหูสำหรับคนทั่วไปนัก จขกท.เองก็เช่นกันในครั้งแรกที่ได้ยินชื่อนี้มีหลายคำในใจทันที เที่ยววังอะไร กษัตริย์ล้านนาราชวงศ์ไหน และทำไมต้องตีระฆังให้ดังระเบิด เราไปค้นหาคำตอบกันเลยดีกว่า
ผู้เขียนได้รับโอกาสจากเพื่อนท่านหนึ่งชวนไปเที่ยว จ.แพร่ ในช่วงวันที่ 4-6 ส.ค.2556 ที่ผ่านมา โดยเพื่อนหลอกล่อให้ไปกับคณะสื่อมวลชน เพื่อเก็บข้อมูลและส่งเสริมการท่องเที่ยว จ.แพร่ ครั้งแรกที่ได้รับการเชิญชวนนั้นในใจคิดว่า “ก็ดีนะ ที่ผ่านมาไม่เคยแวะเที่ยวจังหวัดนี้อย่างจริงจัง เคยแวะไหว้พระธาตุช่อแฮ กับแพะเมืองผีตอนผ่านไปน่านแค่นั้นเอง ที่เหลือ..ไม่รู้เลย แพร่มีอะไรให้เที่ยว" คิดไปมาอยู่ 10 วินาที ก็ตอบตกลงเพื่อนไปอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่ได้ถามอะไรมาก พักที่ไหน เที่ยวที่ไหน พอดีเป็นทริปฟรีเลยไม่อยากถามเยอะ หุหุ
จากวันที่ถูกหลอก เอ้ย เชิญชวนไม่นานนักก็ถึงวันนัดหมาย ช่วงเช้าวันที่ 4 ส.ค. เพื่อนนัดไปขึ้นรถตู้ตั้งแต่ตี 5 เช้ามากๆค่ะ ปกติไปทำงานยังไม่ตื่นเช้าขนาดนี้ เมื่อสมาชิกพร้อมเพรียงกันรถตู้ออกเดินทางจากกรุงเทพเมืองฟ้าอมรตั้งแต่ยังไม่ถึง 6 โมงเช้า ซึ่งเริ่มสว่างแล้ว เหมาะที่จะเป็นเวลาพักสายตาก่อนนะและหวังว่าเมื่อลืมตาตื่นอีกครั้งจะได้เห็นขุนเขาเขียวขจี หลับๆ ตื่นๆ รถตู้ใช้เวลาประมาณ 5 ชม. ก็พาชาวคณะเดินทางมาถึง จ.อุตรดิตถ์ เพื่อพักรับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านลมเย็น ซึ่งนอกจากบรรยากาศเรือนไม้แบบโบราณ ต้นไม้ร่มครึ้ม อาหารหน้าตาดูดีแล้วยังมีมุมกาแฟสด และ เบเกอรี่น่าทานไว้คอยบริการอีกด้วย
อิ่มแล้วออกเดินทางกันต่อ เพลิดเพลินกับการมองเนินเขาสองข้างทางเล็กบ้างใหญ่บ้าง พอให้ได้รับรู้ว่าเราได้มาถึงประตูสู่ภาคเหนือแล้ว 2 ชม.ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วรถตู้ก็พาชาวคณะมาถึงยังจุดหมายแรก
หมู่บ้านกะเหรี่ยง ปกาเกอะญอ บ้านค้างใจ ต.แม่เกิ๋ง อ.วังชิ้น ที่นี่มีสายฝนมาคอยต้อนรับชาวคณะอย่างอบอุ่น ฝนหนาเม็ดสลับเบา เมื่อฝนจางลงความสวยงามของสายหมอกบนขุนเขาที่อยู่ไม่ไกลนักก็ปรากฎขึ้น
ที่นี่มีคุณครูทำหน้าที่วิทยากรท้องถิ่นพาพี่ๆน้องๆในหมู่บ้านมาต้อนรับชาวคณะ พร้อมแนะนำกิจกรรมไฮไลท์ของหมู่บ้านแห่งนี้
ชาวบ้านแถบนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขาเผ่ากระเหรี่ยง ปกาเกอะญอ ผลิตภัณฑ์ที่ชาวบ้านอยากจะอวดให้เราได้สัมผัสกันในวันนี้เป็นผ้าทอตีนจกปักเม็ดเดือยรูปแบบประจำชนเผ่า ที่ชาวบ้านผลิตกันเป็นรายได้เสริมเมื่อว่างเว้นจากการทำไร่ทำนา นอกจากผ้าทอก็มีผลิตภัณฑ์ผ้าอื่นๆ เช่น ตุ๊กตาปักมือ หมอนเป็นต้น แน่นอนว่ามีจขกท.และเพื่อนๆ เราได้ของติดไม้ติดมือกลับบ้านกันตามระเบียบ
หลังจากกระเป๋าเบาจากที่นี่แล้วรถตู้ขับย้อนมาเล็กน้อยถึงเพื่อไปยังสถานีถัดไป บ่อน้ำร้อนแม่จอก บ่อน้ำร้อนที่นี่เป็นบ่อน้ำแร่ที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดินตามธรรมชาติ นักท่องเที่ยวสามารถทำกิจกรรมแช่เท้า แช่ตัว รวมถึงการลวกไข่สุดฮอต ในวันที่คณะเราไปเยี่ยมชมนั้นอากาศค่อนข้างเย็นเพราะฝนตกตลอด ทำให้ไข่ลวกของพวกเราต้องใช้เวลานานนิดนึง หากใครไม่อยากแช่ทั้งตัวทางบ่อน้ำร้อนก็ได้ทำรางน้ำไว้ให้นั่งแช่เท้าได้บริเวณรอบๆ บ่อน้ำร้อน แต่ทริปในวันนั้นพวกเราไม่สามารถแช่เท้าได้เพราะฝนตกหนักมาก ไม่สามารถนั่งแช่เท้ากันรอบอ่างได้เลย นอกจากกิจกรรมแช่น้ำร้อนแล้วที่นี่ยังมีห้องนวดไทยไว้คอยบริการด้วยค่ะ
จุดหมายสุดท้ายของเราในวันนี้ เราจะไปค้างคืนกันที่
อุทยานแห่งชาติเวียงโกศัยซึ่งอยู่ในเขตอ.ลอง ไม่ไกลจากบ่อน้ำร้อนแม่จอก เนื่องจากวันนี้มีฝนตกทั้งวันทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยสายหมอกทำให้บริเวณรอบระเบียงที่เรานั่งทานอาหารเย็นนั้นสุดแสนโรแมนติก เสียดายที่ จขกท.ไม่ได้ถ่ายรูปบรรยากาศตรงนี้ไว้ เพราะหมอกเริ่มลงเยอะ และพอไปถึงทางอุทยานฯก็จัดเลี้ยงอาหารเย็นพอดี ก็เลยพุ่งความสนใจไปที่แกงแค ลาบคั่วที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า แหะแหะ... จากตรงระเบียงห้องอาหารที่ทำการอุทยานฯเราสามารถมองเห็นทิวเขาแนวเขต จ.สุโขทัย และ จ.ลำปางได้อีกด้วยในช่วงเวลาที่ฟ้าเปิด บ้านพักของเราในคืนนี้ดูร่มครึ้มภายใต้แนวต้นไม้ใหญ่และสดชื่นไปด้วยเสียงน้ำตกจากน้ำตกแม่เกิ๋งหลวง ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ทำการอุทยานฯ

หลายๆท่านที่เคยไปพักตามอุทยานต่างๆคงจะนึกออกว่าลักษณะบ้านพักก็เป็นบ้านหลังมีตั้งแต่ 2-3-4 ห้อง หรือ เป็นโรงนอนรวม ห้องน้ำรวมมีเครื่องทำน้ำอุ่น ไม่ได้เน้นเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก ในห้องพักที่นี่ไม่มีแอร์ มีแค่พัดลมตัวเดียว ปลั๊กไฟมีให้ห้องละ 1 จุด ห้องโถงกลางมีโทรทัศน์ดาวเทียมด้วย เน้นความเรียบง่าย บริหารจัดการง่าย แต่สะอาดสะอ้านดีค่ะ แต่คืนนี้ท่าทางทุกคนคงจะเหน็ดเหนื่อยกันแล้ว ต่อคิวกันอาบน้ำและพุ่งเข้าหาที่นอน แม้ว่าในบ้านพักที่นี่จะไม่มีแอร์ แต่ฝนที่ตกๆหยุดๆมาทั้งวัน บวกกับบ้านพักที่อยู่บนเนินเขา ทำให้พวกเราได้ซึมซับกับความเป็นธรรมชาติอย่างเต็มที่และหลับสบายกับอุณหภูมิ 25องศา และน่าจะต่ำกว่านั้นในช่วงดึก

เช้าแล้ว เราถูกปลุกด้วยเสียงนกร้อง และไอโฟน หุหุ หองอาหารอุทยานฯบริการพวกเราด้วยข้าวต้มร้อนๆ ชา กาแฟ โอวัลติน ขนมปังปิ้ง หอมฉุย เติมพลังเสร็จแล้วก็พร้อมออกเดินทาง ข่าวว่าวันนี้โปรแกรมแน่นเอี้ยด...
จากอุทยานฯ เดินทางประมาณ 45 นาที พวกเราก็มาถึง วัดสะแล่ง อ.ลอง บรรยากาศยามเช้ารอบๆ วัดแห่งนี้ห้อมล้อมไปด้วยทุ่งนาเขียวขจี ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น วัดแห่งนี้เดิมทีเป็นวัดร้าง จนกระทั่งพระครูวิจิตรนวการโกศล หรือ ครูบาสมจิต ติตฺตคุตฺโต เข้ามาบูรณะปฏิสังขรโบราณสถานและอนุรักษ์โบราณวัตถุที่มีความเก่าแก่ตั้งแต่สมัยสมัยทวาราวดีจนถึงสมัยอยุธยาตอนปลายให้เราได้เข้ามาชื่นชมกันในวันนี้ ไปชมบรรยากาศรอบๆ วัดกันเลยค่ะ

พวกเราใช้เวลาที่วัดนี้กันอยู่นานพอควร เพราะมีมุมถ่ายรูปมากมายเหลือเกิน มุมไหนๆ ก็สวยจนเราไม่อยากกลับ แต่จุดหมายถัดไปนี่เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ก็ว่าได้ เราจะได้ไปหาคำตอบกันว่าทำไมต้องตีระฆังให้ดังระเบิด
เพียง 20 นาทีจากวัดสะแล่งพวกเราก็เดินทางไปถึง
วัดศรีดอนคำ ที่อยู่ในตัวอ.ลอง ระหว่างทางที่รถตู้ขับผ่านมานั้น เราได้เห็นวิถีชีวิตชุมชน ทุ่งนาสวยงามตลอดเส้นทางถนนชนบทเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีรถราผ่านมากนักมองเพลินตาตลอด 2 ข้างทาง
วัดห้วยอ้อ หรือ วัดพระธาตุศรีดอนคำ ที่วัดแห่งนี้มีประวัติให้น่าศึกษามากมาย ไม่ว่าจะเป็นระเบิดสมัยสงครามโลก การบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเจดีย์ พระเจ้าพร้าโต้ จขกท.ขอเริ่มทีละเรื่องนะคะ
“ตีระฆังให้ดังระเบิด” ตามที่ได้เกริ่นไว้ว่าเราจะมาหาคำตอบของประโยคนี้กัน ว่ากันว่า ระฆังที่วัดแห่งนี้ทำมาจากระเบิดตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ไม่ระเบิด ต่อมาถูกพบโดยชาวบ้านแถบนั้นและมีการกู้ระเบิดขึ้นมา ประกอบกับในสมัยนั้นวัดแห่งนี้ยังไม่มีระฆังเพล ท่านเจ้าอาวาสจึงมีแนวคิดที่จะนำซากระเบิดนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ชาวบ้านจึงช่วยกันบูรณะตกแต่งให้สวยงามและแห่มาถวายวัดจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของที่วัดนี้จนถึงปัจจุบัน โดยมีความเชื่อว่า ใครที่ได้มาเยือนจะต้องตีระฆังนี้ 3 ครั้ง แล้วจะมีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนระเบิด ….. จขกท.ลองตีแล้วเสียงดังจริงๆ ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ

อีกด้านของวัดเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระอุระพระพุทธเจ้า วัดนี้เชื่อกันว่าสร้างขึ้นราวปี พ.ศ.1078 ในสมัยพระนางจามเทวี เมื่อคราวพระนางเสด็จกลับจากเมืองละโว้ไปยังเมืองหริภุญชัย ในส่วนนี้อาจจะต้องลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมด้านประวัติศาสตร์กันดูนะคะ

ตำนานพระเจ้าพร้าโต้ ชื่อที่ดูเป็นภาษาพื้นเมืองนี้มีตำนานเล่ากันว่าในสมัยโบราณชาวบ้านอยากจะร่วมกันสร้างพระเจ้าทันใจถวายวัด ในพื้นที่แถบนี้มีไม้สักอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านจึงช่วยกันนำพร้า (มีด) และ อีโต้ มาช่วยกันสร้างพระที่ทำจากไม้สักและคิดว่าถ้าจะให้ชื่อพระเจ้าทันใจก็จะซ้ำกับหลายวัดที่มีอยู่แล้ว จึงตั้งชื่อ พระเจ้าพร้าโต้ แทน ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 3 องค์จากเดิม 5 องค์

ภายในวัดเองยังมีพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงของโบราณและของใช้ของผู้คนในชุมชนในยุคสมัยต่างๆ มากมาย อาทิเช่น ฆ้องกบ (กลองมโหระทึก) เครื่องถ้วยชามของผู้คนในสมัยนั้น จักรยานคันแรกของ อ.ลอง เครื่องพิมพ์ดีดโบราณ และอีกมากมาย
จากที่วัดเราไปต่อกันที่
โฮงซึงหลวง ที่เป็นเสมือนโรงเรียนผลิตเครื่องดนตรีล้านนาโบราณ ฝึกสอนการเล่นดนตรีล้านนา เสียดายที่พวกเรามีเวลาไม่เยอะ เพราะเวลาล่วงเลยไปบ่ายโมงแล้ว ทำให้พวกเรายังไม่จุใจกับเพลงล้านนาที่อาจารย์แกเล่นให้ฟัง

มื้อกลางวันใน อ.ลอง ที่ร้านซันฟลาวเวอร์ มีอาหารชนิดหนึ่งที่เราสังเกตุได้ว่าชื่อของอาหารนั้นมีความแปลกและน่าสนใจ คือ ขนมจีนน้ำย้อย คณะเราได้มีโอกาสลองชิมและพบว่า คำว่าน้ำย้อยนั้นมาจากตัวขนมจีนซึ่งทำจากเส้นสดเมื่อบีบเส้นแล้วจะมีน้ำหยดออกมา รับประทานคู่กับน้ำเงี้ยวที่มีทั้งแบบจืดและเผ็ด หากมีโอกาสมาเยือนเมืองลองแล้วต้องไม่พลาดค่ะ
หลังจากอิ่มหนำกับเมนูขนมจีนน้ำย้อย ก็ถึงเวลาเดินทางกันต่อมุ่งหน้าสู่ อุทยานแห่งชาติดอยผากลอง ในพื้นที่อ.ลอง ที่นี่ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ.2550 ในลำดับที่ 107 บรรยากาศโดยรอบเป็นที่ราบบนภูเขาสูง มีโขดหินใหญ่น้อยอยู่ในแม่น้ำยม และมีส่วนป่าไม้สักให้บรรยากาศร่มครึ้ม ที่นี่จึงเหมาะกับกิจกรรมล่องแก่งในช่วงฤดูร้อน แต่ในช่วงฤดูฝนเช่นนี้น้ำป่าไหลหลาก คณะเราจึงได้ไปทำกิจกรรมอื่นแทนที่เปียกไม่แพ้การล่องแก่ง โดยในช่วงบ่ายวันนี้ทีมงานหน่วยพิทักษ์จะพาเราไปเดินสำรวจถ้ำเอราวัณ-แก่งหลวง ปากถ้ำอยู่ไม่สูงนักแต่ทางเดินขึ้นไปนั้นเป็นบันไดหินที่ยังหมาดๆ น้ำฝนอยู่ทำให้เราเดินได้ไม่เร็วนักเพราะต้องระมัดระวังไม่ให้ลื่นตกลงไป บรรยากาศของป่าร้อนชื้นปกคลุมไปด้วยมอส ตะไคร่ และเฟิร์นนานาชนิด ให้ความรู้สึกชื้นๆ ตลอดทาง

ถ้ำเอราวัณยังเป็นถ้ำเป็น ไฮไลท์ภายในถ้ำแห่งนี้จะเป็นหินงอกหินย้อยขนาดใหญ่มีสีขาวนวลลักษณะคล้ายเศรียรช้างเอราวัณ มีน้ำหยดจากหลังคาและผนังถ้ำหลายจุด น่าเสียดายที่ผู้เขียนไม่ได้นำแฟลชกล้องถ่ายรูปเข้าไปด้วยจึงไม่ได้เก็บภาพบรรยากาศมาฝากกัน....
[SR] เที่ยวแพร่ไม่แคร์ฝน
ชื่อแคมเปญนี้อาจยังไม่คุ้นหูสำหรับคนทั่วไปนัก จขกท.เองก็เช่นกันในครั้งแรกที่ได้ยินชื่อนี้มีหลายคำในใจทันที เที่ยววังอะไร กษัตริย์ล้านนาราชวงศ์ไหน และทำไมต้องตีระฆังให้ดังระเบิด เราไปค้นหาคำตอบกันเลยดีกว่า
ผู้เขียนได้รับโอกาสจากเพื่อนท่านหนึ่งชวนไปเที่ยว จ.แพร่ ในช่วงวันที่ 4-6 ส.ค.2556 ที่ผ่านมา โดยเพื่อนหลอกล่อให้ไปกับคณะสื่อมวลชน เพื่อเก็บข้อมูลและส่งเสริมการท่องเที่ยว จ.แพร่ ครั้งแรกที่ได้รับการเชิญชวนนั้นในใจคิดว่า “ก็ดีนะ ที่ผ่านมาไม่เคยแวะเที่ยวจังหวัดนี้อย่างจริงจัง เคยแวะไหว้พระธาตุช่อแฮ กับแพะเมืองผีตอนผ่านไปน่านแค่นั้นเอง ที่เหลือ..ไม่รู้เลย แพร่มีอะไรให้เที่ยว" คิดไปมาอยู่ 10 วินาที ก็ตอบตกลงเพื่อนไปอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่ได้ถามอะไรมาก พักที่ไหน เที่ยวที่ไหน พอดีเป็นทริปฟรีเลยไม่อยากถามเยอะ หุหุ
จากวันที่ถูกหลอก เอ้ย เชิญชวนไม่นานนักก็ถึงวันนัดหมาย ช่วงเช้าวันที่ 4 ส.ค. เพื่อนนัดไปขึ้นรถตู้ตั้งแต่ตี 5 เช้ามากๆค่ะ ปกติไปทำงานยังไม่ตื่นเช้าขนาดนี้ เมื่อสมาชิกพร้อมเพรียงกันรถตู้ออกเดินทางจากกรุงเทพเมืองฟ้าอมรตั้งแต่ยังไม่ถึง 6 โมงเช้า ซึ่งเริ่มสว่างแล้ว เหมาะที่จะเป็นเวลาพักสายตาก่อนนะและหวังว่าเมื่อลืมตาตื่นอีกครั้งจะได้เห็นขุนเขาเขียวขจี หลับๆ ตื่นๆ รถตู้ใช้เวลาประมาณ 5 ชม. ก็พาชาวคณะเดินทางมาถึง จ.อุตรดิตถ์ เพื่อพักรับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านลมเย็น ซึ่งนอกจากบรรยากาศเรือนไม้แบบโบราณ ต้นไม้ร่มครึ้ม อาหารหน้าตาดูดีแล้วยังมีมุมกาแฟสด และ เบเกอรี่น่าทานไว้คอยบริการอีกด้วย
อิ่มแล้วออกเดินทางกันต่อ เพลิดเพลินกับการมองเนินเขาสองข้างทางเล็กบ้างใหญ่บ้าง พอให้ได้รับรู้ว่าเราได้มาถึงประตูสู่ภาคเหนือแล้ว 2 ชม.ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วรถตู้ก็พาชาวคณะมาถึงยังจุดหมายแรก หมู่บ้านกะเหรี่ยง ปกาเกอะญอ บ้านค้างใจ ต.แม่เกิ๋ง อ.วังชิ้น ที่นี่มีสายฝนมาคอยต้อนรับชาวคณะอย่างอบอุ่น ฝนหนาเม็ดสลับเบา เมื่อฝนจางลงความสวยงามของสายหมอกบนขุนเขาที่อยู่ไม่ไกลนักก็ปรากฎขึ้น
ที่นี่มีคุณครูทำหน้าที่วิทยากรท้องถิ่นพาพี่ๆน้องๆในหมู่บ้านมาต้อนรับชาวคณะ พร้อมแนะนำกิจกรรมไฮไลท์ของหมู่บ้านแห่งนี้
ชาวบ้านแถบนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขาเผ่ากระเหรี่ยง ปกาเกอะญอ ผลิตภัณฑ์ที่ชาวบ้านอยากจะอวดให้เราได้สัมผัสกันในวันนี้เป็นผ้าทอตีนจกปักเม็ดเดือยรูปแบบประจำชนเผ่า ที่ชาวบ้านผลิตกันเป็นรายได้เสริมเมื่อว่างเว้นจากการทำไร่ทำนา นอกจากผ้าทอก็มีผลิตภัณฑ์ผ้าอื่นๆ เช่น ตุ๊กตาปักมือ หมอนเป็นต้น แน่นอนว่ามีจขกท.และเพื่อนๆ เราได้ของติดไม้ติดมือกลับบ้านกันตามระเบียบ
หลังจากกระเป๋าเบาจากที่นี่แล้วรถตู้ขับย้อนมาเล็กน้อยถึงเพื่อไปยังสถานีถัดไป บ่อน้ำร้อนแม่จอก บ่อน้ำร้อนที่นี่เป็นบ่อน้ำแร่ที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดินตามธรรมชาติ นักท่องเที่ยวสามารถทำกิจกรรมแช่เท้า แช่ตัว รวมถึงการลวกไข่สุดฮอต ในวันที่คณะเราไปเยี่ยมชมนั้นอากาศค่อนข้างเย็นเพราะฝนตกตลอด ทำให้ไข่ลวกของพวกเราต้องใช้เวลานานนิดนึง หากใครไม่อยากแช่ทั้งตัวทางบ่อน้ำร้อนก็ได้ทำรางน้ำไว้ให้นั่งแช่เท้าได้บริเวณรอบๆ บ่อน้ำร้อน แต่ทริปในวันนั้นพวกเราไม่สามารถแช่เท้าได้เพราะฝนตกหนักมาก ไม่สามารถนั่งแช่เท้ากันรอบอ่างได้เลย นอกจากกิจกรรมแช่น้ำร้อนแล้วที่นี่ยังมีห้องนวดไทยไว้คอยบริการด้วยค่ะ
จุดหมายสุดท้ายของเราในวันนี้ เราจะไปค้างคืนกันที่ อุทยานแห่งชาติเวียงโกศัยซึ่งอยู่ในเขตอ.ลอง ไม่ไกลจากบ่อน้ำร้อนแม่จอก เนื่องจากวันนี้มีฝนตกทั้งวันทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยสายหมอกทำให้บริเวณรอบระเบียงที่เรานั่งทานอาหารเย็นนั้นสุดแสนโรแมนติก เสียดายที่ จขกท.ไม่ได้ถ่ายรูปบรรยากาศตรงนี้ไว้ เพราะหมอกเริ่มลงเยอะ และพอไปถึงทางอุทยานฯก็จัดเลี้ยงอาหารเย็นพอดี ก็เลยพุ่งความสนใจไปที่แกงแค ลาบคั่วที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า แหะแหะ... จากตรงระเบียงห้องอาหารที่ทำการอุทยานฯเราสามารถมองเห็นทิวเขาแนวเขต จ.สุโขทัย และ จ.ลำปางได้อีกด้วยในช่วงเวลาที่ฟ้าเปิด บ้านพักของเราในคืนนี้ดูร่มครึ้มภายใต้แนวต้นไม้ใหญ่และสดชื่นไปด้วยเสียงน้ำตกจากน้ำตกแม่เกิ๋งหลวง ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ทำการอุทยานฯ
หลายๆท่านที่เคยไปพักตามอุทยานต่างๆคงจะนึกออกว่าลักษณะบ้านพักก็เป็นบ้านหลังมีตั้งแต่ 2-3-4 ห้อง หรือ เป็นโรงนอนรวม ห้องน้ำรวมมีเครื่องทำน้ำอุ่น ไม่ได้เน้นเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก ในห้องพักที่นี่ไม่มีแอร์ มีแค่พัดลมตัวเดียว ปลั๊กไฟมีให้ห้องละ 1 จุด ห้องโถงกลางมีโทรทัศน์ดาวเทียมด้วย เน้นความเรียบง่าย บริหารจัดการง่าย แต่สะอาดสะอ้านดีค่ะ แต่คืนนี้ท่าทางทุกคนคงจะเหน็ดเหนื่อยกันแล้ว ต่อคิวกันอาบน้ำและพุ่งเข้าหาที่นอน แม้ว่าในบ้านพักที่นี่จะไม่มีแอร์ แต่ฝนที่ตกๆหยุดๆมาทั้งวัน บวกกับบ้านพักที่อยู่บนเนินเขา ทำให้พวกเราได้ซึมซับกับความเป็นธรรมชาติอย่างเต็มที่และหลับสบายกับอุณหภูมิ 25องศา และน่าจะต่ำกว่านั้นในช่วงดึก
เช้าแล้ว เราถูกปลุกด้วยเสียงนกร้อง และไอโฟน หุหุ หองอาหารอุทยานฯบริการพวกเราด้วยข้าวต้มร้อนๆ ชา กาแฟ โอวัลติน ขนมปังปิ้ง หอมฉุย เติมพลังเสร็จแล้วก็พร้อมออกเดินทาง ข่าวว่าวันนี้โปรแกรมแน่นเอี้ยด...
จากอุทยานฯ เดินทางประมาณ 45 นาที พวกเราก็มาถึง วัดสะแล่ง อ.ลอง บรรยากาศยามเช้ารอบๆ วัดแห่งนี้ห้อมล้อมไปด้วยทุ่งนาเขียวขจี ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น วัดแห่งนี้เดิมทีเป็นวัดร้าง จนกระทั่งพระครูวิจิตรนวการโกศล หรือ ครูบาสมจิต ติตฺตคุตฺโต เข้ามาบูรณะปฏิสังขรโบราณสถานและอนุรักษ์โบราณวัตถุที่มีความเก่าแก่ตั้งแต่สมัยสมัยทวาราวดีจนถึงสมัยอยุธยาตอนปลายให้เราได้เข้ามาชื่นชมกันในวันนี้ ไปชมบรรยากาศรอบๆ วัดกันเลยค่ะ
พวกเราใช้เวลาที่วัดนี้กันอยู่นานพอควร เพราะมีมุมถ่ายรูปมากมายเหลือเกิน มุมไหนๆ ก็สวยจนเราไม่อยากกลับ แต่จุดหมายถัดไปนี่เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ก็ว่าได้ เราจะได้ไปหาคำตอบกันว่าทำไมต้องตีระฆังให้ดังระเบิด
เพียง 20 นาทีจากวัดสะแล่งพวกเราก็เดินทางไปถึงวัดศรีดอนคำ ที่อยู่ในตัวอ.ลอง ระหว่างทางที่รถตู้ขับผ่านมานั้น เราได้เห็นวิถีชีวิตชุมชน ทุ่งนาสวยงามตลอดเส้นทางถนนชนบทเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีรถราผ่านมากนักมองเพลินตาตลอด 2 ข้างทาง วัดห้วยอ้อ หรือ วัดพระธาตุศรีดอนคำ ที่วัดแห่งนี้มีประวัติให้น่าศึกษามากมาย ไม่ว่าจะเป็นระเบิดสมัยสงครามโลก การบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเจดีย์ พระเจ้าพร้าโต้ จขกท.ขอเริ่มทีละเรื่องนะคะ
“ตีระฆังให้ดังระเบิด” ตามที่ได้เกริ่นไว้ว่าเราจะมาหาคำตอบของประโยคนี้กัน ว่ากันว่า ระฆังที่วัดแห่งนี้ทำมาจากระเบิดตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ไม่ระเบิด ต่อมาถูกพบโดยชาวบ้านแถบนั้นและมีการกู้ระเบิดขึ้นมา ประกอบกับในสมัยนั้นวัดแห่งนี้ยังไม่มีระฆังเพล ท่านเจ้าอาวาสจึงมีแนวคิดที่จะนำซากระเบิดนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ชาวบ้านจึงช่วยกันบูรณะตกแต่งให้สวยงามและแห่มาถวายวัดจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของที่วัดนี้จนถึงปัจจุบัน โดยมีความเชื่อว่า ใครที่ได้มาเยือนจะต้องตีระฆังนี้ 3 ครั้ง แล้วจะมีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนระเบิด ….. จขกท.ลองตีแล้วเสียงดังจริงๆ ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ
อีกด้านของวัดเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระอุระพระพุทธเจ้า วัดนี้เชื่อกันว่าสร้างขึ้นราวปี พ.ศ.1078 ในสมัยพระนางจามเทวี เมื่อคราวพระนางเสด็จกลับจากเมืองละโว้ไปยังเมืองหริภุญชัย ในส่วนนี้อาจจะต้องลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมด้านประวัติศาสตร์กันดูนะคะ
ตำนานพระเจ้าพร้าโต้ ชื่อที่ดูเป็นภาษาพื้นเมืองนี้มีตำนานเล่ากันว่าในสมัยโบราณชาวบ้านอยากจะร่วมกันสร้างพระเจ้าทันใจถวายวัด ในพื้นที่แถบนี้มีไม้สักอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านจึงช่วยกันนำพร้า (มีด) และ อีโต้ มาช่วยกันสร้างพระที่ทำจากไม้สักและคิดว่าถ้าจะให้ชื่อพระเจ้าทันใจก็จะซ้ำกับหลายวัดที่มีอยู่แล้ว จึงตั้งชื่อ พระเจ้าพร้าโต้ แทน ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 3 องค์จากเดิม 5 องค์
ภายในวัดเองยังมีพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงของโบราณและของใช้ของผู้คนในชุมชนในยุคสมัยต่างๆ มากมาย อาทิเช่น ฆ้องกบ (กลองมโหระทึก) เครื่องถ้วยชามของผู้คนในสมัยนั้น จักรยานคันแรกของ อ.ลอง เครื่องพิมพ์ดีดโบราณ และอีกมากมาย
จากที่วัดเราไปต่อกันที่ โฮงซึงหลวง ที่เป็นเสมือนโรงเรียนผลิตเครื่องดนตรีล้านนาโบราณ ฝึกสอนการเล่นดนตรีล้านนา เสียดายที่พวกเรามีเวลาไม่เยอะ เพราะเวลาล่วงเลยไปบ่ายโมงแล้ว ทำให้พวกเรายังไม่จุใจกับเพลงล้านนาที่อาจารย์แกเล่นให้ฟัง
มื้อกลางวันใน อ.ลอง ที่ร้านซันฟลาวเวอร์ มีอาหารชนิดหนึ่งที่เราสังเกตุได้ว่าชื่อของอาหารนั้นมีความแปลกและน่าสนใจ คือ ขนมจีนน้ำย้อย คณะเราได้มีโอกาสลองชิมและพบว่า คำว่าน้ำย้อยนั้นมาจากตัวขนมจีนซึ่งทำจากเส้นสดเมื่อบีบเส้นแล้วจะมีน้ำหยดออกมา รับประทานคู่กับน้ำเงี้ยวที่มีทั้งแบบจืดและเผ็ด หากมีโอกาสมาเยือนเมืองลองแล้วต้องไม่พลาดค่ะ
หลังจากอิ่มหนำกับเมนูขนมจีนน้ำย้อย ก็ถึงเวลาเดินทางกันต่อมุ่งหน้าสู่ อุทยานแห่งชาติดอยผากลอง ในพื้นที่อ.ลอง ที่นี่ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ.2550 ในลำดับที่ 107 บรรยากาศโดยรอบเป็นที่ราบบนภูเขาสูง มีโขดหินใหญ่น้อยอยู่ในแม่น้ำยม และมีส่วนป่าไม้สักให้บรรยากาศร่มครึ้ม ที่นี่จึงเหมาะกับกิจกรรมล่องแก่งในช่วงฤดูร้อน แต่ในช่วงฤดูฝนเช่นนี้น้ำป่าไหลหลาก คณะเราจึงได้ไปทำกิจกรรมอื่นแทนที่เปียกไม่แพ้การล่องแก่ง โดยในช่วงบ่ายวันนี้ทีมงานหน่วยพิทักษ์จะพาเราไปเดินสำรวจถ้ำเอราวัณ-แก่งหลวง ปากถ้ำอยู่ไม่สูงนักแต่ทางเดินขึ้นไปนั้นเป็นบันไดหินที่ยังหมาดๆ น้ำฝนอยู่ทำให้เราเดินได้ไม่เร็วนักเพราะต้องระมัดระวังไม่ให้ลื่นตกลงไป บรรยากาศของป่าร้อนชื้นปกคลุมไปด้วยมอส ตะไคร่ และเฟิร์นนานาชนิด ให้ความรู้สึกชื้นๆ ตลอดทาง
ถ้ำเอราวัณยังเป็นถ้ำเป็น ไฮไลท์ภายในถ้ำแห่งนี้จะเป็นหินงอกหินย้อยขนาดใหญ่มีสีขาวนวลลักษณะคล้ายเศรียรช้างเอราวัณ มีน้ำหยดจากหลังคาและผนังถ้ำหลายจุด น่าเสียดายที่ผู้เขียนไม่ได้นำแฟลชกล้องถ่ายรูปเข้าไปด้วยจึงไม่ได้เก็บภาพบรรยากาศมาฝากกัน....
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น