"...ฟังทัศนคติในการใช้ชีวิตของคุณปู่คริสแล้ว ผมรู้สึกแก่ชราขึ้นมาทันที หากความหนุ่มสาวนั้นวัดกันด้วยความกล้าหาญในการใช้ชีวิต พร้อมจะลงมือทำในสิ่งที่ไม่เคย ผู้ชายผมขาวโพลนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผม คงจะนับได้ว่าเป็นหนุ่มวัยรุ่นโคตรห้าวดีๆ นี่เอง..."
เวลาที่นักเดินทางจะเลือกที่พักในที่ต่างบ้านต่างเมืองนั้น มักจะมีวิธีคิดคล้ายๆ กัน โดยจะเลือกเอาความสะดวกในการเดินทางเป็นที่ตั้งไว้ก่อน แล้วค่อยมาดูว่าที่พักแถวๆนั้น มีทางเลือกอะไรที่ถูกใจบ้าง โดยจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัย, ความสะอาด และราคาเป็นลำดับต้นๆ ในการเลือก
ในวงการโฮสเทลนั้น จะเป็นที่รู้กันว่าสถานที่ตั้งในแต่ละพื้นที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวที่แตกต่างกัน ย่านเมืองเก่า ในกรุงเทพฯ เช่นในเกาะรัตนโกสินทร์ที่มีวัดและวังระดับประเทศอยู่หลายแห่ง ก็จะดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ชอบเรียนรู้ด้านวัฒนธรรมเป็นพิเศษ ส่วนย่านสุขุมวิทหรือสยามนั้น ก็จะเป็นที่ชื่นชอบของนักเดินทางกลุ่มที่ตั้งใจจะมาชอปปิ้งเต็มที่ ส่วนในย่านข้าวสารนั้นดึงดูดกลุ่มหนุ่มสาวนักเที่ยวนักดื่มที่ชื่นชอบความคึกคักในยามค่ำคืน ฯลฯ
สำหรับย่านจตุจักร-สะพานควาย สถานที่ตั้งของแอดเวนเจอร์โฮสเทลนั้น ในช่วงที่พวกเราเริ่มทำ มีผู้รู้บางท่านได้บอกว่าย่านนี้น่าจะดึงดูดกลุ่มพี่มืดและกลุ่มนักเดินทางชาวจีนมากเป็นพิเศษ ทำให้เราตั้งหน้าตั้งตาคอยดูว่า ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
หลังจากเปิดมาได้ร่วมๆ ปี นอกเหนือจากแขกที่ต้องการเดินทางอย่างสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า BTS ที่อยู่ติดกับโฮสเทลแล้ว การที่เราอยู่ใกล้ๆ สถานีขนส่งหมอชิต ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางในการเดินทางทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้านในแถบ Southeast Asia ทั้ง ลาว, กัมพูชา, พม่า, เวียดนาม, มาเลเซีย โฮสเทลของเราจึงดึงดูดแขกที่เป็นนักเดินทางในระดับตัวจริง เสียงจริง ให้แวะเวียนเข้ามาพัก และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตกันอยู่บ่อยๆ
รวมถึงคุณปู่นักเดินทางคนหนึ่ง ที่เหล่าแอดเวนเจอเรอร์ จดจำได้ไม่รู้ลืม
Christopher Riley นั้นเข้ามาพักที่แอดเวนเจอร์โฮสเทลอยู่ 3 วัน เค้าบอกว่าอยากจะมาพักผ่อน และตรวจร่างกาย หลังจากเดินทางในทวีปเอเชียมาแล้วเกือบ 3 เดือน ด้วยวัย 72 ปี ปู่คริสนับเป็นแขกที่อายุมากที่สุดคนหนึ่งที่เคยมาพักกับเรา
แต่อย่าพึ่งด่วนตัดสินคนด้วยตัวเลข ปู่คริสนั้นก็นับได้ว่าเป็นคนสูงวัยที่สง่างามมากคนหนึ่ง ด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ผมบนศรีษะขาวโพลนบ่งบอกถึงฤดูกาลที่ผ่านพ้น เวลาแกพูดนั้น ปากจะยิ้มโค้งเป็นรูปกล้วยหอม โชว์ฟันขาวเรียงคับคั่งเต็มเม็ดเต็มหน่วย ร่างกายนั้นเล่าเรียกได้ว่า Lean & Mean ผอมเกร็งหนักแน่น เหมือนนักมวยไทยวัยกระทง แขนและขาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยมัดเนื้อไร้ไขมัน พร้อมเส้นเอ็นปูดโปนเหมือนมีรากไม้งอกครอบเอาไว้ ผมมองดูรูปร่างของปู่คริสแล้วก็ได้แต่จับกล้ามเนื้อหย่อนคล้อยใต้ท้องแขนของตัวเอง แล้วทอดถอนใจอย่างปลงๆ
“ผมเริ่มทริปนี้มาจากทาร์จิกิซสถาน” คำตอบของปู่คริส เล่นเอาผมเรดาร์ในหัวของผมต้องทำงานสักพัก ก่อนที่คุณปู่จะเฉลยว่ามันเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตมาก่อน “แล้วค่อยๆ ไล่มาจนถึงคีร์กิซสถาน, คาซัคสถาน, เข้ามาที่ธิเบต แชงกรีล่า และมาต่อที่ ลาว ก่อนจะเข้ามาเข้าไทยที่อุดรธานี เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ถ้าผมชอบที่ไหนก็อยู่หลายวันหน่อย แต่ถ้าเจอทางเรียบๆ น่าเบื่อ ผมก็จะนั่งรถบัสเอาบ้างเป็นบางครั้ง”
“แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผมชอบปั่นจักรยานมากกว่า” แกตอบพร้อมกับชี้ไปที่พาหนะหลักในการเดินทางของแก ที่ตอนนี้เราได้รู้แล้วว่า แกไม่ได้พกจักรยานมาปั่นเล่นๆ รอบสวนสาธารณะในกรุงเทพฯ
ผมเพ่งพินิจ “พาหนะคู่ใจ” ของแก แล้วก็ให้นึกฉงนสนเท่ห์ต่อความเรียบง่ายของมัน
จักรยานทัวริ่งสีขาว หน้าตาธรรมดาสามัญคันนี้ ถูกโมดิฟายมาพอตัว จานหน้า 3 ใบพร้อมเฟืองหลัง 22/32 บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของต้องการให้มันทดแรงปั่น ในยามที่ต้องไต่ระดับความสูงชันของภูมิประเทศ โครงจักรยานทำจากเหล็ก ซึ่งน่าจะเป็นวัสดุพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมจักรยานมาแล้วนับร้อยปี แม้ว่าจะมีน้ำหนักมากที่สุดในบรรดาโครงจักรยานทั้งหมด แต่ข้อดีของความสามัญของเหล็ก คือความคุ้นมือของช่างทุกคน หากเกิดความเสียหายขึ้น ก็สามารถซ่อมแซมได้ง่าย
ปู่คริสเล่าว่า ตั้งแต่ปั่นมาหลายทวีป แกประทับใจเส้นทางปั่นจักรยานในทาร์จิกิซสถานมากที่สุด (ภาพด้านบน) แกหลงใหลในความเวิ้งว้างว่างเปล่าสุดสายตาไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต และนั่นคือโมเมนต์แห่งอิสรภาพที่ทำให้แกตกหลุมรักการเดินทางด้วยจักรยาน
“what keep you stay so fit at this age? - อะไรทำให้คุณยังสามารถใช้ชีวิตอย่างนี้ได้จนถึงวัยนี้?” ผมถามด้วยทึ่งในความฟิตเปรี๊ยะของชายชรา ปู่คริสยิ้มโชว์ฟันขาวอัดแน่น ก่อนเฉลยที่มาของความแกร่ง สมัยหนุ่มๆ แกเคยเป็นนักวิ่งมาราธอนมาก่อน ในระดับเวลาอยู่ที่ 2 ชั่วโมง 50 นาที หลังจากเบื่อหน่ายกับความจำเจบนเส้นทางวิ่ง แกก็มาเพิ่มดีกรีความมันส์ให้ชีวิต ด้วยการลงแข่งไตรกีฬา จนไต่ระดับไปถึงรายการ ฮาวายไอรอนแมน* ที่ซัดไปเก้าครั้ง โดยทำเวลาดีที่สุดอยู่ที่ 10 ชั่วโมงครึ่ง
ผมฟังแล้วก็ได้แค่อ้าปากค้าง แม้ว่าผมพอจะมีประสบการณ์วิ่งกับเค้าอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าปลายแถวเต็มที เพียงแค่ฮาล์ฟมาราธอน 21.1 กม. ก็ขาสั่นเสียแล้ว แต่ปู่แกสมัยรุ่นราวคราวเดียวกับผมนี่ วิ่งมาราธอนด้วยความเร็วระดับ 1 กิโลเมตรใน 4 นาทีถ้วนๆ ไม่ขาดไม่เกิน แถมรายการฮาวายไอรอนแมนที่แกว่านั้น เป็นระดับ World Championship ที่คัดเอาเฉพาะยอดมนุษย์ที่ชนะเลิศไอรอนแมนทั่วโลกทุกทัวร์นาเมนต์มาแข่งหาสุดยอดคนพันธุ์อึดอีกที
“ด้วยวัยขนาดนี้แล้ว อะไรทำให้คุณออกเดินทาง?”
ผมอยากรู้ว่าขอบเขตของความสามารถของผมอยู่ที่ไหนในวัยขนาดนี้ และคุณจะไม่มีวันรู้หรอก ถ้ายังไม่ได้ลงมือทำ! ผมเกษียณจากที่ทำงานตอนอายุ 67 ปี แล้วเริ่มออกเดินทางด้วยการขี่จักรยานคนเดียวในปีต่อมา ผมสัญญากับลูกและภรรยาว่า ผมจะขอจัดทริปจักรยานส่วนตัว กับทริปครอบครัวแบบสลับปีกันไป จนถึงตอนนี้ผมขี่จักรยานมาได้ 3 ทริปแล้วในอเมริกา และหลายประเทศในแถบอเมริกาใต้ ผมชอบทดสอบตัวเองด้วยการผลักดันขีดความสามารถของผมไปเรื่อยๆ แต่ทุกวันนี้ผมเปลี่ยนวิถีคิดไปเยอะแล้วนะ สมัยหนุ่มๆ เวลาที่ผมเจออุปสรรคในชีวิต ผมจะพยายามให้มากขึ้นๆๆ ไม่ว่ามันจะต้องกล้ำกลืนฝืนทนแค่ไหน จนกว่าจะเอาชนะมันได้ แต่เดี๋ยวนี้ ถ้าผมเจออุปสรรคยากๆ อย่างล่าสุด ผมปั่นไปจนถึงทะเลทรายโกบี เมื่อเห็นว่ามันเหลือกำลังผมเกินไป ผมก็แค่เลี่ยงมันไปเท่านั้นเอง...
ฟังทัศนคติในการใช้ชีวิตของคุณปู่คริสแล้ว ผมรู้สึกแก่ชราขึ้นมาทันที หากความหนุ่มสาวนั้นวัดกันด้วยความกล้าหาญในการใช้ชีวิต พร้อมจะลงมือทำในสิ่งที่ไม่เคย ผู้ชายผมขาวโพลนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผม คงจะนับได้ว่าเป็นหนุ่มวัยรุ่นโคตรห้าวดีๆ นี่เอง
ตั้งแต่ปั่นมา เหตุการณ์เลวร้ายที่สุดที่เคยเจอคืออะไร?
หมาจรจัด! ในหนังสือ guidebook แนะนำให้พกสเปรย์ฉีด กับเป่านกหวีดไล่มัน แต่เวลามันจะเข้ามากัดนี่ มันพุ่งเข้ามาแบบไม่ให้เราตั้งตัว จนผมหยิบมันออกมาไม่ทัน วิธีที่ดีที่สุด คือหยุดรถแล้วคุยกับมันดีๆ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง! มันจะสับสน ว่าทำไมเราไม่กลัวมัน แล้วเดินจากไปเอง! ผมฟังแล้วก็ไม่สู้จะแน่ใจนักว่าวิธีนี้ใช้กับหมาจรจัดไทยได้ผลหรือไม่
เราคุยสัพเพเหระกันสักพักถึงเส้นทางต่างๆ ที่ปู่ได้ปั่นผ่านมาในทริปนี้ ปู่คริสเล่าให้ฟังต่อว่า ถึงโมเมนต์ที่สิ้นหวังที่สุด
“ตอนเส้นทางปั่นไปแชงกรีล่า ผมขี่จักรยานข้ามเขาชันขึ้นมากว่า 4,000 เมตร เพียงเพื่อจะได้รู้ว่าโดนล้อมรอบอยู่ด้วยภูเขาสุดลูกหูลูกตาอีกไม่รู้กี่ลูก ตอนนั้นผมใช้พลังงานไปทั้งหมดแล้ว แถมอาหารและน้ำก็ไม่เหลือเลย เส้นทางข้างหน้าก็ดูห่างไกลไม่มีวันสิ้นสุด สุดท้ายผมฟุบหน้าอยู่กับจักรยานอย่างสิ้นหวัง หลายชั่วโมงผ่านไป มีรถชาวจีนผ่านมาคันหนึ่ง เค้าหยุดรถและลงมาถามผมว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือมั้ย สุดท้ายพวกเค้าจัดข้าวของในรถเพื่อให้ยัดจักรยานของผมให้เข้าไปได้ ที่น่าประหลาดใจก็คือคนขับรถยืนยันให้ผมไปนั่งข้างๆ ด้านหน้า แล้วไล่ให้เมียตัวเองไปนั่งอยู่เบาะหลัง แล้วเอาจักรยานไปวางอยู่บนตักซะอย่างนั้น! เค้าขับพาผมไปจนถึงเมืองข้างหน้าที่มีที่พักและอาหาร จะว่าไปมันก็เป็นทั้งเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด และดีที่สุดในเวลาเดียวกันนะ”
หลังคุยกันสักพัก ปู่คริสก็ออกไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลใกล้ๆ ก่อนจะกลับมาบอกว่าสะโพกแกหลวมเสียแล้ว (ผมไม่ประหลาดใจนัก) หมอให้ยามาทาน แล้วแกก็พักผ่อน ก่อนจะออกไปเดินเล่นตามที่ต่างๆ ในกรุงเทพฯ บ้าง
หลังตรวจร่างกาย ปู่คริสพักผ่อนเอาแรงอยู่ที่โฮสเทลไม่กี่วัน ก็มา check out ผมนั่งรถแท็กซี่มาส่งปู่ที่สถานีขนส่งสายใต้ แกตัดสินใจนั่งรถทัวร์ไปเพชรบุรี เพื่อหลีกเลี่ยงถนนคับคั่งในกรุงเทพฯ แล้วค่อย ปั่นจักรยานจากเพขรบุรีไปภูเก็ต
“คุณใช้ชีวิตมาขนาดนี้ หากจะสรุปบทเรียนอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่งให้คนรุ่นหลัง คุณอยากจะแนะนำอะไรบ้าง?” ผมถามแกก่อนถึงจุดหมายไม่นาน...
ปู่คริสนิ่งไปพักหนึ่ง มองออกไปนอกนอกหน้าต่างรถแท๊กซี่ ก่อนจะตอบกลับมาว่า “ทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดในชีวิตมนุษย์คือ สุขภาพที่ดี ผมอยู่มานานพอที่จะได้เห็นความล่มสลายในบั้นปลายชีวิตของคนรอบข้างหลายคน ที่เกิดมาจากความประมาทในการใช้ชีวิตตั้งแต่วัยหนุ่มสาว บางคนจากไปก่อนวัยอันควร หลายคนใช้ช่วงสุดท้ายของชีวิต เข้าๆออกๆ ในโรงพยาบาล ก่อนจะจากไปโดยทิ้งภาระไว้ให้คนข้างหลัง นั่นไม่ใช่เรื่องสนุก ผมอยากจะบอกว่าแม้ในวันเกษียณอายุ เรายังทำอะไรได้ดีๆ ได้มากมายเสียยิ่งกว่าตอนหนุ่มๆ ถ้าคุณวางแผนให้ดี แต่คุณจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต่อเมื่อคุณมีความพร้อมด้านสุขภาพ”
ผมพยักหน้าตาม ในใจนึกว่า คนที่จะปั่นจักรยานคนเดียวทริปหนึ่งๆ เป็นหมื่นกิโลเมตรได้ ต้องมีสุขภาพที่ดีแน่นอน แต่ขนาดของหัวจิตหัวใจที่ใหญ่เป็นพิเศษน่าจะสำคัญยิ่งกว่า
หลังจากถึงที่สถานีสายใต้ ปู่คริสจัดแจงเอาสัมภาระของแกวางเหน็บไว้รอบจักรยาน ผมยืนดูแล้วก็ให้นึกฉงนว่าอะไรทำให้ชายชราคนหนึ่ง ต้องออกเดินทางค้นหาความหมายของชีวิต ยอมทิ้งความสุขสบายและครอบครัวไว้เบื้องหลัง แล้วออกมาผจญภัยด้วยการปั่นจักรยานคนเดียว นอนกลางดินกินกลางทราย ข้ามผ่านความทุรกันดารไปยังประเทศต่างๆ
ในช่วงอาทิตย์หน้า กลางเดือนสิงหาคม บนถนนเพชรเกษม เส้นทางกรุงเทพ-ภูเก็ต หากคุณพบเห็นชายชราผมขาวโพลนรูปร่างผอมสูง ปั่นจักรยานสีขาวพร้อมถุงสัมภาระกันน้ำสีเหลือง ด้วยสีหน้าท่าทางลิงโลดราวกับปลาได้น้ำ เค้าหละครับ ปู่คริสนักปั่นกระดูกเหล็กผู้เดินทางมาพร้อมกับรอยยิ้มทรงกล้วยหอม...
หมายเหตุ
ปู่คริสเขียนเล่าเรื่องราวของแกใน blog ทริปจักรยานของนักปั่นในอเมริกา โดยใช้ชื่อทริปนี้ของแกว่า”An old toad on the silk road” (ตาแก่หัวรั้นบนเส้นทางสายไหม

)
https://www.crazyguyonabike.com/doc/page/?o=tS&page_id=475895&v=2f รูปภาพต่างๆ ยกเว้นรูปแรกอ้างอิงจาก blog ของปู่คริสครับ
:::HOMELESS 03 : Christopher Riley เฒ่ากระดูกเหล็กบนทางสายไหม:::
เวลาที่นักเดินทางจะเลือกที่พักในที่ต่างบ้านต่างเมืองนั้น มักจะมีวิธีคิดคล้ายๆ กัน โดยจะเลือกเอาความสะดวกในการเดินทางเป็นที่ตั้งไว้ก่อน แล้วค่อยมาดูว่าที่พักแถวๆนั้น มีทางเลือกอะไรที่ถูกใจบ้าง โดยจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัย, ความสะอาด และราคาเป็นลำดับต้นๆ ในการเลือก
ในวงการโฮสเทลนั้น จะเป็นที่รู้กันว่าสถานที่ตั้งในแต่ละพื้นที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวที่แตกต่างกัน ย่านเมืองเก่า ในกรุงเทพฯ เช่นในเกาะรัตนโกสินทร์ที่มีวัดและวังระดับประเทศอยู่หลายแห่ง ก็จะดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ชอบเรียนรู้ด้านวัฒนธรรมเป็นพิเศษ ส่วนย่านสุขุมวิทหรือสยามนั้น ก็จะเป็นที่ชื่นชอบของนักเดินทางกลุ่มที่ตั้งใจจะมาชอปปิ้งเต็มที่ ส่วนในย่านข้าวสารนั้นดึงดูดกลุ่มหนุ่มสาวนักเที่ยวนักดื่มที่ชื่นชอบความคึกคักในยามค่ำคืน ฯลฯ
สำหรับย่านจตุจักร-สะพานควาย สถานที่ตั้งของแอดเวนเจอร์โฮสเทลนั้น ในช่วงที่พวกเราเริ่มทำ มีผู้รู้บางท่านได้บอกว่าย่านนี้น่าจะดึงดูดกลุ่มพี่มืดและกลุ่มนักเดินทางชาวจีนมากเป็นพิเศษ ทำให้เราตั้งหน้าตั้งตาคอยดูว่า ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
หลังจากเปิดมาได้ร่วมๆ ปี นอกเหนือจากแขกที่ต้องการเดินทางอย่างสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า BTS ที่อยู่ติดกับโฮสเทลแล้ว การที่เราอยู่ใกล้ๆ สถานีขนส่งหมอชิต ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางในการเดินทางทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้านในแถบ Southeast Asia ทั้ง ลาว, กัมพูชา, พม่า, เวียดนาม, มาเลเซีย โฮสเทลของเราจึงดึงดูดแขกที่เป็นนักเดินทางในระดับตัวจริง เสียงจริง ให้แวะเวียนเข้ามาพัก และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตกันอยู่บ่อยๆ
รวมถึงคุณปู่นักเดินทางคนหนึ่ง ที่เหล่าแอดเวนเจอเรอร์ จดจำได้ไม่รู้ลืม
Christopher Riley นั้นเข้ามาพักที่แอดเวนเจอร์โฮสเทลอยู่ 3 วัน เค้าบอกว่าอยากจะมาพักผ่อน และตรวจร่างกาย หลังจากเดินทางในทวีปเอเชียมาแล้วเกือบ 3 เดือน ด้วยวัย 72 ปี ปู่คริสนับเป็นแขกที่อายุมากที่สุดคนหนึ่งที่เคยมาพักกับเรา
แต่อย่าพึ่งด่วนตัดสินคนด้วยตัวเลข ปู่คริสนั้นก็นับได้ว่าเป็นคนสูงวัยที่สง่างามมากคนหนึ่ง ด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ผมบนศรีษะขาวโพลนบ่งบอกถึงฤดูกาลที่ผ่านพ้น เวลาแกพูดนั้น ปากจะยิ้มโค้งเป็นรูปกล้วยหอม โชว์ฟันขาวเรียงคับคั่งเต็มเม็ดเต็มหน่วย ร่างกายนั้นเล่าเรียกได้ว่า Lean & Mean ผอมเกร็งหนักแน่น เหมือนนักมวยไทยวัยกระทง แขนและขาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยมัดเนื้อไร้ไขมัน พร้อมเส้นเอ็นปูดโปนเหมือนมีรากไม้งอกครอบเอาไว้ ผมมองดูรูปร่างของปู่คริสแล้วก็ได้แต่จับกล้ามเนื้อหย่อนคล้อยใต้ท้องแขนของตัวเอง แล้วทอดถอนใจอย่างปลงๆ
“ผมเริ่มทริปนี้มาจากทาร์จิกิซสถาน” คำตอบของปู่คริส เล่นเอาผมเรดาร์ในหัวของผมต้องทำงานสักพัก ก่อนที่คุณปู่จะเฉลยว่ามันเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตมาก่อน “แล้วค่อยๆ ไล่มาจนถึงคีร์กิซสถาน, คาซัคสถาน, เข้ามาที่ธิเบต แชงกรีล่า และมาต่อที่ ลาว ก่อนจะเข้ามาเข้าไทยที่อุดรธานี เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ถ้าผมชอบที่ไหนก็อยู่หลายวันหน่อย แต่ถ้าเจอทางเรียบๆ น่าเบื่อ ผมก็จะนั่งรถบัสเอาบ้างเป็นบางครั้ง”
“แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผมชอบปั่นจักรยานมากกว่า” แกตอบพร้อมกับชี้ไปที่พาหนะหลักในการเดินทางของแก ที่ตอนนี้เราได้รู้แล้วว่า แกไม่ได้พกจักรยานมาปั่นเล่นๆ รอบสวนสาธารณะในกรุงเทพฯ
ผมเพ่งพินิจ “พาหนะคู่ใจ” ของแก แล้วก็ให้นึกฉงนสนเท่ห์ต่อความเรียบง่ายของมัน
จักรยานทัวริ่งสีขาว หน้าตาธรรมดาสามัญคันนี้ ถูกโมดิฟายมาพอตัว จานหน้า 3 ใบพร้อมเฟืองหลัง 22/32 บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของต้องการให้มันทดแรงปั่น ในยามที่ต้องไต่ระดับความสูงชันของภูมิประเทศ โครงจักรยานทำจากเหล็ก ซึ่งน่าจะเป็นวัสดุพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมจักรยานมาแล้วนับร้อยปี แม้ว่าจะมีน้ำหนักมากที่สุดในบรรดาโครงจักรยานทั้งหมด แต่ข้อดีของความสามัญของเหล็ก คือความคุ้นมือของช่างทุกคน หากเกิดความเสียหายขึ้น ก็สามารถซ่อมแซมได้ง่าย
ปู่คริสเล่าว่า ตั้งแต่ปั่นมาหลายทวีป แกประทับใจเส้นทางปั่นจักรยานในทาร์จิกิซสถานมากที่สุด (ภาพด้านบน) แกหลงใหลในความเวิ้งว้างว่างเปล่าสุดสายตาไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต และนั่นคือโมเมนต์แห่งอิสรภาพที่ทำให้แกตกหลุมรักการเดินทางด้วยจักรยาน
“what keep you stay so fit at this age? - อะไรทำให้คุณยังสามารถใช้ชีวิตอย่างนี้ได้จนถึงวัยนี้?” ผมถามด้วยทึ่งในความฟิตเปรี๊ยะของชายชรา ปู่คริสยิ้มโชว์ฟันขาวอัดแน่น ก่อนเฉลยที่มาของความแกร่ง สมัยหนุ่มๆ แกเคยเป็นนักวิ่งมาราธอนมาก่อน ในระดับเวลาอยู่ที่ 2 ชั่วโมง 50 นาที หลังจากเบื่อหน่ายกับความจำเจบนเส้นทางวิ่ง แกก็มาเพิ่มดีกรีความมันส์ให้ชีวิต ด้วยการลงแข่งไตรกีฬา จนไต่ระดับไปถึงรายการ ฮาวายไอรอนแมน* ที่ซัดไปเก้าครั้ง โดยทำเวลาดีที่สุดอยู่ที่ 10 ชั่วโมงครึ่ง
ผมฟังแล้วก็ได้แค่อ้าปากค้าง แม้ว่าผมพอจะมีประสบการณ์วิ่งกับเค้าอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าปลายแถวเต็มที เพียงแค่ฮาล์ฟมาราธอน 21.1 กม. ก็ขาสั่นเสียแล้ว แต่ปู่แกสมัยรุ่นราวคราวเดียวกับผมนี่ วิ่งมาราธอนด้วยความเร็วระดับ 1 กิโลเมตรใน 4 นาทีถ้วนๆ ไม่ขาดไม่เกิน แถมรายการฮาวายไอรอนแมนที่แกว่านั้น เป็นระดับ World Championship ที่คัดเอาเฉพาะยอดมนุษย์ที่ชนะเลิศไอรอนแมนทั่วโลกทุกทัวร์นาเมนต์มาแข่งหาสุดยอดคนพันธุ์อึดอีกที
“ด้วยวัยขนาดนี้แล้ว อะไรทำให้คุณออกเดินทาง?”
ผมอยากรู้ว่าขอบเขตของความสามารถของผมอยู่ที่ไหนในวัยขนาดนี้ และคุณจะไม่มีวันรู้หรอก ถ้ายังไม่ได้ลงมือทำ! ผมเกษียณจากที่ทำงานตอนอายุ 67 ปี แล้วเริ่มออกเดินทางด้วยการขี่จักรยานคนเดียวในปีต่อมา ผมสัญญากับลูกและภรรยาว่า ผมจะขอจัดทริปจักรยานส่วนตัว กับทริปครอบครัวแบบสลับปีกันไป จนถึงตอนนี้ผมขี่จักรยานมาได้ 3 ทริปแล้วในอเมริกา และหลายประเทศในแถบอเมริกาใต้ ผมชอบทดสอบตัวเองด้วยการผลักดันขีดความสามารถของผมไปเรื่อยๆ แต่ทุกวันนี้ผมเปลี่ยนวิถีคิดไปเยอะแล้วนะ สมัยหนุ่มๆ เวลาที่ผมเจออุปสรรคในชีวิต ผมจะพยายามให้มากขึ้นๆๆ ไม่ว่ามันจะต้องกล้ำกลืนฝืนทนแค่ไหน จนกว่าจะเอาชนะมันได้ แต่เดี๋ยวนี้ ถ้าผมเจออุปสรรคยากๆ อย่างล่าสุด ผมปั่นไปจนถึงทะเลทรายโกบี เมื่อเห็นว่ามันเหลือกำลังผมเกินไป ผมก็แค่เลี่ยงมันไปเท่านั้นเอง...
ฟังทัศนคติในการใช้ชีวิตของคุณปู่คริสแล้ว ผมรู้สึกแก่ชราขึ้นมาทันที หากความหนุ่มสาวนั้นวัดกันด้วยความกล้าหาญในการใช้ชีวิต พร้อมจะลงมือทำในสิ่งที่ไม่เคย ผู้ชายผมขาวโพลนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผม คงจะนับได้ว่าเป็นหนุ่มวัยรุ่นโคตรห้าวดีๆ นี่เอง
ตั้งแต่ปั่นมา เหตุการณ์เลวร้ายที่สุดที่เคยเจอคืออะไร?
หมาจรจัด! ในหนังสือ guidebook แนะนำให้พกสเปรย์ฉีด กับเป่านกหวีดไล่มัน แต่เวลามันจะเข้ามากัดนี่ มันพุ่งเข้ามาแบบไม่ให้เราตั้งตัว จนผมหยิบมันออกมาไม่ทัน วิธีที่ดีที่สุด คือหยุดรถแล้วคุยกับมันดีๆ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง! มันจะสับสน ว่าทำไมเราไม่กลัวมัน แล้วเดินจากไปเอง! ผมฟังแล้วก็ไม่สู้จะแน่ใจนักว่าวิธีนี้ใช้กับหมาจรจัดไทยได้ผลหรือไม่
เราคุยสัพเพเหระกันสักพักถึงเส้นทางต่างๆ ที่ปู่ได้ปั่นผ่านมาในทริปนี้ ปู่คริสเล่าให้ฟังต่อว่า ถึงโมเมนต์ที่สิ้นหวังที่สุด
“ตอนเส้นทางปั่นไปแชงกรีล่า ผมขี่จักรยานข้ามเขาชันขึ้นมากว่า 4,000 เมตร เพียงเพื่อจะได้รู้ว่าโดนล้อมรอบอยู่ด้วยภูเขาสุดลูกหูลูกตาอีกไม่รู้กี่ลูก ตอนนั้นผมใช้พลังงานไปทั้งหมดแล้ว แถมอาหารและน้ำก็ไม่เหลือเลย เส้นทางข้างหน้าก็ดูห่างไกลไม่มีวันสิ้นสุด สุดท้ายผมฟุบหน้าอยู่กับจักรยานอย่างสิ้นหวัง หลายชั่วโมงผ่านไป มีรถชาวจีนผ่านมาคันหนึ่ง เค้าหยุดรถและลงมาถามผมว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือมั้ย สุดท้ายพวกเค้าจัดข้าวของในรถเพื่อให้ยัดจักรยานของผมให้เข้าไปได้ ที่น่าประหลาดใจก็คือคนขับรถยืนยันให้ผมไปนั่งข้างๆ ด้านหน้า แล้วไล่ให้เมียตัวเองไปนั่งอยู่เบาะหลัง แล้วเอาจักรยานไปวางอยู่บนตักซะอย่างนั้น! เค้าขับพาผมไปจนถึงเมืองข้างหน้าที่มีที่พักและอาหาร จะว่าไปมันก็เป็นทั้งเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด และดีที่สุดในเวลาเดียวกันนะ”
หลังคุยกันสักพัก ปู่คริสก็ออกไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลใกล้ๆ ก่อนจะกลับมาบอกว่าสะโพกแกหลวมเสียแล้ว (ผมไม่ประหลาดใจนัก) หมอให้ยามาทาน แล้วแกก็พักผ่อน ก่อนจะออกไปเดินเล่นตามที่ต่างๆ ในกรุงเทพฯ บ้าง
หลังตรวจร่างกาย ปู่คริสพักผ่อนเอาแรงอยู่ที่โฮสเทลไม่กี่วัน ก็มา check out ผมนั่งรถแท็กซี่มาส่งปู่ที่สถานีขนส่งสายใต้ แกตัดสินใจนั่งรถทัวร์ไปเพชรบุรี เพื่อหลีกเลี่ยงถนนคับคั่งในกรุงเทพฯ แล้วค่อย ปั่นจักรยานจากเพขรบุรีไปภูเก็ต
“คุณใช้ชีวิตมาขนาดนี้ หากจะสรุปบทเรียนอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่งให้คนรุ่นหลัง คุณอยากจะแนะนำอะไรบ้าง?” ผมถามแกก่อนถึงจุดหมายไม่นาน...
ปู่คริสนิ่งไปพักหนึ่ง มองออกไปนอกนอกหน้าต่างรถแท๊กซี่ ก่อนจะตอบกลับมาว่า “ทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดในชีวิตมนุษย์คือ สุขภาพที่ดี ผมอยู่มานานพอที่จะได้เห็นความล่มสลายในบั้นปลายชีวิตของคนรอบข้างหลายคน ที่เกิดมาจากความประมาทในการใช้ชีวิตตั้งแต่วัยหนุ่มสาว บางคนจากไปก่อนวัยอันควร หลายคนใช้ช่วงสุดท้ายของชีวิต เข้าๆออกๆ ในโรงพยาบาล ก่อนจะจากไปโดยทิ้งภาระไว้ให้คนข้างหลัง นั่นไม่ใช่เรื่องสนุก ผมอยากจะบอกว่าแม้ในวันเกษียณอายุ เรายังทำอะไรได้ดีๆ ได้มากมายเสียยิ่งกว่าตอนหนุ่มๆ ถ้าคุณวางแผนให้ดี แต่คุณจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต่อเมื่อคุณมีความพร้อมด้านสุขภาพ”
ผมพยักหน้าตาม ในใจนึกว่า คนที่จะปั่นจักรยานคนเดียวทริปหนึ่งๆ เป็นหมื่นกิโลเมตรได้ ต้องมีสุขภาพที่ดีแน่นอน แต่ขนาดของหัวจิตหัวใจที่ใหญ่เป็นพิเศษน่าจะสำคัญยิ่งกว่า
หลังจากถึงที่สถานีสายใต้ ปู่คริสจัดแจงเอาสัมภาระของแกวางเหน็บไว้รอบจักรยาน ผมยืนดูแล้วก็ให้นึกฉงนว่าอะไรทำให้ชายชราคนหนึ่ง ต้องออกเดินทางค้นหาความหมายของชีวิต ยอมทิ้งความสุขสบายและครอบครัวไว้เบื้องหลัง แล้วออกมาผจญภัยด้วยการปั่นจักรยานคนเดียว นอนกลางดินกินกลางทราย ข้ามผ่านความทุรกันดารไปยังประเทศต่างๆ
ในช่วงอาทิตย์หน้า กลางเดือนสิงหาคม บนถนนเพชรเกษม เส้นทางกรุงเทพ-ภูเก็ต หากคุณพบเห็นชายชราผมขาวโพลนรูปร่างผอมสูง ปั่นจักรยานสีขาวพร้อมถุงสัมภาระกันน้ำสีเหลือง ด้วยสีหน้าท่าทางลิงโลดราวกับปลาได้น้ำ เค้าหละครับ ปู่คริสนักปั่นกระดูกเหล็กผู้เดินทางมาพร้อมกับรอยยิ้มทรงกล้วยหอม...
หมายเหตุ
ปู่คริสเขียนเล่าเรื่องราวของแกใน blog ทริปจักรยานของนักปั่นในอเมริกา โดยใช้ชื่อทริปนี้ของแกว่า”An old toad on the silk road” (ตาแก่หัวรั้นบนเส้นทางสายไหม