คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 20
ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก กระทู้นี้ถูกลบโดยระบบอัตโนมัติทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาบรรยากาศการสนทนา ของเพื่อนสมาชิกโดยรวมค่ะ
ความคิดเห็นนี้ได้ถูก Pantip.com ลบออกไปจากระบบแล้ว หากเนื้อหาที่ถูกลบยังคงถูกนำไปแสดงใน application หรือเว็บไซต์ใดๆ ทาง Pantip.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆด้วย การดำเนินการทางกฎหมายกรุณาติดต่อผู้พัฒนา application หรือเว็บไซต์นั้นๆโดยตรงค่ะ
ความคิดเห็นนี้ได้ถูก Pantip.com ลบออกไปจากระบบแล้ว หากเนื้อหาที่ถูกลบยังคงถูกนำไปแสดงใน application หรือเว็บไซต์ใดๆ ทาง Pantip.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆด้วย การดำเนินการทางกฎหมายกรุณาติดต่อผู้พัฒนา application หรือเว็บไซต์นั้นๆโดยตรงค่ะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
กำลังจะไปนอน เห็นกระทู้คุณหมอ รีบเปิดเครื่องเข้ามาก่อน
ขอบคุณคุณหมอมากค่ะสำหรับข้อมูลแง่มุมนี้
ดูๆ แล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การขาดทุนหรือแบกภาระหรอกค่ะ แต่อยู่ที่การบริหารจัดการ
เพราะเชื่อว่ามีคนที่สามารถจัดการได้ดี และหากขาดทุนหรือโครงการไปไม่ไหวจริงๆ
ต้องคิดหาวิธีการจัดการโดยตัดส่วนที่รั่วไหล ส่วนไม่โปร่งใส ไม่เกิดประสิทธิภาพไปก่อนเลย
หรือคิดหางบส่วนอื่นมาสนับสนุน แต่ยังคงต้องรักษาผลประโยชน์ สิทธิ สวัสดิการพื้นฐานของคนยากจนให้มากที่สุด
การอ้างว่าขาดทุน ฯลฯ แล้วไปเปลี่ยนโครงสร้างด้วยคำพูดสวยหรู
แน่ใจหรือว่าคนจนจะได้ประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย
แบบเดิมกำลังเป็นไปได้ด้วยดี มีปัญหาที่ไหนก็หาทางแก้ไข
แต่หากไปทำเรื่องให้ยุ่งยากขึ้น มีเงื่อนไขต่างๆ มากมาย ในขณะที่ระบบราชการบ้านเรายังไม่ตอบโจทย์ประชาชน
ในขณะที่คนยากจนยังเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ได้ยาก ขาดความรู้ ความสะดวกในการเดินเรื่อง
สุดท้ายแล้ว คนได้ใช้สิทธิผู้ยากไร้ หรือสิทธิต่างๆ คงไม่พ้น ญาติๆ หรือคนใกล้ชิดพวกเจ้าหน้าที่
หรือคนมีเส้นสายในการเดินเรื่อง และงบส่วนมากก็คงไปกองอยู่กับค่าต่างๆ ที่คุณหมอว่ามา
การแก้ไขปัญหา ต้องยึดประชาชนผู้ด้อยโอกาสเป็นตัวตั้ง แล้วแก้ที่ระบบให้มีประสิทธิภาพเพื่อ support ประชาชน
ไม่ใช่ทำเรื่องให้คนยากจนต้องเพิ่มภาระหรือความยุ่งยากเพื่อ support ระบบ
อยากฝากเรื่องนี้กับผู้เกี่ยวข้องค่ะ ขอให้นึกถึงประชาชนตาดำๆ เป็นสำคัญ
ขอบคุณคุณหมอมากค่ะสำหรับข้อมูลแง่มุมนี้
ดูๆ แล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การขาดทุนหรือแบกภาระหรอกค่ะ แต่อยู่ที่การบริหารจัดการ
เพราะเชื่อว่ามีคนที่สามารถจัดการได้ดี และหากขาดทุนหรือโครงการไปไม่ไหวจริงๆ
ต้องคิดหาวิธีการจัดการโดยตัดส่วนที่รั่วไหล ส่วนไม่โปร่งใส ไม่เกิดประสิทธิภาพไปก่อนเลย
หรือคิดหางบส่วนอื่นมาสนับสนุน แต่ยังคงต้องรักษาผลประโยชน์ สิทธิ สวัสดิการพื้นฐานของคนยากจนให้มากที่สุด
การอ้างว่าขาดทุน ฯลฯ แล้วไปเปลี่ยนโครงสร้างด้วยคำพูดสวยหรู
แน่ใจหรือว่าคนจนจะได้ประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย
แบบเดิมกำลังเป็นไปได้ด้วยดี มีปัญหาที่ไหนก็หาทางแก้ไข
แต่หากไปทำเรื่องให้ยุ่งยากขึ้น มีเงื่อนไขต่างๆ มากมาย ในขณะที่ระบบราชการบ้านเรายังไม่ตอบโจทย์ประชาชน
ในขณะที่คนยากจนยังเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ได้ยาก ขาดความรู้ ความสะดวกในการเดินเรื่อง
สุดท้ายแล้ว คนได้ใช้สิทธิผู้ยากไร้ หรือสิทธิต่างๆ คงไม่พ้น ญาติๆ หรือคนใกล้ชิดพวกเจ้าหน้าที่
หรือคนมีเส้นสายในการเดินเรื่อง และงบส่วนมากก็คงไปกองอยู่กับค่าต่างๆ ที่คุณหมอว่ามา
การแก้ไขปัญหา ต้องยึดประชาชนผู้ด้อยโอกาสเป็นตัวตั้ง แล้วแก้ที่ระบบให้มีประสิทธิภาพเพื่อ support ประชาชน
ไม่ใช่ทำเรื่องให้คนยากจนต้องเพิ่มภาระหรือความยุ่งยากเพื่อ support ระบบ
อยากฝากเรื่องนี้กับผู้เกี่ยวข้องค่ะ ขอให้นึกถึงประชาชนตาดำๆ เป็นสำคัญ
ความคิดเห็นที่ 4
ปล.ขอเพิ่มเติม นะคะ ไม่อยากแก้กระทู้
จนท.ที่ไปประชุม หรือ ไปเป็นวิทยากร ยังรับเงินเดือนตามปกติ เงินเดือนไม่ได้ลดหายไปไหน มีแต่จะเพิ่มทุกปี
เวลาที่ไปประชุม ส่วนใหญ่ ในเวลาราชการ เงินเดือนรับเต็มไม่มีหัก
แต่ยังได้เงินเพิ่ม จาก เบี้ยเดินทาง ค่าวิทยากร ค่าที่พักต่าง
ปล.เพิ่มเติม ถ้าว่าง อาทิตย์หน้า จะมาเล่าเรื่อง
ฮั้วค่ายา 5% ของยอดสั่ง ว่าใครได้ใครรับ
ค่าก่อสร้าง ค่าหิน ค่าทราย ค่าปูน สร้างแล้วทุบ ทุบแล้วสร้างใหม่
เดี๋ยวจะให้น้องเค้าแอบถ่ายจุดก่อสร้าง และ ห้องฟิตเนส มาให้ดูค่ะ
จนท.ที่ไปประชุม หรือ ไปเป็นวิทยากร ยังรับเงินเดือนตามปกติ เงินเดือนไม่ได้ลดหายไปไหน มีแต่จะเพิ่มทุกปี
เวลาที่ไปประชุม ส่วนใหญ่ ในเวลาราชการ เงินเดือนรับเต็มไม่มีหัก
แต่ยังได้เงินเพิ่ม จาก เบี้ยเดินทาง ค่าวิทยากร ค่าที่พักต่าง
ปล.เพิ่มเติม ถ้าว่าง อาทิตย์หน้า จะมาเล่าเรื่อง
ฮั้วค่ายา 5% ของยอดสั่ง ว่าใครได้ใครรับ
ค่าก่อสร้าง ค่าหิน ค่าทราย ค่าปูน สร้างแล้วทุบ ทุบแล้วสร้างใหม่
เดี๋ยวจะให้น้องเค้าแอบถ่ายจุดก่อสร้าง และ ห้องฟิตเนส มาให้ดูค่ะ
ความคิดเห็นที่ 2
นึกไม่ถึงว่าวงการสีขาว จะมี Make Chart ซึ่งลุงโอลด์อยากเรียกว่า Fake Chart
ชวนให้นึกถึงวงการอื่นว่าจะมี Make activity ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องสัมมนา หรือจัดงานต่างๆ
โดยเฉพาะในแวดวงการศึกษา หลายปีมาแล้ว ลุงเคยมีโอกาสได้เป็นล่ามของรัฐมนตรีการศึกษาของประเทศหนึ่งที่มาดูงานประเทศไทย
ได้ติดตามคณะรัฐมนตรีประเทศนั้น และ ผอ. สพฐ.ที่มาอำนวยการต้อนรับ อย่างใกล้ชิด
เวลาไปดูงาน ณ โรงเรียนต่างๆ ก็จะมีผอ. โรงเรียนนั้นๆ มาคุยกับ ผอ.สพฐ เบาๆ ว่า "จัดงบมาลงโรงเรียนผมด้วยนะครับ" อิอิ
ชวนให้นึกถึงวงการอื่นว่าจะมี Make activity ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องสัมมนา หรือจัดงานต่างๆ
โดยเฉพาะในแวดวงการศึกษา หลายปีมาแล้ว ลุงเคยมีโอกาสได้เป็นล่ามของรัฐมนตรีการศึกษาของประเทศหนึ่งที่มาดูงานประเทศไทย
ได้ติดตามคณะรัฐมนตรีประเทศนั้น และ ผอ. สพฐ.ที่มาอำนวยการต้อนรับ อย่างใกล้ชิด
เวลาไปดูงาน ณ โรงเรียนต่างๆ ก็จะมีผอ. โรงเรียนนั้นๆ มาคุยกับ ผอ.สพฐ เบาๆ ว่า "จัดงบมาลงโรงเรียนผมด้วยนะครับ" อิอิ
แสดงความคิดเห็น
หลังประชามติผ่าน มาจับตาดู เรื่องการเปลี่ยน 30 บ. รักษาทุกโรค เป็น ช่วยจ่าย 30% ของค่ารักษาทั้งหมด ว่าจริงไหม ????
แต่ถ้าโครงการนี้ต้องยกเลิกไปจริง แล้วใช้ ช่วยจ่าย 30% ก็ขอให้รวมสิทธิ์พวกเบิกได้ด้วยค่ะ .... เพื่อความเสมอภาคกันทุกคนไป
คราวนี้เราจะมาดูกันว่า ที่เป็นข้ออ้างว่าในแต่ รพ. ขาดทุน นั้น แท้จริงแล้ว เป็นยังไงกันแน่
1.. เรื่องหลักๆ ว่า 30 บ. ที่ประชาชนช่วยจ่าย นั้น แท้จริงแล้วไม่เพียงพอแต่ค่ารักษาจริงๆ ถึงแม้หลวงจะช่วยจ่ายค่าหัวมาให้แล้ว
(แต่ก็อย่าลืมว่า ที่หลวงจ่ายให้ไปนั้น ประชาชนไม่ทุกคน ที่ไปใช้สิทธิ์นั้น หลายๆคนไม่เคยใช้สิทธิ์นั้นเลย จั๋วๆกันไป)
2.. ขอล้วงข้อมูลจากลูกน้องเก่า ที่ยังทำงานอยู่ใน รพ.อำเภอแห่งนึง ที่ เราได้เคยทำงานอยู่
2.1 ยุคสมัยนี้ งานบริการในรพ.เรื่องเล็กค่ะ เรื่องใหญ่กว่า คือ การประเมินบุคคลากร การนิเทศน์งาน การออกไปประชุมนอกรพ.
(ด้วยเหตุผล เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของ รพ. และ บุคคลากร บลา บลา บลา ..... อั้นนี้ ก็ไม่รู้ว่า พัฒนาได้จริงไหม)
-- เอาเรื่องไปประชุมก่อน ตย. ไปประชุมเรื่องโรคเรื่อรังที่ส่วนกลาง กทม. จนท. ก็ต้องเบิกค่าใช้จ่าย ต่างๆ ดังนี้
.. ค่าเดินทางไปกลับ ถ้าไม่มีรถไปรับส่ง .... ก็เบิกงบหลวงกัน ไปตามระยะทาง กม. ละ 3 บ.นับไปกลับ
.. เบิกค่าที่พักโรงแรม ในหลักพัน อย่างลูกน้องเก่า พักที่ รร.แถวดอนเมื่อง เบิกไปคืนละ 2500 บ.
.. ค่าเบี้ยเลี้ยงไปประชุม เงินติดกระเป๋า ให้ไปใช้จ่ายค่าอาหารมื้อต่างๆ นอกเหนือจากที่มีให้ตอนประชุม
ก็ลองรวมๆดูสิค่ะ ว่าแต่ละหัวๆ เบิกกันไปเท่าไร เบิกกันไปคนละกี่วัน รวมทั้งประเทศ ปีๆนึง เท่าไร คุ้มค่าไหม
เราเคยถามว่า ตอนไปประชุม อยู่ฟังตลอดไหม น้องเค้าก็บอกว่า วันแรกๆร่วมกิจกรรมให้เห็นหน้า หลังๆ ก็ แว็บ ออกไป
เราก็ถามว่าไปไหน คุณเธอ ก็บอกว่า ออกไปเสริมสวย ไปมาร์คหน้า (แต่คงไม่เหมารวมทุกคนนะคะ)
แล้วก็ออกไปช็อปตามห้างใหญ่ๆ ไหนๆ ก็เสียเวลามาแล้ว ... งานนี้ต้องคุ้มค่ะ คุ้มงบหลวงจริงๆ
2.2 การนิเทศน์งาน คือการออกมาประเมินงานที่ได้สั่งการมาแล้ว ว่าลุล่วงแล้วดี งานไปถึงไหนกันแล้วบ้าง
ส่วนใหญ่ก็จะมี จนท. จากตัวจังหวัดเข้ามาร่วมด้วย และมี จนท. จากรพ. อื่นๆ มาช่วยประเมิน
ตย. ตอนนี้ ประเมิน รพ.A ก็จะมี จนท. จาก รพ. B C & D เข้ามาประเมินให้
ถ้าประเมิน รพ. B ก็จะมี จนท. จาก รพ. A C & D มา ช่วย(เหลือ) ประเมินให้
ก็จะหมุนกันไป หน้าเดิมๆหมุนเวียนกันไป ช่วยกันประเมินผ่าน ฉานช่วยเธอ เธอก็ช่วยฉาน นะจ๊ะ
ลองมาดูงบกันต่อ ว่าเวลาตั้งรับการประเมินการนิเทศน์ มีอะไรกันบ้าง
-- ค่าวิทยากรค่ะ คิดกันเป็นเป็นหัวๆ ชม. ๆ ละ 1000-2000 บ. เบิกกันไปเต็มเหนี่ยวค่ะ เต็มชม. ค่ะ
เราก็ถามน้องว่า อยู่กันเต็มชม. ไหม เค้าก็บอกว่าวันแรกๆ เต็ม .. วันหลังๆ ปล่อยครึ่งวัน(ครึ่งวันกี่ ชม.) ใช้งบกันไปเท่าไร
-- ค่าที่พัก วิทยากร ในกรณีต้องออกตจว. ก็เบิกกันไปเต็มที่ ที่หลวงกำหนดไว้ให้
-- ค่าเดินทาง ในกรณี เดินทางมาด้วยตนเอง
-- ค่าอาหารบุฟเฟต์ อันนี้ ต้องพิเศษ เพื่อหน้าตาของรพ. เบิกกันไปในหลักหมื่นถึงแสน แล้วแต่ จำนวน จนท. ที่ร่วมประชุม
ก็ลองๆรวมๆ ดูว่าเดือนๆนึง มีกี่งานที่ต้องไปประชุม มีกี่งานที่ตั้งรับการนิเทศน์ แต่ละงานมี จนท. กี่คน ปีๆนึงใช้งบกันเท่าไร
2.3 งบพิเศษอย่าง รพ.อำเภอที่เราเคยทำงานอยู่ ได้เบี้ยกันดารเดือนละ 20000 บ. ไม่เปิดคลินิค 10000 บ.
เพื่อขวัญกำลังใจของ จนท. ได้สร้างงบทำฟิตเนส มีเครื่องออกกำลังกายให้จนท. เพื่อเป็นตย.สุขภาพร่างกายที่ดีให้คนไข้เห็น
ลองสอบถามดูว่าใช้งบกันไปเท่าไร เบาะๆ แค่ 1.5 ล้านเอง รพ.เราเล็ก 30 เตียง ไม่ต้องทำใหญ่มาก
อืม ๆๆ ทำกันเกือบทุก รพ. ถ้ารพ. ไหนใหญ่โตมโหฬาร ..... นี่คงฟันงบกันไป เป็นสิบๆล้าน
ทั่วประเทศ มีกันกี่ รพ. ใช้งบกันไปเท่าไร
..... ลองถามน้องเค้าดูว่า มีคนไปออกกำลังกายกันบ้างไหม เค้าก็บอกว่าไม่มีใครไปใช้เลย มีเห่อไปใช้กันวันแรกๆ แล้วก็เงียบไป
เห็นมีแต่ออกไปตามจับตัวโปเกมอน ที่ตัวจังหวัดกัน
3.. อีกเรื่องนึงก็ไม่อยากเอ่ย ครั้งนึง เราก็เคยโดนบังคับให้ทำตามคำสั่ง ผอ.รพ. ในตอนนั้น
เรื่อง ทำ MAKE CHART ผู้ป่วย
CHART ผู้ป่วย หรือแฟ้มประวัติคนไข้ ในตอนที่ คนไข้เข้า admit ไว้ให้แพทย์ คอย order ยา และ สั่ง Lab
และให้จนท. รพ. คอย record V/S และ อาการของคนไข้เป็นระยะๆ
ที่รพ.นั้น คนไข้ค่อนข้างยากไร้ในสมัยนั้น งบไม่พอจ่ายให้ จนท. เลย ทำ make chart ขึ้นมา
ก็คือ เอาชื่อ จนท.ใน รพ.ที่เบิกได้ หรือญาติ มาทำเรื่อง admit แกล้งป่วย เพื่อทำเรื่อง เบิกงบกลางมาใช้จ่าย
คือไม่มีคนไข้ แต่เบิกค่าน้ำเกลือ ค่าห้องพิเศษ ค่ายา ค่าแล็ป แต่ ไม่มียา ไม่มีน้ำเกลือ ไม่มีคนเข้าพัก
โกง แบบ ชัดๆ ที่อ้าง ว่า เงินรพ. ไม่พอ ฟังไม่ขึ้น แต่ก็ทำ
นี่ก็แค่ส่วนนึง ในวงการคนเสื้อสีขาว ขาวกันให้เห็นแต่เสื้อที่สวมใส่ตอนทำงาน คนในไม่อยากบอก คนนอกก็ไม่เคยรู้
ปล. นี่แค่ส่วนนึงหรือจะเป็นส่วนน้อยรึป่าว เราก็ไม่รู้นะ เพราะ จนท.และ รพ. ที่ดีๆ ก็มีตย. ให้เห็นกันเยอะค่ะ
สุดท้ายนี้ 30% ช่วยจ่าย จริงไม่จริง เราคงต้องจับตากันดูต่อไป จะสงสารก็คนยากไร้คนรายได้น้อยนี่แหละ
เงินกินยังจะไม่พอยาใส้เลย จะหาเงินมาจ่ายค่าหยวกค่ายาจากไหน ..... ทางที่ดี ก็ อย่าเจ็บอย่าป่วยกันค่ะ ถ้าเลือกได้นะ