ทวิภพ (พ.ศ.2547) - วันนี้คือสิ่งที่มีความหมายที่สุดสำหรับพวกเราเสมอ

หากพูดถึงหนังไทยที่เราชื่นชอบ ทวิภพ เวอร์ชั่นการกำกับของคุณสุรพงษ์ พินิจค้า ก็จะเป็นหนึ่งในรายชื่อนั้นเสมอ

เราไม่เคยดูทวิภพเวอร์ชั่นละครทีวีเลย จึงไม่ได้นำหนังไปเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นอื่นๆ รวมทั้งยังไม่เคยอ่านฉบับหนังสือของคุณทมยันตีด้วย จึงไม่ทราบว่าทวิภพเวอร์ชั่นนี้ ได้ปรับเปลี่ยนอะไรไปจากต้นฉบับบ้าง แต่เท่าที่ทราบ รู้ว่าหนังนำทวิภพของคุณทมยันตี มาตีความใหม่ ซึ่งสำหรับเราแล้ว เราชอบมากๆ

บทภาพยนตร์เรื่องนี้ แม้เราจะยังรู้สึกว่ามันยังขาดๆเกินๆอยู่พอสมควร แต่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์พอใช้ได้และเราชอบ เรารู้สึกหนังมีประเด็นย่อยๆแทรกอยู่เยอะพอสมควร มันเลยทำให้เราเกิดความไม่แน่ใจว่า หนังต้องการสื่อสารอะไรเป็นประเด็นหลัก รวมไปถึงเราติดขัดนิดหนึ่งตรงการเล่าความสัมพันธ์ของมณีจันทร์กับคุณหลวงอัครเทพวรากร เรายังไม่ค่อยรู้สึกมากนักในส่วนนี้

เราชอบดนตรีประกอบในเรื่องนี้มากๆ มันเก๋สุดๆ เรารู้สึกว่ามันอินเตอร์มาก เราทำหนังเรื่องทวิภพ เราไม่จำเป็นต้องทำให้มันดูไทยโบราณก็ได้ มันสามารถก้าวไปไกลกว่านั้นได้มากเลย

งานด้านภาพ เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมากๆ เราชอบฉากช่วงที่ตัดสลับระหว่างอดีตกับปัจจุบันมาก โดยเฉพาะช่วงแรกที่เมณี่กำลังจะย้อนอดีต เธอเดินอยู่ในบ้านของเธอ ฉากเดินเข้าไปในห้องครัว แต่ฉากหลังกลายเป็นบรรยากาศตลาดในอดีต ตัดต่อได้กลมกลืนมากๆ เธอเดินผ่านกระจก สะท้อนภาพตัวเธอห่มสไบ พอเดินกลับมาดูอีกที กลับเห็นตัวเธอในปัจจุบัน หนังดีไซน์ฉากเหล่านี้ออกมาได้บรรเจิดสุดๆ รวมไปถึงฉากภาพนิ่งบ้านเมืองในอดีตสีขาวดำ แล้วค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพสี และมีการเคลื่อนไหวของภาพ ทำได้เนียนมากๆ จนเรารู้สึกถึงการมีชีวิตของอดีตเลย

เราชอบการแสดงของฟลอเรนซ์ วนิดา มากๆ แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่า เธอเป็นลูกครึ่งไม่เหมาะกับบทมณีจันทร์ซักเท่าไหร่ แถมยังพูดไทยไม่ค่อยชัดอีก แต่ในทวิภพเวอร์ชั่นนี้ กลับเป็นบทที่เหมาะกับเธอมากๆ เราชอบซีนแรกที่เธออยู่ในห้องแถลงข่าวที่ปารีส แล้วเหมือนเธอเกิดตกไปในภวังค์ เห็นผู้คนและสิ่งของต่างๆในอดีตของบางกอก เธอเล่นด้วยสายตายอดเยี่ยมมาก และฉากที่เธอเล่าเรื่องที่เธอย้อนไปให้อดีตให้กุล (เพื่อนของเธอ) ฟัง เธอเล่นได้คมมาก รีแอ็คกับสิ่งที่กุลพูดได้อย่างยอดเยี่ยม ซีนที่เล่นคู่กับเอก รังสิโรจน์ ซึ่งทั่งคู่นั่งหันหน้าเข้าหากันบนเรือ โดยหลบสายตากันไปมา น่ารักและจังหวะดีมากๆ

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราสามารถย้อนกลับไปในอดีตได้ เรารู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากการกระทำในอดีตหมดแล้ว แล้วเราจะทำอย่างไร เราจะกลับไปแก้ไขการกระทำในอดีตเพื่อให้ปัจจุบันมันดีขึ้นไหม

ฉากที่เรายังขนลุกทุกครั้งที่ดู คือฉากที่คุณหลวงอัครเทพวรากร ถามแม่มณี ถึงที่มาของแม่มณี ซึ่งแม่มณีบอกว่า มาจากอนาคต ปี พ.ศ.2546 แล้วยังถูกถามต่อไปถึงบ้านเมืองในปีพ.ศ.นั้นเป็นอย่างไรบ้าง แม่มณีตอบคุณหลวงไปว่า
"บ้านเมืองเจริญมาก มีตึกสูงมากมาย ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด มีรถยนต์ ไฟฟ้า มีโรงหนัง เราแต่งตัวแบบตะวันตก นับถือฝรั่งมากกว่าพวกเดียวกัน เรามีทุกอย่างที่ตะวันตกมี เราเป็นทุกอย่างที่ชาวตะวันตกเป็น เรากินทุกอย่างที่ตะวันตกกิน เราชอบทุกอย่างที่ตะวันตกบอกให้ชอบ เราอยากเป็นเค้า...แล้วก็ปฏิเสธที่จะเป็นเรา"
เราเหมือนโดนตบหน้าจากสิ่งที่มณีจันทร์ตอบ เราเจ็บมากจากคำพูดตอนท้ายของมณีจันทร์

"แล้วเรานับถือใคร อังกฤษหรือฝรั่งเศส"
"เรานับถือไปหมด นอกจากตัวเรา" มณีจันทร์ตอบ
เราโดนตบหน้าฉาดที่สองทันที เรานิ่งและไม่กล้าจะเอ่ยปากเถียงอะไรเลย เราถึงกับต้องนั่งทบทวนกับตัวเองอีกหลายวันเลยทีเดียวกับคำพูดประโยคนี้

"แล้วเรายังมีพระเจ้าแผ่นดินไหม" คุณหลวงอัครเทพวรากรถาม
"นี่คือสิ่งเดียวที่ทำให้เรารู้สึกว่า เรายังเป็นเราอยู่" มณีจันทร์ตอบ

หนังมีแทรกประเด็นเรื่อง "ความรู้" ได้น่าตีมากๆ คุณหลวงพามณีจันทร์ไปดูอาวุธที่มีแสนยานุภาพของสยามในเวลานั้น ซึ่งมันคือคลังหนังสือ หาใช่คลังแสงไม่ การใช้กำลังในการตัดสิน มันไม่มีผลดีอะไรหรอก หากแต่ถ้าเรามีความรู้ที่มากกว่าและใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา เราก็จะสามารถผ่านเรื่องร้ายๆต่างๆไปได้

หนังพูดประเด็นการเปลี่ยนแปลงได้น่าขบคิด "การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่การสูญเสีย" บางครั้งในชีวิตเรา ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง เราคิดว่าโดยพื้นฐานของคนเรา ไม่มีใครชอบการเปลี่ยนแปลงหรอก แต่ถ้าหากว่าถึงคราวจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนล่ะ เราจะทำยังไง เราอาจจะคิดว่า การเปลี่ยนเป็นสิ่งใหม่ จะทำให้เราสูญเสียสิ่งเก่าไป แต่บางครั้งมันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ เราเปลี่ยนไปสู่สิ่งใหม่ แต่สิ่งเดิมก็ยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่ได้สูญหายไปไหนหรอก

เราชอบฉากที่เมณี่กลับมาจากอดีตในครั้งแรก เธอพูดถึงสิ่งที่เธอได้สัมผัสมา เธอบอกว่า "มันอธิบายไม่ถูก แต่รู้สึกว่า...มันอบอุ่นเหลือเกิน" เรารู้สึกเหมือนที่เมณี่พูด เรารู้สึกอบอุ่นเสมอเมื่อได้เห็นภาพอดีตของสยามประเทศ มันอบอุ่นและสวยงาม เราเคยอยากย้อนเวลาไปสัมผัสช่วงเวลาในอดีตของสยามประเทศเสมอๆ แต่มันคงไม่มีทางที่จะเป็นจริงได้ แต่ที่เราสนใจคือ หลายๆจังหวะในชีวิตเรา เรารู้สึกสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นแบบที่เราเคยได้สัมผัสในช่วงเยาว์วัย เราไม่ได้เห็นภาพในอดีต เราไม่ได้ย้อนเวลากลับไปเหมือนเมณี่ แต่เรากลับเชื่อว่า มีบางจังหวะชีวิตที่ความรู้สึกของเรา สามารถย้อนเวลากลับไปได้จริงๆ "มันอธิบายไม่ถูก แต่รู้สึกว่า...มันอบอุ่นเหลือเกิน"

"ในชีวิตคนเราคิดว่า น่าจะทำอะไรได้ดีกว่านี้เสมอ ดี..ดียิ่งกว่า..ดีที่สุด.. แล้วก็ ดีมากยิ่งกว่าดีที่สุด" สิ่งที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว เราเชื่อว่ามันดีเสมอ เราเคยอยากกลับไปแก้ไขอดีตของเราให้มันดีกว่าที่เป็น เราไม่ชอบอดีตหลายๆอย่างของเรา แต่ตอนนี้ เราเข้าใจแล้ว เราคิดว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว สิ่งที่มันผ่านไปแล้วและเราอยากที่จะแก้ไขมัน เราเลือกมองสิ่งเหล่านั้นให้เป็นบทเรียนและมองให้เป็นความทรงจำที่สวยงามที่เก็บไว้ในลิ้นชักความทรงจำของเราเอง

เราชอบตอนท้ายของหนังที่พ่อพูดกับเมณี่ "ถ้าเรารู้กันถ่องแท้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง จะไปยังไง จะจบยังไง ชีวิตเราวันนี้จะมีความหมายเหรอ" หนังยังคงบอกให้เราใส่ใจสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งนั่นก็คือปัจจุบันของเรานี่แหละ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม วันนี้คือสิ่งที่มีความหมายที่สุดสำหรับพวกเราเสมอ

https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่