ฉากชีวิต
เพทาย
คนว่ายาก ๒
ผมนอนมองน้ำเกลือที่หยดจากขวด ลงไปในสายพลาสติค ที่ห้อยลงมายังเข็มซึ่งปักตรึงอยู่กับเส้นเลือดเหนือข้อมือซ้ายของผม อย่างช้า ๆ ทีละหยดทีละหยด ดูจะกินเวลานานเหลือเกินกว่าจะหมดขวด แต่ละหยดของมันได้ช่วยคืนพลังวังชาของผมให้ดีขึ้นเป็นลำดับ ความคลื่นใส้ปั่นป่วนมวนท้องค่อยทุเลาลง หลังจากที่ได้อาเจียนอย่างหนักมาครึ่งคืนจนหมดแรง
แล้วผมก็หวนนึกไปถึงอดีต เมื่อหลายสิบปีก่อน..........
# # # # #
ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งอายุแก่กว่าผมไม่กี่ปี แต่เขาเป็นสิบเอกแล้วในตอนที่ผมเพิ่งเป็นข้าราชการวิสามัญต๊อกต๋อย อยู่ที่กรมทหารแถวสะพานแดง เราคบกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนม เที่ยวด้วยกันกินด้วยกัน เว้นแต่ไม่ได้นอนด้วยกันเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เขาจะเป็นผู้จ่ายเงิน เพราะเขามีมากกว่าผม เราคบกันได้ ๓ - ๔ ปี เขาก็อาสาสมัครไปรบในราชการสงครามเกาหลี
เมื่อเขากลับมาแล้วก็ไม่ค่อยได้เจอะเจอกัน เพราะผมแยกทางไปรับราชการที่กรมอื่นอีกมุมหนึ่ง ของสี่แยกสะพานแดงนั้นเอง ส่วนเขาก็เที่ยวอาสาสมัครไปรบ แทบจะทุกสมรภูมิ เรียกว่าเป็นนักล่า พ.ส.ร.หรือที่เรียกเต็มยศว่า เงินเพิ่มสู้รบ เขาเป็นนักรบหัวเห็ด ที่ได้ไปมาแล้วทุกศึก ต่อจากเกาหลีก็ไป เป็นเสือพรานอาสาสมัครไปรบนอกแบบในลาว แล้วก็ไปสงครามเวียดนาม แม้แต่เขมรในสมัยที่นายพลลอนนอน ได้สปอนเซอร์ เอามาสู้รบกับเขมรแดง เขาก็เคยได้ไปกินเหล้าเสือสิบเอ็ดตัวขนานแท้มาแล้ว เพียงแต่ไม่ได้อยู่จนถึงเวลาที่ นายพอลพตเข้ามายึดกรุงพนมเปญเท่านั้น
ต่อมาเขาได้ไปช่วยราชการในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน และถูกส่งไปต่างจังหวัด เลยไปตั้งหลักแหล่งในภูมิลำเนาของภรรยาที่จังหวัดนครสวรรค์ เราจึงห่างเหินกันไปพอสมควร และผมก็ไม่ได้ทราบข่าวคราวของเขาอีกเลย
จนกระทั่งผมได้มีโอกาสไปในงานแต่งงานน้องสาวของเพื่อนอีกคนหนึ่ง ที่จังหวัดนครสวรรค์ จึงได้พบเขาอีกครั้งที่หน้าภัตตาคารแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด ด้วยสภาพของสารถีรถ สามล้อเครื่อง ผู้มีสุขภาพชำรุดทรุดโทรมเต็มที เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เขาดื่มมันมาตั้งแต่ครั้งไปราชการสนาม และก็ได้ความว่าออกจากราชการเสียแล้ว เพราะไม่ถูกกับเจ้านาย จึงยึดอาชีพขี่ สามล้อ เลี้ยงชีวิตไปตามแกน สังขารก็ร่วงโรยลงไปตามลำดับ จึงเปลี่ยนมาขับรถตุ๊ก ๆ แทน เงินที่เหลือจากค่าเช่าก็ลงขวด
หมด
เมื่อผมถามถึงครอบครัวของเขาซึ่งผมหมายถึงภรรยาที่มีอาชีพครู และลูกชายหญิงของเขา
" เขาทิ้งข้าไปหมดแล้วละว่ะ อย่าไปห่วงเขาเลย สบายไปซะแล้ว "
" อ้าวไหงเป็นงั้น...แล้วเพื่อนก็เลยต้องมา..."
ผมชงักปากไว้ ตามองดูยานคู่ชีพของเขา ซึ่งมีลักษณะโกโรโกโสพอ ๆ กับสภาพผู้เป็นเจ้าของ
" เราก็หากินเลี้ยงท้องตัวเองไปมื้อ ๆ ยังงี้แหละวะ "
เสียงของเขาเข้มแข็ง ต่างกับสังขารที่ซูบซีดร่วงโรยที่มองเห็นได้ ใบหน้ากร้านเกรียม เบ้าตาลึก แต่แก้มป่องแทบจะย้อย จมูกแดงบานและมีน้ำมูกซึมอยู่ตลอดเวลา แขนทั้งสองข้างลีบเรียว บนผิวหนังมีรอยลอกเป็นแห่ง ๆ
" ยังพอทู่ซี้ไปได้ไม่ถึงกับอดตายหรอกว่ะ "
ผมพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับทราบ อยากจะซักไซ้ต่อไป ให้ละเอียดกว่านี้อีก แต่สมองมึนตื้อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ จึงจับต้นชนปลายไม่ถูก พอดีเขาถามขึ้นว่า
" แล้วเพื่อนล่ะ คงสบายดีซีนะ "
" ฮื่อ " ผมยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ดีไปกว่านั้น
" ติดดาวหรือยังล่ะ "
เขาถามถึงอาชีพหลักของผม
" ได้มา ๒ - ๓ ปีแล้ว ตอนนี้ร้อยโท "
" เออดี "
เขาคว้ามือผมไปเขย่าอย่างแรง ความรู้สึกซาบซึ้งตื้นตัน แล่นผ่านมือทั้งสองของเราไปอย่างรู้สึกได้
" เพื่อนได้ดีก็ดีใจด้วยว่ะ ดีใจจริง ๆ แต่ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงฉลอง "
" เฮ้ย...มีซีวะ "
ผมเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้อย่างปัจจุบันทันด่วน
" เดี๋ยวนี้แหละ ไป...เข้าไปในร้านด้วยกัน "
" ไม่เอาโว้ย อายเขาตายห่ะ สารรูปเรายังกะอีแร้ง "
เขาขืนตัวไม่ยอมลงจากรถตามแรงฉุดของผม
" เหอะน่า อายใครกัน ไม่มีใครเขาสนใจเราหรอก "
" ไหว้ทีละวะ ขอตัวที "
เสียงของเขาอ้อนวอนขอร้องอย่างจริงใจ
" ตามสบายเถอะ อย่าห่วงเราเลย โอกาสหน้าค่อยเจอกันใหม่ "
ว่าแล้วเขาก็สตาร์ทรถคู่ชีพออกไปจากที่จอด โดยไม่ยอมฟังเสียง ผมจำใจต้องปล่อยให้เขาไป เพราะไม่สามารถจะหยุดรถของเขาไว้ได้ ในขณะนั้น
# # # # #
ผมนึกถึงคำพูดของเขา เมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน ตอนที่ผมเตือนเขาว่า
" กินเหล้าไม่เติมโซดายังงี้ ลูกยังไม่ทันจะโต แกจะแย่เสียก่อนนา "
" ชั่งหัวมัน " เขากระดกเสียอีกพรวดหนึ่งเป็นการยืนยัน
" เรากินเหล้ามาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น แกก็รู้ แต่อยู่มาได้ถึงเดี๋ยวนี้ ดู
เจ้าผีนั่นไง ซัดกราขาวเป็นขวด ๆ ทุกวันก็ยังเห็นสบายดีไม่ใช่เรอะ ทีเจ้าออดกินเหล้าไม่ตายรถ

ทับตายไปก่อน เอาแน่ได้เมื่อไร คนอย่างเราเชื่อดวงว่ะ จะตับแข็งหรือกะเพาะทะลุ หรือมะเร็ง มันก็ไอ้ตายเหมือนกันแหละวะ ไม่เห็นมีใครอยู่ค้ำฟ้าซักกะคน "
# # # # #
แล้วผมก็คิดไปถึงหมอโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเมื่อสิบปีก่อน ที่เอามือจิ้มชายโครงข้างขวาของผม กดเต็มแรง แล้วบอกว่า
" ตับโตออกมาตั้งนิ้ว "
ผมยังมีกะใจถามว่า
" นิ้วฟุตหรือครับ "
" ฮื่ย นิ้วมือน่ะ "
หมอถลกขากางเกงขึ้น พิจารณาดูข้อเท้าทั้งสองข้างที่บวมเป่ง มองไม่เห็นตาตุ่ม เอานิ้วกดลงไปบนหลังเท้าและหน้าแข้งจนเป็นรอยบุ๋ม แล้วว่า
" กินเหล้าหนักละซี ผู้กองน่ะ "
" ก็เอาอยู่ครับ "
ผมอ้อมแอ้มตอบ
" ติดหรือเปล่า "
" ไม่ติดครับ "
ผมยืนยันเหมือนทุกคนที่ถูกถามประโยคนี้
" งั้นก็เลิกได้แล้วถ้ายังรักที่จะมีชีวิตอยู่ "
หมอกระแทกเสียงหนักแน่น แล้วก็ให้ยากินรักษาตัวอยู่เกือบปี พอตรวจครั้งสุดท้ายบอกว่า ผลการตรวจโลหิตเป็นปกติแล้ว เลิกกินยาได้ ผมก็ค่อย ๆ กระซิบบอกหมอว่า
" ตลอดเวลาที่แล้วมานั้น ผมกินเบียร์เติมโซดาครับ "
หมอไม่ยักพูดว่าอะไร................
# # # # #
คราวนี้ผมนึกถึงคำพูดของหมอโรงพยาบาลมิชชั่น เมื่อเช้านี้ว่า
" พรุ่งนี้จะส่งไปตรวจอัลตราซาวด์ ดูถุงน้ำดีและตับ กับเอ็กซเรย์
ดูกระเพาะอาหารเมื่อทราบผลแล้วจึงจะได้รักษาให้ถูกทาง คืนนี้หลับให้สบายไม่ต้องวิตก "
ผมก็ไม่ได้วิตกอะไรนักหรอก ไม่ว่าจะเป็นนิ่วในถุงน้ำดี หรือมะเร็งที่ตับ หรือแผลในกระเพาะอาหาร เพราะเชื่อคำพูดของเพื่อน ที่เล่ามาข้างต้นนั้น เขาไม่ได้ตายด้วยโรคอันน่ากลัวเหล่านั้นเลย
#######
“ กินเข้าไปเถอะเพื่อน เหล้าน่ะ ตายแล้วไม่มีใครใส่บาตรให้กินหรอก “
วาทะอันเป็นความจริงนี้ ผมได้ยินจากปากของเพื่อน ที่เล่ามาแล้ว ต่อหน้าแม่โขงชุดใหญ่ ในร้านแผงลอยเวิ้งหลังกระทรวงกลาโหม เมื่อสี่สิบปีที่แล้ว
ผมกินเหล้าเป็นมาตั้งแต่อายุได้สิบหกปี กินเรื่อยมาอย่างสม่ำเสมอ ไม่เกี่ยงว่าฝนจะตกแดดจะออก ข้างขึ้นข้างแรม วันเวลาและสถานที่ เว้นแต่ในโบสถ์เท่านั้น ไม่เกี่ยงว่าเป็นเหล้าอะไร ตั้งแต่แม่โขง กวางทอง เซี่ยงชุน ข้าวเหนียวแดง เหล้าโรง ๒๘ ดีกรี จนถึงเหล้าพื้นบ้าน ประเภทน้ำขาว กระแช่ อุ และเหล้าต้มเอง ซึ่งเมื่อเทลงบนพื้นกระดานแล้วเอาไม้ขีดจุด มันจะลุกเป็นแสงเรืองสีเขียวน่าดู ขอให้มีน้ำเย็นตบตูดเป็นพอ
ผมกินเหล้ามาจนอายุสี่สิบเศษ หลังจากที่เพื่อนผู้กล่าวประโยคข้างต้น ตายไปนานหลายปีแล้ว ผมก็ต้องมานอนให้หมอตรวจตับ ซึ่งโตกว่าขนาดมาตรฐาน หมอบอกว่า
“ เลิกกินเหล้าได้แล้ว ถ้ายังไม่อยากตาย “
ครั้งนั้นเป็นครั้งแรก ที่ผมต้องคิดว่าจะตัดสินใจอย่างไร ระหว่างคำพูดของเพื่อน กับคำพูดของหมอ แล้วผมก็ตัดสินใจเลิกกินเหล้า แต่กินเบียร์เติมโซดามาจนถึงบัดนี้
เพื่อนหลายคนที่เคยกินเหล้าด้วยกันมา ต่างก็ทยอยตายไปทีละคน ด้วยโรคต่าง ๆ นา ๆ เพื่อนบางคนที่ชอบพูดว่า “ กินก็ตายไม่กินก็ตาย “ นั้น ในที่สุดก็ตาย
ส่วนคนที่มีชีวิตยืนยาวอยู่จนถึงวันนี้ บางคนเลิกกินเหล้าแล้วก็ไปบวช หรือเข้าวัดทำสมาธิ วิปัสสนา กรรมฐาน หลายคนเลิกกินเพราะป่วย ด้วยโรคที่ขัดขวางต่อการกิน เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดเกินเกณฑ์ โรคหัวใจ ทั้งที่ผ่าตัดแล้วและยังไม่ผ่า คนที่ยังกินอยู่และยังไม่มีโรคร้ายนั้น เหลืออยู่น้อยเต็มที
ตั้งแต่เกษียณอายุราชการแล้ว ผมก็ไปตรวจโรคทุกสามเดือนที่คลีนิคผู้สูงอายุ ของโรงพยาบาลทหาร ก็ได้ยาประเภทวิตามิน ยาแก้โรคกระดูก ยาแก้โรคกะเพาะ มากินอยู่เป็นประจำ ไม่มีโรคที่จะทำให้ตายได้ง่าย จึงต้องคอยระวังตัวเวลาเดินทางไปไหนต่อไหน ทั้งในกรุงและต่างจังหวัด เพราะไม่แน่ใจว่าจะตายด้วยอุบัติเหตุ อันเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนได้สูงที่สุดหรือไม่
อยู่มาถึงเมื่อสามสี่เดือนก่อน หมอเจ้าประจำสั่งเจาะเลือดไปตรวจซ้ำ สองสามครั้ง แล้วบอกว่าตับท่านแย่เต็มทีแล้ว ผมไม่ทราบว่าหมอดูจากผลเลือดตัวไหน ท่านก็เอาปากกาวงตรงตัว GAMMA - GT ซึ่งมีเกณฑ์ 7 - 50 แต่ของผมขึ้นไปถึง 196 หมอก็สงสัยว่าเป็นได้อย่างไรเหล้าก็ไม่กิน ผมจึงสารภาพว่าผมกินเบียร์ หมอก็บอกว่า เลิกได้แล้ว
เมื่อสองสามปีก่อน ก็มีผู้หวังดีหลายท่าน แนะนำให้ลดการดื่มแอลกอฮอล์ลงบ้าง อายุจะได้ยืนนาน เพื่อนคนหนึ่งในอดีตเคยเป็นนายแพทย์ระดับ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรัฐ ก็เตือนด้วยความหวังดีว่า กินเข้าไปทำไมแอลกอฮอล์น่ะ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงห้ามไว้ในศีลข้อห้า ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ เราไม่ควรที่จะดื้อดึงต่อ คำสอนของท่าน
ผมก็น้อมรับฟังไว้ด้วยความเคารพ แต่กิเลสมันก็เถียงแทนว่ากินด้วยความอยาก เช่นเดียวกับคนที่กินน้ำชา กาแฟ และน้ำโคลา หรือเครื่องดื่มบำรุงกำลังทั้งขวดและกระป๋อง นั่นแหละ
ผมจึงคิดเข้าข้างกิเลสว่า คนเราเกิดมาจากกรรม มันอยู่ได้ด้วยกรรม และตายด้วยกรรม เมื่อถึงเวลามันจะตายก็ต้องตาย ไม่ว่าจะกินหรือไม่กินอะไร จะอายุเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีข้อจำกัดขัดข้องใดใด
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ตื่นเช้าขึ้นมาผมก็รู้สึกว่าร่างกายผิดปกติ พอกินข้าวเช้าแล้วก็มีอาการเหมือนจะเป็นลม ผมก็กินยาหอมที่ใช้เป็นประจำ แล้วก็นั่งรอดูผล เพราะผมเคยเป็นโรคที่มองเห็นบ้านหมุนไปรอบ ๆ ตัว เมื่อไปตรวจหมอบอกว่าน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่คราวนี้ไม่ใช่ และก็ไม่มีอาการอะไรมากไปกว่านั้น ผมจึงออกจากบ้านเพื่อไปยื่นเรื่องราว ขอรับค่ารักษาพยาบาลของ แม่บ้าน ที่กระทรวง แต่ด้วยความไม่ประมาท จึงชวนลูกชายคนโตไปเป็นเพื่อนด้วย
ผมเดินไปขึ้นรถเมล์หน้าวชิรพยาบาล และลงรถเมล์ที่สนามหลวง แล้วเดินผ่านศาลหลักเมืองไปถึงแผนกเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ ด้วยความรู้สึกว่าการเดินไม่เป็นปกติ การทรงตัวไม่ดีนัก แต่ก็สามารถยื่นเรื่องราวจนได้รับบัตรนัดรับเงินเรียบร้อย ขากลับเห็นแดดมันจัดจ้านักตัวเองก็ไม่ค่อยสบาย จึงเรียกรถแท็กซี่กลับบ้าน
พอรถแท็กซี่จอดที่ปากซอยหลังบ้าน ผมเปิดประตูรถก้าวลงก็ใจหายวูบ เพราะเข่าอ่อนยวบ ดูเหมือนเท้าจะยืนไม่ติดดิน ก็นึกรู้ทันทีว่าเป็นอาการของโรคที่เกี่ยวกับสมองแน่ จึงบอกลูกชายสั่งคนขับ ให้พาไปส่งที่โรงพยาบาลของมูลนิธิแห่งหนึ่ง แถวแยกยมราชทันที
ผมพยายามเดินในโรงพยาบาล โดยไม่ให้ลูกชายประคอง เพราะต้องการจะสังเกตอาการของตนเอง ก็ปรากฏว่าแขนและขาขวาอ่อนเปลี้ยไม่ค่อยมีแรง แต่ยังเดินได้
หมอถามอาการและตรวจดูร่างกายภายนอกแล้ว สันนิษฐานว่าเส้นโลหิตในสมองตีบ แต่ต้องการจะรู้สาเหตุจึงให้มาเจาะเลือดตรวจ ในวันรุ่งขึ้น ส่วนวันนี้ได้ยามากินบรรเทาไปก่อน
ผมกลับมาถึงบ้านด้วยความหดหู่ในใจ ผมเคยเห็นคนที่เป็นโรคที่มีอาการอย่างนี้มาแล้วหลายคนในชีวิต บางคนล้มลงแล้วก็เป็นอัมพาตไปครึ่งซีก อยู่ได้เพียงครึ่งวันก็ตาย บางคนที่เป็นน้อยกว่านั้น ก็ยังอยู่โดยใช้แขนและขาข้างขวาไม่ได้ต้องนั่งรถเข็น หรืออย่างดีก็ถือไม้เท้าก้าวเดินไปไหนมาไหนด้วยความลำบาก และมีบางคนที่เดินโขยกเขยกแต่สามารถทำงานเบา ในสำนักงานได้ต่อไป การรักษาก็เป็นการทำกายภาพบำบัด ซึ่งอาจจะมีอาการดีขึ้นบ้าง แต่ผมไม่เคยพบว่าจะมีคนไหนกลับฟื้นคืนเป็นคนปกติดังเดิมได้เลย
คนว่ายาก (๒) ๕ ก.ค.๕๙
เพทาย
คนว่ายาก ๒
ผมนอนมองน้ำเกลือที่หยดจากขวด ลงไปในสายพลาสติค ที่ห้อยลงมายังเข็มซึ่งปักตรึงอยู่กับเส้นเลือดเหนือข้อมือซ้ายของผม อย่างช้า ๆ ทีละหยดทีละหยด ดูจะกินเวลานานเหลือเกินกว่าจะหมดขวด แต่ละหยดของมันได้ช่วยคืนพลังวังชาของผมให้ดีขึ้นเป็นลำดับ ความคลื่นใส้ปั่นป่วนมวนท้องค่อยทุเลาลง หลังจากที่ได้อาเจียนอย่างหนักมาครึ่งคืนจนหมดแรง
แล้วผมก็หวนนึกไปถึงอดีต เมื่อหลายสิบปีก่อน..........
# # # # #
ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งอายุแก่กว่าผมไม่กี่ปี แต่เขาเป็นสิบเอกแล้วในตอนที่ผมเพิ่งเป็นข้าราชการวิสามัญต๊อกต๋อย อยู่ที่กรมทหารแถวสะพานแดง เราคบกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนม เที่ยวด้วยกันกินด้วยกัน เว้นแต่ไม่ได้นอนด้วยกันเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เขาจะเป็นผู้จ่ายเงิน เพราะเขามีมากกว่าผม เราคบกันได้ ๓ - ๔ ปี เขาก็อาสาสมัครไปรบในราชการสงครามเกาหลี
เมื่อเขากลับมาแล้วก็ไม่ค่อยได้เจอะเจอกัน เพราะผมแยกทางไปรับราชการที่กรมอื่นอีกมุมหนึ่ง ของสี่แยกสะพานแดงนั้นเอง ส่วนเขาก็เที่ยวอาสาสมัครไปรบ แทบจะทุกสมรภูมิ เรียกว่าเป็นนักล่า พ.ส.ร.หรือที่เรียกเต็มยศว่า เงินเพิ่มสู้รบ เขาเป็นนักรบหัวเห็ด ที่ได้ไปมาแล้วทุกศึก ต่อจากเกาหลีก็ไป เป็นเสือพรานอาสาสมัครไปรบนอกแบบในลาว แล้วก็ไปสงครามเวียดนาม แม้แต่เขมรในสมัยที่นายพลลอนนอน ได้สปอนเซอร์ เอามาสู้รบกับเขมรแดง เขาก็เคยได้ไปกินเหล้าเสือสิบเอ็ดตัวขนานแท้มาแล้ว เพียงแต่ไม่ได้อยู่จนถึงเวลาที่ นายพอลพตเข้ามายึดกรุงพนมเปญเท่านั้น
ต่อมาเขาได้ไปช่วยราชการในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน และถูกส่งไปต่างจังหวัด เลยไปตั้งหลักแหล่งในภูมิลำเนาของภรรยาที่จังหวัดนครสวรรค์ เราจึงห่างเหินกันไปพอสมควร และผมก็ไม่ได้ทราบข่าวคราวของเขาอีกเลย
จนกระทั่งผมได้มีโอกาสไปในงานแต่งงานน้องสาวของเพื่อนอีกคนหนึ่ง ที่จังหวัดนครสวรรค์ จึงได้พบเขาอีกครั้งที่หน้าภัตตาคารแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด ด้วยสภาพของสารถีรถ สามล้อเครื่อง ผู้มีสุขภาพชำรุดทรุดโทรมเต็มที เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เขาดื่มมันมาตั้งแต่ครั้งไปราชการสนาม และก็ได้ความว่าออกจากราชการเสียแล้ว เพราะไม่ถูกกับเจ้านาย จึงยึดอาชีพขี่ สามล้อ เลี้ยงชีวิตไปตามแกน สังขารก็ร่วงโรยลงไปตามลำดับ จึงเปลี่ยนมาขับรถตุ๊ก ๆ แทน เงินที่เหลือจากค่าเช่าก็ลงขวด
หมด
เมื่อผมถามถึงครอบครัวของเขาซึ่งผมหมายถึงภรรยาที่มีอาชีพครู และลูกชายหญิงของเขา
" เขาทิ้งข้าไปหมดแล้วละว่ะ อย่าไปห่วงเขาเลย สบายไปซะแล้ว "
" อ้าวไหงเป็นงั้น...แล้วเพื่อนก็เลยต้องมา..."
ผมชงักปากไว้ ตามองดูยานคู่ชีพของเขา ซึ่งมีลักษณะโกโรโกโสพอ ๆ กับสภาพผู้เป็นเจ้าของ
" เราก็หากินเลี้ยงท้องตัวเองไปมื้อ ๆ ยังงี้แหละวะ "
เสียงของเขาเข้มแข็ง ต่างกับสังขารที่ซูบซีดร่วงโรยที่มองเห็นได้ ใบหน้ากร้านเกรียม เบ้าตาลึก แต่แก้มป่องแทบจะย้อย จมูกแดงบานและมีน้ำมูกซึมอยู่ตลอดเวลา แขนทั้งสองข้างลีบเรียว บนผิวหนังมีรอยลอกเป็นแห่ง ๆ
" ยังพอทู่ซี้ไปได้ไม่ถึงกับอดตายหรอกว่ะ "
ผมพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับทราบ อยากจะซักไซ้ต่อไป ให้ละเอียดกว่านี้อีก แต่สมองมึนตื้อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ จึงจับต้นชนปลายไม่ถูก พอดีเขาถามขึ้นว่า
" แล้วเพื่อนล่ะ คงสบายดีซีนะ "
" ฮื่อ " ผมยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ดีไปกว่านั้น
" ติดดาวหรือยังล่ะ "
เขาถามถึงอาชีพหลักของผม
" ได้มา ๒ - ๓ ปีแล้ว ตอนนี้ร้อยโท "
" เออดี "
เขาคว้ามือผมไปเขย่าอย่างแรง ความรู้สึกซาบซึ้งตื้นตัน แล่นผ่านมือทั้งสองของเราไปอย่างรู้สึกได้
" เพื่อนได้ดีก็ดีใจด้วยว่ะ ดีใจจริง ๆ แต่ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงฉลอง "
" เฮ้ย...มีซีวะ "
ผมเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้อย่างปัจจุบันทันด่วน
" เดี๋ยวนี้แหละ ไป...เข้าไปในร้านด้วยกัน "
" ไม่เอาโว้ย อายเขาตายห่ะ สารรูปเรายังกะอีแร้ง "
เขาขืนตัวไม่ยอมลงจากรถตามแรงฉุดของผม
" เหอะน่า อายใครกัน ไม่มีใครเขาสนใจเราหรอก "
" ไหว้ทีละวะ ขอตัวที "
เสียงของเขาอ้อนวอนขอร้องอย่างจริงใจ
" ตามสบายเถอะ อย่าห่วงเราเลย โอกาสหน้าค่อยเจอกันใหม่ "
ว่าแล้วเขาก็สตาร์ทรถคู่ชีพออกไปจากที่จอด โดยไม่ยอมฟังเสียง ผมจำใจต้องปล่อยให้เขาไป เพราะไม่สามารถจะหยุดรถของเขาไว้ได้ ในขณะนั้น
# # # # #
ผมนึกถึงคำพูดของเขา เมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน ตอนที่ผมเตือนเขาว่า
" กินเหล้าไม่เติมโซดายังงี้ ลูกยังไม่ทันจะโต แกจะแย่เสียก่อนนา "
" ชั่งหัวมัน " เขากระดกเสียอีกพรวดหนึ่งเป็นการยืนยัน
" เรากินเหล้ามาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น แกก็รู้ แต่อยู่มาได้ถึงเดี๋ยวนี้ ดู
เจ้าผีนั่นไง ซัดกราขาวเป็นขวด ๆ ทุกวันก็ยังเห็นสบายดีไม่ใช่เรอะ ทีเจ้าออดกินเหล้าไม่ตายรถ
# # # # #
แล้วผมก็คิดไปถึงหมอโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเมื่อสิบปีก่อน ที่เอามือจิ้มชายโครงข้างขวาของผม กดเต็มแรง แล้วบอกว่า
" ตับโตออกมาตั้งนิ้ว "
ผมยังมีกะใจถามว่า
" นิ้วฟุตหรือครับ "
" ฮื่ย นิ้วมือน่ะ "
หมอถลกขากางเกงขึ้น พิจารณาดูข้อเท้าทั้งสองข้างที่บวมเป่ง มองไม่เห็นตาตุ่ม เอานิ้วกดลงไปบนหลังเท้าและหน้าแข้งจนเป็นรอยบุ๋ม แล้วว่า
" กินเหล้าหนักละซี ผู้กองน่ะ "
" ก็เอาอยู่ครับ "
ผมอ้อมแอ้มตอบ
" ติดหรือเปล่า "
" ไม่ติดครับ "
ผมยืนยันเหมือนทุกคนที่ถูกถามประโยคนี้
" งั้นก็เลิกได้แล้วถ้ายังรักที่จะมีชีวิตอยู่ "
หมอกระแทกเสียงหนักแน่น แล้วก็ให้ยากินรักษาตัวอยู่เกือบปี พอตรวจครั้งสุดท้ายบอกว่า ผลการตรวจโลหิตเป็นปกติแล้ว เลิกกินยาได้ ผมก็ค่อย ๆ กระซิบบอกหมอว่า
" ตลอดเวลาที่แล้วมานั้น ผมกินเบียร์เติมโซดาครับ "
หมอไม่ยักพูดว่าอะไร................
# # # # #
คราวนี้ผมนึกถึงคำพูดของหมอโรงพยาบาลมิชชั่น เมื่อเช้านี้ว่า
" พรุ่งนี้จะส่งไปตรวจอัลตราซาวด์ ดูถุงน้ำดีและตับ กับเอ็กซเรย์
ดูกระเพาะอาหารเมื่อทราบผลแล้วจึงจะได้รักษาให้ถูกทาง คืนนี้หลับให้สบายไม่ต้องวิตก "
ผมก็ไม่ได้วิตกอะไรนักหรอก ไม่ว่าจะเป็นนิ่วในถุงน้ำดี หรือมะเร็งที่ตับ หรือแผลในกระเพาะอาหาร เพราะเชื่อคำพูดของเพื่อน ที่เล่ามาข้างต้นนั้น เขาไม่ได้ตายด้วยโรคอันน่ากลัวเหล่านั้นเลย
#######
“ กินเข้าไปเถอะเพื่อน เหล้าน่ะ ตายแล้วไม่มีใครใส่บาตรให้กินหรอก “
วาทะอันเป็นความจริงนี้ ผมได้ยินจากปากของเพื่อน ที่เล่ามาแล้ว ต่อหน้าแม่โขงชุดใหญ่ ในร้านแผงลอยเวิ้งหลังกระทรวงกลาโหม เมื่อสี่สิบปีที่แล้ว
ผมกินเหล้าเป็นมาตั้งแต่อายุได้สิบหกปี กินเรื่อยมาอย่างสม่ำเสมอ ไม่เกี่ยงว่าฝนจะตกแดดจะออก ข้างขึ้นข้างแรม วันเวลาและสถานที่ เว้นแต่ในโบสถ์เท่านั้น ไม่เกี่ยงว่าเป็นเหล้าอะไร ตั้งแต่แม่โขง กวางทอง เซี่ยงชุน ข้าวเหนียวแดง เหล้าโรง ๒๘ ดีกรี จนถึงเหล้าพื้นบ้าน ประเภทน้ำขาว กระแช่ อุ และเหล้าต้มเอง ซึ่งเมื่อเทลงบนพื้นกระดานแล้วเอาไม้ขีดจุด มันจะลุกเป็นแสงเรืองสีเขียวน่าดู ขอให้มีน้ำเย็นตบตูดเป็นพอ
ผมกินเหล้ามาจนอายุสี่สิบเศษ หลังจากที่เพื่อนผู้กล่าวประโยคข้างต้น ตายไปนานหลายปีแล้ว ผมก็ต้องมานอนให้หมอตรวจตับ ซึ่งโตกว่าขนาดมาตรฐาน หมอบอกว่า
“ เลิกกินเหล้าได้แล้ว ถ้ายังไม่อยากตาย “
ครั้งนั้นเป็นครั้งแรก ที่ผมต้องคิดว่าจะตัดสินใจอย่างไร ระหว่างคำพูดของเพื่อน กับคำพูดของหมอ แล้วผมก็ตัดสินใจเลิกกินเหล้า แต่กินเบียร์เติมโซดามาจนถึงบัดนี้
เพื่อนหลายคนที่เคยกินเหล้าด้วยกันมา ต่างก็ทยอยตายไปทีละคน ด้วยโรคต่าง ๆ นา ๆ เพื่อนบางคนที่ชอบพูดว่า “ กินก็ตายไม่กินก็ตาย “ นั้น ในที่สุดก็ตาย
ส่วนคนที่มีชีวิตยืนยาวอยู่จนถึงวันนี้ บางคนเลิกกินเหล้าแล้วก็ไปบวช หรือเข้าวัดทำสมาธิ วิปัสสนา กรรมฐาน หลายคนเลิกกินเพราะป่วย ด้วยโรคที่ขัดขวางต่อการกิน เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดเกินเกณฑ์ โรคหัวใจ ทั้งที่ผ่าตัดแล้วและยังไม่ผ่า คนที่ยังกินอยู่และยังไม่มีโรคร้ายนั้น เหลืออยู่น้อยเต็มที
ตั้งแต่เกษียณอายุราชการแล้ว ผมก็ไปตรวจโรคทุกสามเดือนที่คลีนิคผู้สูงอายุ ของโรงพยาบาลทหาร ก็ได้ยาประเภทวิตามิน ยาแก้โรคกระดูก ยาแก้โรคกะเพาะ มากินอยู่เป็นประจำ ไม่มีโรคที่จะทำให้ตายได้ง่าย จึงต้องคอยระวังตัวเวลาเดินทางไปไหนต่อไหน ทั้งในกรุงและต่างจังหวัด เพราะไม่แน่ใจว่าจะตายด้วยอุบัติเหตุ อันเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนได้สูงที่สุดหรือไม่
อยู่มาถึงเมื่อสามสี่เดือนก่อน หมอเจ้าประจำสั่งเจาะเลือดไปตรวจซ้ำ สองสามครั้ง แล้วบอกว่าตับท่านแย่เต็มทีแล้ว ผมไม่ทราบว่าหมอดูจากผลเลือดตัวไหน ท่านก็เอาปากกาวงตรงตัว GAMMA - GT ซึ่งมีเกณฑ์ 7 - 50 แต่ของผมขึ้นไปถึง 196 หมอก็สงสัยว่าเป็นได้อย่างไรเหล้าก็ไม่กิน ผมจึงสารภาพว่าผมกินเบียร์ หมอก็บอกว่า เลิกได้แล้ว
เมื่อสองสามปีก่อน ก็มีผู้หวังดีหลายท่าน แนะนำให้ลดการดื่มแอลกอฮอล์ลงบ้าง อายุจะได้ยืนนาน เพื่อนคนหนึ่งในอดีตเคยเป็นนายแพทย์ระดับ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรัฐ ก็เตือนด้วยความหวังดีว่า กินเข้าไปทำไมแอลกอฮอล์น่ะ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงห้ามไว้ในศีลข้อห้า ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ เราไม่ควรที่จะดื้อดึงต่อ คำสอนของท่าน
ผมก็น้อมรับฟังไว้ด้วยความเคารพ แต่กิเลสมันก็เถียงแทนว่ากินด้วยความอยาก เช่นเดียวกับคนที่กินน้ำชา กาแฟ และน้ำโคลา หรือเครื่องดื่มบำรุงกำลังทั้งขวดและกระป๋อง นั่นแหละ
ผมจึงคิดเข้าข้างกิเลสว่า คนเราเกิดมาจากกรรม มันอยู่ได้ด้วยกรรม และตายด้วยกรรม เมื่อถึงเวลามันจะตายก็ต้องตาย ไม่ว่าจะกินหรือไม่กินอะไร จะอายุเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีข้อจำกัดขัดข้องใดใด
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ตื่นเช้าขึ้นมาผมก็รู้สึกว่าร่างกายผิดปกติ พอกินข้าวเช้าแล้วก็มีอาการเหมือนจะเป็นลม ผมก็กินยาหอมที่ใช้เป็นประจำ แล้วก็นั่งรอดูผล เพราะผมเคยเป็นโรคที่มองเห็นบ้านหมุนไปรอบ ๆ ตัว เมื่อไปตรวจหมอบอกว่าน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่คราวนี้ไม่ใช่ และก็ไม่มีอาการอะไรมากไปกว่านั้น ผมจึงออกจากบ้านเพื่อไปยื่นเรื่องราว ขอรับค่ารักษาพยาบาลของ แม่บ้าน ที่กระทรวง แต่ด้วยความไม่ประมาท จึงชวนลูกชายคนโตไปเป็นเพื่อนด้วย
ผมเดินไปขึ้นรถเมล์หน้าวชิรพยาบาล และลงรถเมล์ที่สนามหลวง แล้วเดินผ่านศาลหลักเมืองไปถึงแผนกเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ ด้วยความรู้สึกว่าการเดินไม่เป็นปกติ การทรงตัวไม่ดีนัก แต่ก็สามารถยื่นเรื่องราวจนได้รับบัตรนัดรับเงินเรียบร้อย ขากลับเห็นแดดมันจัดจ้านักตัวเองก็ไม่ค่อยสบาย จึงเรียกรถแท็กซี่กลับบ้าน
พอรถแท็กซี่จอดที่ปากซอยหลังบ้าน ผมเปิดประตูรถก้าวลงก็ใจหายวูบ เพราะเข่าอ่อนยวบ ดูเหมือนเท้าจะยืนไม่ติดดิน ก็นึกรู้ทันทีว่าเป็นอาการของโรคที่เกี่ยวกับสมองแน่ จึงบอกลูกชายสั่งคนขับ ให้พาไปส่งที่โรงพยาบาลของมูลนิธิแห่งหนึ่ง แถวแยกยมราชทันที
ผมพยายามเดินในโรงพยาบาล โดยไม่ให้ลูกชายประคอง เพราะต้องการจะสังเกตอาการของตนเอง ก็ปรากฏว่าแขนและขาขวาอ่อนเปลี้ยไม่ค่อยมีแรง แต่ยังเดินได้
หมอถามอาการและตรวจดูร่างกายภายนอกแล้ว สันนิษฐานว่าเส้นโลหิตในสมองตีบ แต่ต้องการจะรู้สาเหตุจึงให้มาเจาะเลือดตรวจ ในวันรุ่งขึ้น ส่วนวันนี้ได้ยามากินบรรเทาไปก่อน
ผมกลับมาถึงบ้านด้วยความหดหู่ในใจ ผมเคยเห็นคนที่เป็นโรคที่มีอาการอย่างนี้มาแล้วหลายคนในชีวิต บางคนล้มลงแล้วก็เป็นอัมพาตไปครึ่งซีก อยู่ได้เพียงครึ่งวันก็ตาย บางคนที่เป็นน้อยกว่านั้น ก็ยังอยู่โดยใช้แขนและขาข้างขวาไม่ได้ต้องนั่งรถเข็น หรืออย่างดีก็ถือไม้เท้าก้าวเดินไปไหนมาไหนด้วยความลำบาก และมีบางคนที่เดินโขยกเขยกแต่สามารถทำงานเบา ในสำนักงานได้ต่อไป การรักษาก็เป็นการทำกายภาพบำบัด ซึ่งอาจจะมีอาการดีขึ้นบ้าง แต่ผมไม่เคยพบว่าจะมีคนไหนกลับฟื้นคืนเป็นคนปกติดังเดิมได้เลย