เรื่องสั้น : ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

กระทู้สนทนา


*** เรื่องสั้นชุดนี้ เป็นนิยายที่ผู้เขียน สมมุติเหตุการณ์ บุคคล และสถานที่ ขึ้นมาตามจินตนาการเท่านั้น
ผู้เขียนแต่งเพื่อความบันเทิง ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลใดๆทั้งสิ้น โปรดอ่านอย่างใช้วิจารณญาณ ขอบคุณค่ะ ***



สุวิทย์เป็นชายหนุ่มร่างสันทัดผิวเข้ม อาชีพหลักของเขาคือช่างกลึงโรงงาน แน่นอนสุวิทย์ทำงานโรงงานนั่นเอง
และจากเป็นเด็กบ้านนอก ที่เข้ามาเสี่ยงโชคในเมืองใหญ่ สุวิทย์จึงขยันและทุ่มเทให้กับงานประจำที่รับผิดชอบ
แต่จากการเป็นคนพูดน้อย เรียบร้อยและสุภาพ สุวิทย์จึงหาแฟนไม่ได้สักที ไม่ใช่ไม่เคยมองใคร แต่มองแล้วไม่กล้าพูดนี่สิ
เลยรับทานแห้วเป็นประจำ จะกี่นางที่ชายหนุ่มหมายปอง เมื่อเจอลูกยิ้ม และท่วงที่ที่เขินอาย กระบิดกระบวน ของชายหนุ่ม
จนเหมือนเป็นใบ้   สาวๆหลายคนจึงไม่ทิ้งผ้าเช็ดหน้าให้ชายหนุ่มสักที  กินแห้ว

ด้วยความเหงาเพราะไม่มีแฟนควงแขน ซ้อนมอไซค์เหมือนคู่อื่นๆ สุวิทย์จึงใช้เหล้าเป็นที่พึ่งยามเลิกงาน ปรกติก็ไม่กินเหล้าบ่อยนัก
นอกจากเพื่อนชวน หรือเงินเดือนออก เพราะกินทีไร เห็นช้างเท่ามด เห็นถนนเป็นที่นอนทุกที อะไรขวางหน้าอารมณ์นักมวยเก่า
ฮึกเหิมตลอด ท้าตีท้าต่อยไปดะ จนเพื่อนๆ รู้นิสัยว่าเมาทีไร ต้องรีบพากลับบ้านนอน ไม่งั้นเป็นเรื่อง และพอตื่นเช้ามา
ใครถามอะไรสุวิทย์ก็จะจำไม่ได้  มิน่า เค้าถึงเปรียบเทียบว่า เหล้ามันก็น้ำเปลี่ยนนิสัยดีๆ  นี่แหล่ะ

ก่อนถึงทางเข้าที่พัก จะมีต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งยืนตระหง่านอยู่  ต้นไทรนั้น มีผ้าสามสีผูกอยู่โดยรอบและมีศาลเพียงตา ตั้งอยู่ข้างๆ

ในยามค่ำคืน หากใครไม่มีธุระที่จะออกไปไหน ก็ยากจะหาคนที่จะเดินผ่านเส้นทางนี้ได้ยากนัก เพราะนอกจากความวังเวง
ความมืดที่น่ากลัวแล้ว ต้นไทรต้นนี้ ยังมีประวัติยาวนานถึง ผู้หญิงท้องแก่ ที่มาผูกคอตายที่ต้นไทรต้นนี้

และเมื่อค่ำคืนมาเยือน เสียงเพลง กล่อมเด็กก็จะดังแว่วออกมาจากต้นไทรเสมอ หากใครปะเหมาะเคราะห์หามยามซวย
ก็จะเจอคู่แม่ลูกคู่นี้ห้อยหัวแลบลิ้นปลิ้นตาแหวะอกให้เห็น จนจับไข้หัวโกร๋น....

จึงเป็นเรื่องเล่าสยองขวัญที่โจษจัน มายาวนานถึงความน่าสะพรึงกลัวมาจนบัดนี้

วันนี้สุวิทย์กับเพื่อนอีกสามคน ชวนกันไปฉลองวันเกิดของเพื่อนอีกคน และเมื่อเมาได้ที่ เพื่อนๆก็ชวนกันกลับ
เพราะรู้ว่าหากปล่อยให้สุวิทย์ เมาไปมากกว่านี้ ก็อาจเสี่ยงที่เพื่อนจะอาละวาดพังร้านได้ เพื่อนๆจึงหิ้วปีกสุวิทย์กลับที่พัก
และเมื่อพากันเดินมาถึงต้นไทรเก่าแก่ สุวิทย์ก็เกิดอาการปวดฉี่ขึ้นมา จึงสะบัดแขนออกแล้วบอกเพื่อนด้วยอาการเมาว่า

" เดี๋ยวๆ ขอออ กรูยิงกาต่ายก่อนนน ม่ายหวายแล้ววว ปวดฉิบ  เอิ๊ก " พูดไปก็สะอึกกับดีกรีเหล้าที่วิ่งพล่านอยู่ในตัว

เพื่อนๆที่มาด้วยต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วบอกกับสุวิทย์ว่า " เฮ้ย ตรงนี้เป็นศาลเจ้าแม่ จะฉี่ได้ไง เดี๋ยวเจ้าแม่หักคอตายห่าน "

เพื่อนๆพยายามฉุดกระชากเพื่อนให้เดินต่อ แต่สุวิทย์น่ะสิ เมื่อเมาแล้วเห็นช้างเท่ามด ผีหรือจะกลัว  หุหุ

" ผีเผอ รายว่ะ กรูม่ายกล้วเฟร้ยยย มาเด้  เด๋วกรูเตะแม่ม กาเจิง เอิ๊ก "  นั่น น้ำเปลี่ยนนิสัยออกฤทธิ์ !!


พูดไม่พูดป่าว  แถมยังเดินไปปลดซิบกางเกง ยืนฉี่ใส้ต้นไทรอย่างหน้าตาเฉย จนเพื่อนๆร้องลั่น และไม่ทันห้าม
ขืนห้าม นักมวยเก่าอย่างสุวิทย์ มีหวัง หันมาฟาดหาง วางหมัดแน่ๆ เมาหนักขนาดนี้ ใครเตือนคงไม่ฟัง

แล้วจู่ๆ สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้น ลมวูบหนึ่งกระชากพัดมา เสียงใบไม้ สั่นซู่เหมือนโดนเขย่าจากมือใหญ่ของยักษ์
เสียงหมาหอนดังขึ้น และส่งรับเป็นทอด ๆ บรูวววววววววว....บรูวววววววว

ทั้งหมด ต่างคนต่างมองหน้าเลิกลั่ก หนึ่งในสองคนเอ่ยขึ้นอย่างเสียงสั่นๆ

"  เอาไงดีว่ะ แม่มเอ้ย คนมายังวิ่งหนีทัน ผีมาล่ะจับไข้หัวโกร๋นแน่  บรือออ "

อีกสองคนชักใจเสียเกิดอาการช๊อตแบบ สั่นเบาๆ  ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร เสียงหล่นดังตุ๊บก็ตามมาจากบนต้นไทร
เท่านั้น สติก็แตกกระเจิง ต่างคนต่างใส่ตีนหมา วิ่งไปคนละทิศละทาง โดยทิ้งคนเมาหนักไว้ที่ต้นไทรนั่นเอง




เช้าวันต่อมา....


เม้ง ได้รับโทรศัพท์จาก รพ ว่าเพื่อนชายที่ชื่อสุวิทย์ บาดเจ็บมารักษาตัวที่ รพ ขอให้ญาติมาดูด่วน

ทันทีที่ได้รับข่าวจาก รพ เพื่อนๆจึงรู้สึกผิดที่ทิ้งสุวิทย์ ให้ผจญกับผีตามลำพัง จนถูกผีทำร้ายจนบาดเจ็บ
ทุกคนจึงลางานไปดูเพื่อน

เม้ง กล่าวขึ้น"  เมื่อคืนกรูกลัวฉิบเป๋ง เข้าห้องได้กูคลุมโปงนอนเลยว่ะ เลยไม่รู้ว่าไอ้วิทย์จะโดนหนักแค่ไหน"
ทุกคนพยักหน้า รับรู้ และ ไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อไป

เมื่อทุกคน เข้าไปห้องคนเจ็บ ก็เจอชายสูงวัยคนหนึ่งยืนอยู่กับชายอ่อนวัยอีกคน ที่น่าจะเป็นลูกชาย พร้อมแพทย์ผู้ดูแล
เม้งจำได้ว่า เถ้าแก่คนนี้ เป็นเจ้าของร้านขายศาลพระภูมิที่อยู่ถัดไปอีกซอย นั่นเอง

อาแปะ ชายสูงวัยเมื่อหันมาเห็นเพื่อนๆของสุวิทย์ จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโมโห

" พวกลื้อเป็งเพื่อง อี เหรอ เมื่อคืนอีเมามั่ก เข้ามาทุบสานพะภูมิ  ของอั๊วไปหลายหลัง พังฉิกหายหมก
มังเมามั่ก   ใครห้ามก็ไม่ฟัง อั๊วเลย เพ่นมังด้วยไม้หน้าสามจนสลบ แล้วเอามังมาส่งโรงหมอ
ตกลงใครจะจ่ายค่าสาน ที่อีทำพัง ให้อั๊ว ฮึ "  


เถ้าแก่ผู้เป็นเจ้าของร้านขายศาลพระภูมิมองเพื่อนทั้งสามของคนไข้อย่างหาคำตอบ .....


เอวังก็จบด้วยประการละฉนี้ "  ผีหลอกไม่เสียตังค์  แต่ทำศาลพังเสียตังค์แน่นอน .." อิอิ..

..........

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่