จะอยู่ด้วยกันทำไม ไว้ว่างๆไปหากันไม่ดีกว่าหรอ...
ขอให้ท่านอ่านสิ่งที่ผมจะเขียนให้จบก่อนนะครับ
ขอเล่าประสบการณ์ที่ตัวเองพาลพบด้วย อาจยาว(และดูเหมือนเรื่องแต่งไปหน่อย แต่มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง)
ตอนนี้ผมก็จบมาจากรามมาหลายปีแล้ว ทำงานอยู่ในรามนั่นแหละครับ ที่กล่าวถึงรามคำแหง เพราะรามคำแหงนั้น ไม่มีหอในให้นักศึกษาครับ ฉะนั้นเด็กๆที่ไม่ได้มีบ้านอยู่ใกล้ๆมหาวิทยาลัย ก็ต้องอยู่หอนอก ส่วนตัวผมนั้นเป็นคนทำกิจกรรมอยู่บ้าง มีเพื่อนสนิทน้อย แต่มีเพื่อนและคนรู้จักมากพอควร และด้วยความที่เราเป็นคนเก็บความลับเก่ง (ความจริงก็คันปากเหมือนกัน แต่กลัวเวลาความลับแตกแล้วเขาสืบว่าเราคือต้นตอแล้วจะซวย) ทำให้ได้รับรู้เรื่องราวชีวิตของเด็กหลายๆคนโดยไม่ได้ตั้งใจ (แต่ก็ตั้งใจฟังที่เขาเล่า) ตั้งแต่สมัยอยู่ราม2ด้วยซ้ำ
แน่นอนครับ ก็อีเรื่องเดิมๆอย่าง "แกรู้ไหมว่า...มันอยู่ห้องเดียวกัน" "วันนั้นฉันเห็น...เดินเข้าห้องเดียวกันกับ...ด้วยแก" อะไรทำนองนี้แยะมาก ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรครับ เขาเล่าเราก็ฟัง จริงเท็จก็ยังไม่รู้ จนมาเจอกับตัว คือมีเพื่อนสนิท ณ ตอนอยู่ราม2 (พอขึ้นปี2 เขาก็ย้ายไป ม.เอกชน ก็เลยไม่ได้เจอกันอีกเลย) ตอนนั้นสนิทกันมากๆครับ เจอกันทุกวัน คุยกันทุกวัน ผมกับเขาอยู่หอเดียวกันครับ ตึกเดียวกันด้วย ชั้นเดียวกันอีกต่างหาก แต่ผมอยู่ติดกับบันได เขาอยู่ลึกไปหน่อย คือหอเนี่ยใหญ่มากในราม2 มีหลายสิบตึก ซึ่งเขาแบ่งหอของเขาเป็น 3 ประเภท คือ หอชาย หอหญิง หอรวม แต่เวลาจะเช่านี้เขาไม่ได้บังคับนะ อย่างเช่น เป็นนักศึกษาก็เช่าหอรวมได้ ผมกับเพื่อนก็อยู่หอรวมนั้นแหละครับ ซึ่งเพื่อนผมเขาก็มีแฟน เขาคบกันตั้งแต่ม.ปลาย แต่ครอบครัวผู้หญิงรู้ทัน เกรงว่าพอมาอยู่มหาลัยแล้วจะไปอยู่ด้วยกัน เขาเลยให้มาเช่าหอนี้แหละ และให้ลูกสาวเขาอยู่หอหญิง ซึ่งข้อกำหนดของหอหญิงก็คือ ห้ามพาผู้ชายขึ้นตึกโดยเด็ดขาด จะเจอกันต้องลงมาข้างล่าง และหอเขานี่มียามเฝ้าตลอดนะครับ(ถึงแม้ว่าจะเเอบหลับบ้าง) ใครละจะกล้าแหกกฎ แต่ครอบครัวผู้หญิงเขาลืมไปว่า ไอ้เพื่อนผมนี่มันอยู่หอรวม ก็เท่ากับว่าผู้ชายไปอยู่กับผู้หญิงไม่ได้ แต่ผู้หญิงไปอยู่กับผู้ชายได้...ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ตัวผมนั้นไม่เที่ยวกลางคืน พอตกเย็นก็เดินหาของกิน ชีวิตหลังเลิกเรียนก็มีแต่ กิน กิน แล้วก็กิน กินอิ่มก็กลับหอนอน พออยุ่ได้หลายเดือนเข้า ก็รู้สึกว่าการกินแล้วขึ้นไปนอนนั้นทำให้ท้องอืด เลยเปลี่ยนเป็นไปนั่งอยู่ร้านเน็ตแทน...แต่นั้นทำให้ช่วงเวลากลับหอผมเปลี่ยนไป เพราะแต่ก่อนตอนไม่ได้ไปนั่งร้านเน็ต ประมาณ 1 ทุ่ม ผมก็ขึ้นหอ แต่พอมาขลุกอยุ่ร้านเน็ตบางวันเพลิน ตียาวยันเที่ยงคืนเลยก็มี ส่วนเพื่อนผมเขาก็ไปเที่ยวผับ ไปกับแฟน ฯลฯ ผมก็ไม่รู้ละเอียดหรอก พูดง่ายๆคือ พอหลังเลิกเรียนเราต่างมีชีวิตของตัวเอง ทั้งๆที่อยู่หอชั้นเดียวกัน น้อยครั้งที่จะมานั่งกินเข้าด้วยกันหรือไปไหนต่อไหนกัน แต่ผมก็เข้าใจได้ เพราะเขาก็มีแฟนนี่เนาะ
แต่ไอ้การที่ผมกลับหอดึกนี่แหละครับ ทำให้เรื่องมันแตก ไอ้เพื่อนผมคนนี้ เขาเคยวิจารณ์เด็กที่อยู่หอด้วยกันว่าไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ผมจึงคิดว่า อย่างไรเขาก็คงไม่พาผู้หญิงมานอนด้วยหรอก เพราะเขาแสดงทัศนคติอย่างนั้นออกมา แต่ที่แท้คือการตบตาผม มีอยู่วันหนึ่ง ผมขึ้นหอมาประมาณ 3 ทุ่มกว่า พอขึ้นมาถึงชั้นที่อยู่ มันเป็นฉากที่ฮามาก ไร้ซึ่งความเนียน เพราะ เพื่อนผมก็กำลังไขกุญแจเข้าห้องและแฟนเขาก็กำลังก้าวขาเข้าห้องพอหันมาเห็นผม เขาดึงแฟนเขาออกมา แล้วบอก "พรุ่งนี้เจอกันนะ" แฟนเขาหันมาเห็นผมก็รู้งาน ก็เลยเดินลงไปอย่างฉับไว จนเช้าผมเจอเขา ผมก็เลยไปคุยกับเขาทั้งสอง เพราะผมไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาอยู่ด้วยกัน แล้วต้องปิดบังผม ผมไม่ได้มีเจตนาจะเป็นเจ้าชีวิตเขา แต่ด้วยความอยากรู้และอยากอธิบายว่าผมนั้นจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร เพราะมันไม่ใช่เรื่องคอขาดปาดตายอะไร ซึ่งเขาก็ยอมรับว่าเขากลัวว่าผมรู้เข้าแล้วจะเอาไปนินทา เหมือนที่มีคนอื่นมานินทาให้ผมฟัง และสำคัญคือ เขากลัวว่าผมจะไปบอกแม่ของฝ่ายหญิง ซึ่งคือ น้าแท้ๆของผมเอง ว่าง่ายๆคือ แฟนเพื่อนผม ก็คือลูกพี่ลูกน้องผม เขาอยู่โรงเรียนเดียวกับผมมาตลอด ซึ่งผมก็รู้ว่าเขามีแฟนต่างโรงเรียน แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร จนมาอยู่ราม ผมรู้ว่าลูกพี่ลูกพี่น้องผม มีแฟนซึ่งก็ตามมาเรียนรามด้วย เขาก็พาผมไปเจอ ไปรู้จัก แถมอยู่หออยู่ชั้นเดียวกันอีก เราก็เลยต่างผูกมิตรกันไว้ จนสนิทสนมกัน และน้าผมก็รู้ว่า เขาทั้งคู่มาเรียนรามด้วยกันจึง ทำการให้ลูกพี่ลูกน้องผมอยู่หอหญิงซะ แล้วเขาทั้งคู่ก็รู้ว่า น้าผมนั้น ชอบโทรหาผมอยู่เนืองๆ ดังนั้นการที่เขาทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสะดวกใจ ก็คือ ต้องแอบผม เพราะเขาไม่แน่ใจว่าผมจะเอาเรื่องไปบอกใครต่อใครหรือไม่หากความแตก
หลังจากการคุย ผมก็ยืนยัน นั่งยัน นอนหงายยัน นอนตะแคงยัน นอนคว่ำยัน ว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกกับใคร แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความทุกข์??? ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนหลังๆมา เขาก็ทะเลาะกันบ่อย มีปากเสียงกันบ่อย จนเลิกกันหลายครั้ง ความจริงก็ใช่ว่าจะเลิกหรอก เพราะประเดี๋ยวก็กลับมาหากัน กระทั่งก่อนสอบเทอม2ไม่กี่วัน เขาก็เลิกขาดกันจริงๆ ตัวผู้ชายก็หายไปไม่บอกกล่าว รู้แค่ว่าย้ายไปเอแบค ผมก็ได้มาคุยกับลูกพี่ลูกน้องผมว่า ทำไมจึงสะบั้นรักกันซะยิ่งกว่าดาราซะอีก ได้ความคือ เขาเข้ากันไม่ได้ ความเป็นเด็กของพวกเขายังมีมาก แต่พอมาอยู่ด้วยกัน มันก็ต้องรับผิดชอบชีวิตร่วมกัน มีกิจวัตรบางอย่างร่วมกัน?? พอเห็นนิสัยโดยอท้ของอีกฝ่าย ก็รับไม่ได้ ทั้งๆที่บางสิ่งฟังแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย สำหรับคนที่โตแล้ว
ผมจึงมาตั้งขอสังเกตุว่า ทำไมเด็กที่คบกันและอยู่ด้วยกัน ท้ายที่สุดแล้ว โดยมากมักเลิกขาดจากกันอย่างไม่ไยดี แต่เด็กที่คบกันแล้วย่องไปหากันบ้างก็เห็นรักกันดี คบกันมาจนแต่งไปก็มาก ผมเลยมานั่งคิดว่า ด้วยวุฒิภาวะ ของเด็กที่ไม่เพียงพอ การที่คนสองคนมาใช้ชีวิตร่วมกันนั้น มีรายละเอียดอยู่มากโข พอมีเรื่องราวเข้ามา บวกกับอารมณ์ ก็ทำให้ต้องปะทะกันตลอด จนสุดท้ายก็ไปไม่รอด แต่เด็กที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน มันเหมือนมีช่องว่างให้กัน ห่างกันก็คิดถึงกัน พอเจอกันก็ดีใจ เช้าเจอหน้า ตกดึกก็ฝันถึง มันคงดีกว่า แต่ด้วยความที่เป็นวัยรุ่น เรื่องอย่างว่าก็คงห้ามกันยาก ผมจึงเห็นว่า แอบย่องไปหากันบ้างก็คงไม่แปลก แค่รู้จักป้องกันก็พอ
ทั้งนี้ที่มาตั้งกระทู้และใช้หัวกระทู้ดังที่เห็นนั้น เพราะ ผมเห็นพ่อแม่หลายคน รู้ว่าลูกคบกัน อยู่ด้วยกัน ก็ไม่ห้ามอะไร ซึ่งท่านอาจเห็นว่าดีแล้วมิใช่หรือที่พ่อแม่ไม่กีดกันเด็ก ไม่หักหาญธรรมชาติของมนุษย์ แต่ปัญหาคือ พ่อแม่หลายคนไม่ได้ให้ข้อคิดแก่ลูก หรือไม่ได้ปรามลูก ว่าง่ายๆคือ จะอยู่ด้วยกันก็อยู่ไป แต่ต้องใส่ถุงนะ คือผมเชื่อว่าเด็กเนี่ย ถ้าสอนเขา หรือชี้ทางให้เขาหน่อย ก็คงไม่เสียหายอะไร เพราะมนุษย์มีความคิด มีจิตสำนึกเป็นผู้ที่สอนได้ แต่ผมเห็นพ่อแม่โดยมากสอนกันแบบห้วนๆ เลยรู้สึกเป็นห่วงอย่างอดไม่ได้
และคำว่า ย่องไปหากันได้นี่ หาใช่ว่าผมจะสนับสนุนให้เด็กมีเซ็กส์กัน แต่ เรื่องเซ็กส์มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ในสังคมไทยเราก็มีบทเรียนอยู่ แทนที่จะสอนสั่งเด็กกันบ้าง กับเอาแต่ห้าม ห้ามไปห้ามมาเด็กทำแท้งกันเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ทั้งนี้ก็เพราะเราฟืนธรรมชาติของมนุษย์ ท่านผู้ปกครองทั้งหลาย การที่ท่านมีบุตรหลานมาได้นั้น ท่านคงไม่ได้จากการเดินป่าเก็บหน่อไม้ แล้วเจอเด็กอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ก็เลยเอามาเลี้ยงกระมัง หากแต่ท่านก็ล้วนมีเซ็กส์กับคู่ของท่านจนเกิดเด็กออกมา (เว้นแต่คนที่ใช้เทคโนโลยีเจริญพันธุ์นั่นอีกเรื่องนึง) ท่านก็คงเข้าใจว่าเรื่องเซ็กส์นี้มันเป็นของธรรมชาติโดยแท้ของมนุษย์ อารมณ์ ความอยากรู้อยากลอง ล้วนเย้ายวนใจมนุษย์ปถุชนเสมอ
และการที่ผมบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการที่เด็กจะมาอยู่ด้วยกัน หาใช่จะมองว่าการที่เด็กมาอยู่หอเดียวกันเป็นเรื่องที่ผิดหรือไม่ควร แต่เพราะต้องการเสนอดังที่ร่ายมา อยากให้คนหนุ่มสาวทั้งหลาย ลองคิดดู เพราะวุฒิภาวะของท่านนั้นอาจจะยังไม่เพียงพอที่จะใช้ชีวิตร่วมกับใคร อนาคตพอท่านโตขึ้น ได้ศึกษาดูใจกันมามาก เข้าใจกันและกันมากขึ้น บางทีท่านอาจยอมรับข้อเสียของอีกฝ่ายและปรับตัวหากันได้โดยง่ายขึ้น ไม่ใช่ว่าพอตกลงปลงใจคบกัน ก็จะอยู่ด้วยกันเสมอไป โปรดพิจารณาดูเถิด
จากประสบการณ์ที่พบเจอมามากมาย และด้วยความปราถนาดี
ผมขอรณรงค์ ไม่เห็นด้วยกับนักศึกษาที่เป็นแฟนกันแล้วต้องไปอยู่หอเดียวกันเสมอไปครับ
ขอให้ท่านอ่านสิ่งที่ผมจะเขียนให้จบก่อนนะครับ
ขอเล่าประสบการณ์ที่ตัวเองพาลพบด้วย อาจยาว(และดูเหมือนเรื่องแต่งไปหน่อย แต่มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง)
ตอนนี้ผมก็จบมาจากรามมาหลายปีแล้ว ทำงานอยู่ในรามนั่นแหละครับ ที่กล่าวถึงรามคำแหง เพราะรามคำแหงนั้น ไม่มีหอในให้นักศึกษาครับ ฉะนั้นเด็กๆที่ไม่ได้มีบ้านอยู่ใกล้ๆมหาวิทยาลัย ก็ต้องอยู่หอนอก ส่วนตัวผมนั้นเป็นคนทำกิจกรรมอยู่บ้าง มีเพื่อนสนิทน้อย แต่มีเพื่อนและคนรู้จักมากพอควร และด้วยความที่เราเป็นคนเก็บความลับเก่ง (ความจริงก็คันปากเหมือนกัน แต่กลัวเวลาความลับแตกแล้วเขาสืบว่าเราคือต้นตอแล้วจะซวย) ทำให้ได้รับรู้เรื่องราวชีวิตของเด็กหลายๆคนโดยไม่ได้ตั้งใจ (แต่ก็ตั้งใจฟังที่เขาเล่า) ตั้งแต่สมัยอยู่ราม2ด้วยซ้ำ
แน่นอนครับ ก็อีเรื่องเดิมๆอย่าง "แกรู้ไหมว่า...มันอยู่ห้องเดียวกัน" "วันนั้นฉันเห็น...เดินเข้าห้องเดียวกันกับ...ด้วยแก" อะไรทำนองนี้แยะมาก ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรครับ เขาเล่าเราก็ฟัง จริงเท็จก็ยังไม่รู้ จนมาเจอกับตัว คือมีเพื่อนสนิท ณ ตอนอยู่ราม2 (พอขึ้นปี2 เขาก็ย้ายไป ม.เอกชน ก็เลยไม่ได้เจอกันอีกเลย) ตอนนั้นสนิทกันมากๆครับ เจอกันทุกวัน คุยกันทุกวัน ผมกับเขาอยู่หอเดียวกันครับ ตึกเดียวกันด้วย ชั้นเดียวกันอีกต่างหาก แต่ผมอยู่ติดกับบันได เขาอยู่ลึกไปหน่อย คือหอเนี่ยใหญ่มากในราม2 มีหลายสิบตึก ซึ่งเขาแบ่งหอของเขาเป็น 3 ประเภท คือ หอชาย หอหญิง หอรวม แต่เวลาจะเช่านี้เขาไม่ได้บังคับนะ อย่างเช่น เป็นนักศึกษาก็เช่าหอรวมได้ ผมกับเพื่อนก็อยู่หอรวมนั้นแหละครับ ซึ่งเพื่อนผมเขาก็มีแฟน เขาคบกันตั้งแต่ม.ปลาย แต่ครอบครัวผู้หญิงรู้ทัน เกรงว่าพอมาอยู่มหาลัยแล้วจะไปอยู่ด้วยกัน เขาเลยให้มาเช่าหอนี้แหละ และให้ลูกสาวเขาอยู่หอหญิง ซึ่งข้อกำหนดของหอหญิงก็คือ ห้ามพาผู้ชายขึ้นตึกโดยเด็ดขาด จะเจอกันต้องลงมาข้างล่าง และหอเขานี่มียามเฝ้าตลอดนะครับ(ถึงแม้ว่าจะเเอบหลับบ้าง) ใครละจะกล้าแหกกฎ แต่ครอบครัวผู้หญิงเขาลืมไปว่า ไอ้เพื่อนผมนี่มันอยู่หอรวม ก็เท่ากับว่าผู้ชายไปอยู่กับผู้หญิงไม่ได้ แต่ผู้หญิงไปอยู่กับผู้ชายได้...ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ตัวผมนั้นไม่เที่ยวกลางคืน พอตกเย็นก็เดินหาของกิน ชีวิตหลังเลิกเรียนก็มีแต่ กิน กิน แล้วก็กิน กินอิ่มก็กลับหอนอน พออยุ่ได้หลายเดือนเข้า ก็รู้สึกว่าการกินแล้วขึ้นไปนอนนั้นทำให้ท้องอืด เลยเปลี่ยนเป็นไปนั่งอยู่ร้านเน็ตแทน...แต่นั้นทำให้ช่วงเวลากลับหอผมเปลี่ยนไป เพราะแต่ก่อนตอนไม่ได้ไปนั่งร้านเน็ต ประมาณ 1 ทุ่ม ผมก็ขึ้นหอ แต่พอมาขลุกอยุ่ร้านเน็ตบางวันเพลิน ตียาวยันเที่ยงคืนเลยก็มี ส่วนเพื่อนผมเขาก็ไปเที่ยวผับ ไปกับแฟน ฯลฯ ผมก็ไม่รู้ละเอียดหรอก พูดง่ายๆคือ พอหลังเลิกเรียนเราต่างมีชีวิตของตัวเอง ทั้งๆที่อยู่หอชั้นเดียวกัน น้อยครั้งที่จะมานั่งกินเข้าด้วยกันหรือไปไหนต่อไหนกัน แต่ผมก็เข้าใจได้ เพราะเขาก็มีแฟนนี่เนาะ
แต่ไอ้การที่ผมกลับหอดึกนี่แหละครับ ทำให้เรื่องมันแตก ไอ้เพื่อนผมคนนี้ เขาเคยวิจารณ์เด็กที่อยู่หอด้วยกันว่าไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ผมจึงคิดว่า อย่างไรเขาก็คงไม่พาผู้หญิงมานอนด้วยหรอก เพราะเขาแสดงทัศนคติอย่างนั้นออกมา แต่ที่แท้คือการตบตาผม มีอยู่วันหนึ่ง ผมขึ้นหอมาประมาณ 3 ทุ่มกว่า พอขึ้นมาถึงชั้นที่อยู่ มันเป็นฉากที่ฮามาก ไร้ซึ่งความเนียน เพราะ เพื่อนผมก็กำลังไขกุญแจเข้าห้องและแฟนเขาก็กำลังก้าวขาเข้าห้องพอหันมาเห็นผม เขาดึงแฟนเขาออกมา แล้วบอก "พรุ่งนี้เจอกันนะ" แฟนเขาหันมาเห็นผมก็รู้งาน ก็เลยเดินลงไปอย่างฉับไว จนเช้าผมเจอเขา ผมก็เลยไปคุยกับเขาทั้งสอง เพราะผมไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาอยู่ด้วยกัน แล้วต้องปิดบังผม ผมไม่ได้มีเจตนาจะเป็นเจ้าชีวิตเขา แต่ด้วยความอยากรู้และอยากอธิบายว่าผมนั้นจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร เพราะมันไม่ใช่เรื่องคอขาดปาดตายอะไร ซึ่งเขาก็ยอมรับว่าเขากลัวว่าผมรู้เข้าแล้วจะเอาไปนินทา เหมือนที่มีคนอื่นมานินทาให้ผมฟัง และสำคัญคือ เขากลัวว่าผมจะไปบอกแม่ของฝ่ายหญิง ซึ่งคือ น้าแท้ๆของผมเอง ว่าง่ายๆคือ แฟนเพื่อนผม ก็คือลูกพี่ลูกน้องผม เขาอยู่โรงเรียนเดียวกับผมมาตลอด ซึ่งผมก็รู้ว่าเขามีแฟนต่างโรงเรียน แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร จนมาอยู่ราม ผมรู้ว่าลูกพี่ลูกพี่น้องผม มีแฟนซึ่งก็ตามมาเรียนรามด้วย เขาก็พาผมไปเจอ ไปรู้จัก แถมอยู่หออยู่ชั้นเดียวกันอีก เราก็เลยต่างผูกมิตรกันไว้ จนสนิทสนมกัน และน้าผมก็รู้ว่า เขาทั้งคู่มาเรียนรามด้วยกันจึง ทำการให้ลูกพี่ลูกน้องผมอยู่หอหญิงซะ แล้วเขาทั้งคู่ก็รู้ว่า น้าผมนั้น ชอบโทรหาผมอยู่เนืองๆ ดังนั้นการที่เขาทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสะดวกใจ ก็คือ ต้องแอบผม เพราะเขาไม่แน่ใจว่าผมจะเอาเรื่องไปบอกใครต่อใครหรือไม่หากความแตก
หลังจากการคุย ผมก็ยืนยัน นั่งยัน นอนหงายยัน นอนตะแคงยัน นอนคว่ำยัน ว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกกับใคร แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความทุกข์??? ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนหลังๆมา เขาก็ทะเลาะกันบ่อย มีปากเสียงกันบ่อย จนเลิกกันหลายครั้ง ความจริงก็ใช่ว่าจะเลิกหรอก เพราะประเดี๋ยวก็กลับมาหากัน กระทั่งก่อนสอบเทอม2ไม่กี่วัน เขาก็เลิกขาดกันจริงๆ ตัวผู้ชายก็หายไปไม่บอกกล่าว รู้แค่ว่าย้ายไปเอแบค ผมก็ได้มาคุยกับลูกพี่ลูกน้องผมว่า ทำไมจึงสะบั้นรักกันซะยิ่งกว่าดาราซะอีก ได้ความคือ เขาเข้ากันไม่ได้ ความเป็นเด็กของพวกเขายังมีมาก แต่พอมาอยู่ด้วยกัน มันก็ต้องรับผิดชอบชีวิตร่วมกัน มีกิจวัตรบางอย่างร่วมกัน?? พอเห็นนิสัยโดยอท้ของอีกฝ่าย ก็รับไม่ได้ ทั้งๆที่บางสิ่งฟังแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย สำหรับคนที่โตแล้ว
ผมจึงมาตั้งขอสังเกตุว่า ทำไมเด็กที่คบกันและอยู่ด้วยกัน ท้ายที่สุดแล้ว โดยมากมักเลิกขาดจากกันอย่างไม่ไยดี แต่เด็กที่คบกันแล้วย่องไปหากันบ้างก็เห็นรักกันดี คบกันมาจนแต่งไปก็มาก ผมเลยมานั่งคิดว่า ด้วยวุฒิภาวะ ของเด็กที่ไม่เพียงพอ การที่คนสองคนมาใช้ชีวิตร่วมกันนั้น มีรายละเอียดอยู่มากโข พอมีเรื่องราวเข้ามา บวกกับอารมณ์ ก็ทำให้ต้องปะทะกันตลอด จนสุดท้ายก็ไปไม่รอด แต่เด็กที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน มันเหมือนมีช่องว่างให้กัน ห่างกันก็คิดถึงกัน พอเจอกันก็ดีใจ เช้าเจอหน้า ตกดึกก็ฝันถึง มันคงดีกว่า แต่ด้วยความที่เป็นวัยรุ่น เรื่องอย่างว่าก็คงห้ามกันยาก ผมจึงเห็นว่า แอบย่องไปหากันบ้างก็คงไม่แปลก แค่รู้จักป้องกันก็พอ
ทั้งนี้ที่มาตั้งกระทู้และใช้หัวกระทู้ดังที่เห็นนั้น เพราะ ผมเห็นพ่อแม่หลายคน รู้ว่าลูกคบกัน อยู่ด้วยกัน ก็ไม่ห้ามอะไร ซึ่งท่านอาจเห็นว่าดีแล้วมิใช่หรือที่พ่อแม่ไม่กีดกันเด็ก ไม่หักหาญธรรมชาติของมนุษย์ แต่ปัญหาคือ พ่อแม่หลายคนไม่ได้ให้ข้อคิดแก่ลูก หรือไม่ได้ปรามลูก ว่าง่ายๆคือ จะอยู่ด้วยกันก็อยู่ไป แต่ต้องใส่ถุงนะ คือผมเชื่อว่าเด็กเนี่ย ถ้าสอนเขา หรือชี้ทางให้เขาหน่อย ก็คงไม่เสียหายอะไร เพราะมนุษย์มีความคิด มีจิตสำนึกเป็นผู้ที่สอนได้ แต่ผมเห็นพ่อแม่โดยมากสอนกันแบบห้วนๆ เลยรู้สึกเป็นห่วงอย่างอดไม่ได้
และคำว่า ย่องไปหากันได้นี่ หาใช่ว่าผมจะสนับสนุนให้เด็กมีเซ็กส์กัน แต่ เรื่องเซ็กส์มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ในสังคมไทยเราก็มีบทเรียนอยู่ แทนที่จะสอนสั่งเด็กกันบ้าง กับเอาแต่ห้าม ห้ามไปห้ามมาเด็กทำแท้งกันเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ทั้งนี้ก็เพราะเราฟืนธรรมชาติของมนุษย์ ท่านผู้ปกครองทั้งหลาย การที่ท่านมีบุตรหลานมาได้นั้น ท่านคงไม่ได้จากการเดินป่าเก็บหน่อไม้ แล้วเจอเด็กอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ก็เลยเอามาเลี้ยงกระมัง หากแต่ท่านก็ล้วนมีเซ็กส์กับคู่ของท่านจนเกิดเด็กออกมา (เว้นแต่คนที่ใช้เทคโนโลยีเจริญพันธุ์นั่นอีกเรื่องนึง) ท่านก็คงเข้าใจว่าเรื่องเซ็กส์นี้มันเป็นของธรรมชาติโดยแท้ของมนุษย์ อารมณ์ ความอยากรู้อยากลอง ล้วนเย้ายวนใจมนุษย์ปถุชนเสมอ
และการที่ผมบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการที่เด็กจะมาอยู่ด้วยกัน หาใช่จะมองว่าการที่เด็กมาอยู่หอเดียวกันเป็นเรื่องที่ผิดหรือไม่ควร แต่เพราะต้องการเสนอดังที่ร่ายมา อยากให้คนหนุ่มสาวทั้งหลาย ลองคิดดู เพราะวุฒิภาวะของท่านนั้นอาจจะยังไม่เพียงพอที่จะใช้ชีวิตร่วมกับใคร อนาคตพอท่านโตขึ้น ได้ศึกษาดูใจกันมามาก เข้าใจกันและกันมากขึ้น บางทีท่านอาจยอมรับข้อเสียของอีกฝ่ายและปรับตัวหากันได้โดยง่ายขึ้น ไม่ใช่ว่าพอตกลงปลงใจคบกัน ก็จะอยู่ด้วยกันเสมอไป โปรดพิจารณาดูเถิด
จากประสบการณ์ที่พบเจอมามากมาย และด้วยความปราถนาดี