สวัสดีครับ เมื่อเดือนที่แล้วได้มีโอกาสไป One Day Trip ติดตามการทำงานของคุณเอกรัตน์ ปัญญาะธารา ช่างภาพคนเดียวของนิตยสาร NGThai โดยมีเป้าหมายเพื่อถ่ายภาพทำสารคดีเรื่องแม่น้ำเจ้าพระยาที่จะตีพิมพ์เร็วๆนี้ใน NGThai
ผมจึงอยากมาแชร์ประสบการณ์ในวันนั้นให้ทุกคนได้ฟังกันครับ
แล้วทำไมอยู่ดีๆทาง NGThai ถึงอยากมาทำสารคดีเรื่องแม่น้ำเจ้าพระยาล่ะ? เพื่อนๆน่าจะเคยได้ยินโครงการของรัฐบาลที่จะทุ่มงบสร้างทางเดินริมแม่น้ำ 14 กิโลเมตรใช่มั้ยครับ? โครงการนี้ หากทำจริงขึ้นมาจะส่งผลกระทบต่อทัศนียภาพของแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างมากมาย รวมถึงส่งผลให้ความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตของชาวบ้านเปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย ทาง NGThai จึงอยากทำสารคดี
เพื่อบันทึกวิถีชีวิตริมแม่น้ำเจ้าพระยาของคนไทยก่อนที่มันจะสูญหายไป
สถานที่เราเดินทางในวันนั้นมีดังนี้
1. ท่าเรือเภตรา พระประแดง
ท่าเรือข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเพียงแห่งเดียวของสายน้ำ ที่ไว้สำหรับรถยนต์และจักรยานยนต์ใช้ข้ามฝั่ง
2. มัสยิดบางอ้อ
ชุมชนชาวมุสลิมเก่าแก่ริมแม่น้ำ ที่ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่นี่ตั้งแต่สมัยอยุธยา
3. เรือต่อริมแม่น้ำเรียบถนนขาว
สัมภาษณ์ความเป็นอยู่ของผู้ที่อาศัยบนเรือมาเกือบตลอดชีวิต
4. ท่ามหาราช
ตัวอย่างพื้นที่ที่ถูกพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเก๋ไก๋ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอเริ่มที่ท่าเรือเภตรานะครับ ผมถูกนัดหมายที่ท่าเรือแห่งนี้ตั้งแต่เวลาประมาณ 7.30น. ค่อนข้างจะง่วงเพราะปกติไม่ค่อยชอบตื่นเช้า แล้วก็ยังไม่ได้กินข้าวเช้ามาด้วยเพราะกลัวมาไม่ทัน พอมาถึงท่าเรือได้ซักพักก็เจอช่างภาพคนนึงกำลังถ่ายรูปเล่นอยู่ พอได้พูดคุยกันซักพักถึงรู้ว่าเป็นน้องที่ฝึกงานกับ NGThai และจะเป็นผู้ร่วมทางในวันนี้เช่นกัน ผ่านไปซักพัก พี่เอกรัตน์ ช่างภาพ NGThai ก็มาพบ ผมก็พึ่งจะสังเกตว่าพี่เค้ามาเก็บภาพอยู่ในเรือก่อนผมกับน้องฝึกงานมาถึงซะอีก และแนะนำให้ผมไปทานข้าวเช้าตามร้านริมทางแถวนั้นก่อนเพราะวันนี้ต้องใช้พลังงานเยอะมาก ซึ่งก็เยอะมากจริงๆ
เอาจริงๆ หากพูดถึงช่างภาพ National Geographic เราก็ต้องคิดถึงช่างภาพหน้าโหดๆ ดูถึกๆ เถื่อนๆหน่อยๆ ซึ่งพี่เอกรัตน์ก็อารมณ์นี้เลย แต่ที่คิดผิดไปมากก็คือกล้องที่พี่เค้าใช้เป็นกล้อง Mirrorless ตัวเล็ก น้ำหนักเบา พกพาง่าย ถึงตอนนี้กล้อง DSLR ในมือผมสั่นไปหมด สงสัยวันนี้จะได้แบกของหนักทั้งวัน
อันนี้โฉมหน้าพี่เอกรัตน์นะครับ
เนื่องจากเป็นวันทำงานตามปกติ ท่าเรือเภตราจึงคึกคักและมีชีวิตชีวาตั้งแต่เช้า อากาศร้อนๆจากรถยนต์และจักรยานยนต์มากมายที่วิ่งผ่านไปมาเพื่อขึ้นเรือข้ามแม่น้ำทำผมเหงื่อแตก บรรยากาศของผู้อยู่อาศัยแถวนั้นตั้งแต่แม่ค้ายันวินมอเตอร์ไซด์รวมถึงเด็กๆที่กำลังเดินทางไปโรงเรียนทำให้ที่แห่งนี้ดูจะวุ่นวายตลอดเวลา
พวกเราพากันเก็บภาพการใช้ชีวิตของผู้คนแถวนั้น แน่นอนว่าต้องพยายามหลบรถที่วิ่งไปมาด้วย ถ่ายรูปไปซักพักก็มีชาวบ้านแอบมาถามว่าทำอะไรกัน ทำไมอยู่ดีๆถ่ายรูป ปกติไม่เคยเจอ พอพวกเราบอกไปว่ามาทำงานสารคดี ก็ไม่มีใครว่าอะไร แอบกลัวเล็กๆว่าจะเกิดเรื่องซะแล้ว หลังจากเก็บภาพกันจนพอใจแล้วก็ได้ตัดสินใจขออนุญาตเจ้าหน้าที่ท่าเรือ ขึ้นเรือข้ามฝั่งไป รู้สึกแปลกไปอีกแบบเพราะคนสัญจรแถวนั้นทุกคนจะมีพาหนะติดตัวไปด้วย มีแค่กลุ่มของเรานี่แหละที่เดินเท้าขอติดข้ามฟากไปด้วยกัน
บรรยากาศบนเรือตอนที่ข้ามแม่น้ำเย็นกว่าที่ฝั่ง เพราะวันนั้นมีเมฆมากและยังมีลมพัดช่วยระบายร้อนอยู่บ้าง สุดท้ายก็ได้รูปวิวสวยๆจากกลางแม่น้ำมีสะพานเป็นฉากหลังสวยงาม
สำหรับพี่เอกรัตน์น่ะหรอ พี่เค้าเริ่มจากการชวนคุยนายเรือก่อน เปิดบทสนทนาด้วยเรื่องทั่วๆไปเกี่ยวกับการทำงาน ลมฟ้าอากาศนี่แหละ ถ้ามีตรงไหนที่น่าสนใจพี่เค้าก็จะเจาะลึกเผื่อมาใช้เป็น Content ได้ แน่นอนว่าพี่เค้าก็ขอขึ้นไปในหอบังคับการเลยครับ เก็บภาพมุมสูง ได้ภาพดีกว่าคนอื่นอีก
ในด้านของเทคนิคการถ่ายภาพด้านการใช้แสง พี่เค้าใช้แค่แสงธรรมชาติอย่างเดียวนี่แหละ (พี่เค้าพก Flash เฉพาะบางงาน) ถ่ายตามแสงบ้าง ย้อนแสงบ้าง ได้ภาพที่มีอารมณ์ต่างกันไป แต่ที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือการเล่นกับ Contrast ของภาพ โดยการใช้แสงและเงามาทำให้ Subject มีความโดดเด่น เกิดเส้นนำสายตา หรือดึงสายตาไปหา Subject เพิ่มความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ประมาณ 10.00น. รถตู้ของเราก็มาถึงยังท่าเรือเภตราเพื่อจะรับคณะของเรา ขอแอบสารภาพตรงนี้เลยครับว่าเพราะแบกกล้องใหญ่ไปบวกกับการตื่นเช้า ผมจึงเหนื่อยมากแทบจะหลับทันที เราแวะซื้อของหวานและน้ำดื่มกันระหว่างทาง ของพวกนี้จำเป็นมาก ไม่งั้นอาจจะเป็นลมระหว่างงานเอาได้ หลังจากนัน้ก็ได้เดินทางต่อไปยังมัสยิดบางอ้อ เราวางแผนจะเก็บภาพของการละหมาดประมาณเที่ยงๆที่นั่น รวมถึงวิวริมน้ำของมัสยิดแห่งนี้
ทันทีที่ไปถึง แดดแรงมาก พวกเราเดินชุ่มเหงื่อไปยังศาลาริมน้ำและได้พูดคุยกับชาวมุสลิมที่อยู่แถวนั้น ถึงตอนนี้รู้สึกประทับใจพี่เอกรัตน์ตรงที่ว่ารู้วิธีการทักทายและการเข้าหาคนท้องถิ่นทุกรูปแบบ พี่เค้าเดินเข้าไปหาชาวมุสลิมและทักทายโดยการจับมือ (คล้ายๆการจับมือของฝรั่ง แต่เป็นแนวคว่ำหงายแทน และไม่มีการเขย่ามือ) ผมก็พยายามจะทำตาม หลังจากนั้นก็ชวนคุย ถามความเป็นอยู่เหมือนรู้จักกันมานานมาก เป็นอะไรที่ผมเองไม่เคยลองคุยกับคนแปลกหน้าแบบนี้มาก่อน
ลักษณะงานสถาปัตยกรรมของมัสยิดแห่งนี้มีความสวยงาม สีสดใส และสะอาดมาก ยิ่งรวมเข้ากับบรรยากาศเมฆเยอะ แต่แดดดันมาส่องลอดเมฆตรงมัสยิดพอดีทำให้ดูศักดิ์สิทธิเข้าไปใหญ่
เนื่องจากเราไปถึงก่อนเวลาละหมาดพอสมควร จึงได้พากันไปเก็บภาพริมน้ำก่อน ถึงแม้ฟ้าจะเปิดแต่ก็มีลมเย็นๆพัดมาตลอด เห็นสภาพการก่อสร้างอยู่ไกลๆ
ที่นี่มีแมวจรจัดหลายตัว เป็นลูกแมวน่ารักซะด้วย ถือโอกาสเก็บภาพเป็นที่ระลึกซักหน่อย
พอใกล้ๆเที่ยง ก็มีเด็กนักเรียนจากโรงเรียนแถวนั้นวิ่งมาเต็มไปหมดเพื่อมาเข้ามัสยิด ผู้คนชาวมุสลิมต่างก็เดินทางกันมาที่มัสยิดแห่งนี้เช่นกัน พี่เอกรัตน์เองก็ได้ทำการอาบน้ำละหมาดและเข้าไปในมัสยิดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งพี่เค้าได้ขออนุญาตไว้ก่อนแล้วเช่นกัน
“ในพื้นที่ที่คนเยอะๆเช่นนี้ คุณอาจจะขยับเปลี่ยนมุมไม่ได้ด้วยซ้ำ” พี่เอกรัตน์กล่าว มุมกล้องที่พี่เอกรัตน์เลือกใช้คือบริเวณบันไดวนภายในมัสยิดที่สามารถเห็นบรรยากาศการละหมาดได้อย่างทั่วถึง โดยมุมกล้องนี้ไม่ได้มาจากการเดินรีบๆหาหน้างาน แต่เกิดจากการสำรวจพื้นที่อย่างละเอียดก่อนเพื่อเลือกมุมที่ดีที่สุดและไม่รบกวนพิธีการ พี่เค้าอยู่แค่มุมเดียวและถ่ายแค่ไม่กี่รูปเอง แต่เท่านี้ก็เพียงพอที่จะได้ภาพที่สวยเอามาประกอบในสารคดีได้
แน่นอนว่าผมเองก็อยากเข้าไปด้วย จึงได้ถามพี่ๆชาวมุสลิมที่อยู่แถวนั้นว่าทำยังไงถึงจะเข้าไปได้อย่างถูกระเบียบ พี่ๆเค้าก็ใจดีมาก แนะนำตั้งแต่วิธีการอาบน้ำละหมาด จนถึงระเบียบการเข้าไปนั่งฟังข้างใน
ผมรอให้หมดช่วงพิธีการละหมาดให้เสร็จก่อน แล้วจึงเข้าไปนั่งฟังคำสอน ทั้งนี้ได้ขออนุญาตถ่ายรูปแล้วครับ
บรรยากาศในมัสยิดทำให้ผมรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด ข้างในไม่ร้อนไม่เย็นเกินไป ผู้คนตั้งใจฟังคำสอนกันมาก มีบางคนยืนฟัง
เหน็ดเหนื่อยจากช่วงเช้า เราก็พากันไปกินอาหารกลางวันที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ตา-ยาย ณ จุดนี้หิวมากจนลืมจดพิกัดร้านครับ ตามด้วยกาแฟเย็นกันซักแก้วเพื่อให้มีพลังทำงานต่อในช่วงบ่ายครับ พี่เอกรัตน์ยังเล่าให้ฟังว่า “การทำงานสารคดีไม่ใช่แค่ถ่ายรูปอย่างเดียว มันต้องมีการพูดคุยติดต่อขออนุญาต บางวันเราแค่มาติดต่อขอใช้สถานที่หรือขอเข้าสัมภาษณ์ผู้คน บางวันก็หามุมถ่ายภาพ เก็บข้อมูลน่าสนใจ แต่พอถึงวันที่เข้าทำสารคดีและถ่ายรูปจริง ยังไงก็ต้องให้ได้งาน” ดังนั้น การทำงานด้านสารคดี จึงต้องเน้นการวางแผนและการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนลงมือจริงเสมอ เพื่อที่จะให้การทำงานเป็นไปด้วยความราบรื่นและสำเร็จด้วยดี
แชร์ประสบการณ์ออกภาคสนามกับช่างภาพ National Geographic Thailand
ผมจึงอยากมาแชร์ประสบการณ์ในวันนั้นให้ทุกคนได้ฟังกันครับ
เพื่อบันทึกวิถีชีวิตริมแม่น้ำเจ้าพระยาของคนไทยก่อนที่มันจะสูญหายไป
ท่าเรือข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเพียงแห่งเดียวของสายน้ำ ที่ไว้สำหรับรถยนต์และจักรยานยนต์ใช้ข้ามฝั่ง
ชุมชนชาวมุสลิมเก่าแก่ริมแม่น้ำ ที่ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่นี่ตั้งแต่สมัยอยุธยา
สัมภาษณ์ความเป็นอยู่ของผู้ที่อาศัยบนเรือมาเกือบตลอดชีวิต
ตัวอย่างพื้นที่ที่ถูกพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเก๋ไก๋ริมแม่น้ำเจ้าพระยา