จากทะเบียนมัสยิดในประเทศไทย พ.ศ. 2546 มีข้อมูลให้ทราบว่า จำนวนมัสยิดในกรุงเทพมหานครที่จดทะเบียนมีจำนวน 164 แห่ง เป็นมัสยิดที่ตั้งอยู่ธนบุรีจำนวน 20 แห่ง โดยกระจายอยู่ในบริเวณต่างๆ คือ ราษฎร์บูรณะ 6, จอมทอง 1, บางพลัด 2, บางกอกน้อย 3, คลองสาน 3 และธนบุรี 5 แห่ง
สรุปได้ว่า ฝั่งธนบุรีในปัจจุบันมีจำนวนมัสยิด 20 แห่ง แต่หากจะพิจารณาพื้นที่ของธนบุรีในสมัยกรุงธนบุรีซึ่งคลุมพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย จำนวนมัสยิดในธนบุรีควรจะมีมากกว่าในปัจจุบัน เช่น มัสยิดวัดเกาะ มัสยิดฮารูณหรือมัสยิดวัดม่วงแค เป็นต้น อย่างไรก็ตามแต่ละมัสยิดต่างก็มีประวัติศาสตร์ชุมชนโดยขอนำเสนอมัสยิดนับแต่เมืองธนบุรีเดิมทั้งกลุ่มคือ มัสยิดสายซุนนะห์และสายชีอะห์ ดังนี้คือ
มัสยิดในชุมชนมุสลิมสายซุนนะห์
1. มัสยิดต้นสน หรือชื่อที่เรียกทั่วไปว่า กุฎีต้นสน หรือกุฎีใหม่ จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ทำให้ทราบว่ากุฎีต้นสนและชุมชนแห่งนี้มีอายุกว่า 400 ปี ฉะนั้นชุมชนมุสลิมนี้จึงมีอยู่ตั้งแต่สมัยอยุธยา ชุมชนตั้งอยู่ริมคลองบางหลวงหรือคลองบางกอกใหญ่ ซึ่งในอดีตก็คือส่วนหนึ่งของ แม่น้ำเจ้าพระยา มุสลิมในชุมชนนี้ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากพ่อค้ามุสลิมชาติต่าง ๆ ที่เดินทางติดต่อ ค้าขายกับอยุธยา เช่น เปอร์เซีย อาหรับ อินเดีย จาม เขมร จีน ฯลฯ แวะพำนักและตั้งถิ่นฐานมี ครอบครัวที่นี่ ครั้นเมื่อกรุงศรีอยุธยาใกล้จะแตก มุสลิมในอยุธยาซึ่งก็มีบรรพบุรุษจากชนชาติต่าง ๆ และส่วนใหญ่จะตั้งถิ่นฐานอยู่ริมแม่น้ำได้อพยพล่องแพตามลำน้ำเจ้าพระยามาตั้งถิ่นฐานสมทบกับมุสลิมที่อยู่เดิมในบริเวณนี้ โดยอีกส่วนหนึ่งแวะตั้งถิ่นฐานอยู่ริมฝั่งน้ำบริเวณนนทบุรี บางอ้อ บางกอกน้อย ดังนั้นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ นอกจากจะเรียกมุสลิมกลุ่มนี้ว่า "แขกมัวร์หรือแขกเทศ" แล้วยังเรียก "แขกแพ"
มุสลิมในชุมชนนี้มีบรรพบุรุษจากหลายเชื้อชาติ แต่ที่สำคัญคือ ส่วนหนึ่งเป็นเชื้อสายของสุลต่านสุลัยมาน ซึ่งรับราชการในตำแหน่งสำคัญ ๆ นับเนื่องแต่สมัยกรุงธนบุรีสืบต่อจนกรุง รัตนโกสินทร์ ศพของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จึงฝังอยู่ในกุโบรฺของมัสยิดแห่งนี้ ทั้งนี้รวมถึงเจ้าพระยาจักรีซึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จไปในพิธีฝังด้วยพระองค์เอง
เจ้าพระยาจักรีท่านแรกในรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี มีประวัติคือ ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตก หลวงนายศักดิ์ (หมุด) เชื้อสายสุลต่านสุลัยมาน เป็นมหาดเล็กในราชสำนักมีหน้าที่ออกไปเก็บส่วยที่เมืองจันทบุรีเก็บได้ 300 ชั่ง (24,000 บาท) เมื่อทราบว่า กรุงศรีอยุธยาแตกก็ไม่ยอมคืนส่วยแก่ พระยาจันทบุรีตามคำขอ โดยวางแผนว่าเงินถูกปล้น แล้วนำเงินดังกล่าวไปมอบแก่พระยาตากเพื่อเป็นทุนในการสร้างอาวุธเพื่อกอบกู้เอกราช จากความช่วยเหลือนี้ ประกอบด้วยความสามารถในการต่อเรือ เดินเรือ และช่วยกอบกู้เอกราชให้ได้คืนมาโดยเร็ว หลวงนายศักดิ์จึงได้รับพระกรุณา โปรดเกล้าฯ จากพระเจ้าตากสินมหาราชแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ (หมุด) ตำแหน่ง สมุหนายก ซึ่งเทียบเท่ากับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า เชื้อสายของท่านสุลต่านสุลัยมานจากเปอร์เซีย นับแต่ธนบุรีถึง รัตนโกสินทร์ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยถึง 2 ท่าน คือ เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ และ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ
สกุลต่างๆ ในชุมชนนี้ ส่วนหนึ่งเป็นสายสกุลของสุลต่านสุลัยมาน เช่น มานะจิตต์ ทองคำวงศ์ ชื่นภักดี ท้วมประถม ภู่มาลี ฯลฯ
2. มัสยิดบางหลวงหรือกุฎีขาว มัสยิดนี้ตั้งอยู่ริมคลองบางหลวงไม่ไกลจากมัสยิดต้นสน มุสลิมในชุมชนนี้อพยพจากกรุงศรีอยุธยาเช่นกัน หลวงพิพิธเภสัช (2492 : 27) กล่าวว่า เมื่อครั้งพระนครศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ถูกข้าศึกเผาผลาญ บรรดาอิสลามที่อาศัยจอดแพขายของอยู่ ณ ตำบลหัวแหลม หัวรอ และคลองตะเคียน นับเป็นร้อย ๆ ครัวเรือนได้อพยพหลบภัยถอยแพล่องหนีพม่าข้าศึกลงมาจอดพำนักอยู่ตำบลคลองบางหลวง ตั้งแต่ตำบลบางกอกใหญ่ไปจนถึงวัดเวฬุราชิน ทั้งสองฝั่ง เมื่อบรรดาอิสลามศาสนิกชนมารวมอยู่มากด้วยกันเช่นนี้ มีมัสยิดบางกอกใหญ่แห่งเดียวประกอบศาสนกิจคงไม่เป็นที่เพียงพอ ท่านโต๊ะหยีผู้เป็นคหบดีในจำพวกแขกแพนี้ด้วยกัน พร้อมด้วยบรรดาคณะของท่านจึงได้พร้อมกันสร้างมัสยิดขึ้นอีกแห่งหนึ่ง ณ ตำบลคลองบางหลวงฝั่ง ตะวันออกเยื้องมัสยิดบางกอกใหญ่เล็กน้อย
อนึ่ง เนื่องจากมัสยิดฉาบด้วยปูนขาว จึงมักเรียกว่ากุฎีขาว และนับว่าเป็นมัสยิดที่คล้ายวัดมาก ส่วนภายในตกแต่งฝาผนังด้วยการฝังเครื่องถ้วยชาม ซึ่งจารึกด้วยถ้อยคำในการปฏิญาณตนไว้ในกำแพงผนัง ช่วงหน้าต่างส่วนที่แสดงธรรมคถาหรือมิมบัรฺเป็นลักษณะซุ้มประตู ปั้นลายลงรักปิดทองประดับกระจกสีเป็นลวดลายกนกแบบไทย ซึ่งผู้ดำเนินการจัดทำคือ เจ้าสัวพุก สกุลพุกพิญโญ พ่อค้าชาวจีนซึ่งมาแต่งงานกับผู้หญิงมุสลิมในชุมชนนี้ โดยเจ้าสัวได้ไปถ่ายแบบซุ้มประตูวัดอนงคารามมาเป็นแบบ
สกุลต่าง ๆ ในชุมชนนี้ เช่น ฮาซาไนท์ ท้วมสากล โอสถ ไวทยานนท์ ฯลฯ
3. มัสยิดบางอ้อ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บรรพบุรุษเป็นมุสลิมเชื้อชาติต่าง ๆ คือ อาหรับ เปอร์เซีย จาม มลายู ฯลฯ ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอยุธยา ได้ล่องแพอพยพตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ มีอาชีพในการค้าขาย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นพ่อค้าซุง ดังนั้นบ้านเรือนมุสลิมริมน้ำในบริเวณนี้จึงมักปลูกด้วย ไม้สัก
ชุมชนจะตั้งเป็นแนวยาวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและลึกไปด้านใน เมื่อถนนจรัลสนิทวงศ์ ตัดผ่าน ชุมชนจึงแยกออกเป็นสองส่วน
สกุลต่าง ๆ ของคนในชุมชนนี้ เช่น โยธาสมุทร บางอ้อ ยูซูฟี มานะจิตต์ เพชรทองคำ มุขตารี บุญศักดิ์ ฯลฯ
4. มัสยิดหลวงอันซอริซซุนนะห์หรือมัสยิดบางกอกน้อย ปัจจุบันตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อยใกล้ปากคลอง ซึ่งแต่เดิมเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา แต่เริ่มแรกมัสยิดนี้อยู่ฝั่งสถานีรถไฟบางกอกน้อย เมื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จะทรงสร้างสถานีรถไฟบางกอกน้อย จึงทรงพระราชทานที่ ฝั่งตรงข้ามให้เป็นการแลกเปลี่ยน เพื่อสร้างอาคารมัสยิดขึ้นใหม่ ณ พื้นที่ปัจจุบัน ในสมัยสงครามโลก มัสยิดถูกระเบิดจึงต้องสร้างอาคารขึ้นใหม่ สำหรับกุโบรฺ เนื่องจากเป็นมัสยิดที่อยู่ริมน้ำ ฉะนั้นบริเวณกุโบรฺซึ่งอยู่ถัดไปด้านในจึงต้องถมไว้สูงมาก และเป็นอีกมัสยิดหนึ่งที่มีโรงเรียนสายสามัญและสอนศาสนา
ชุมชนนี้ตั้งอยู่ตามแนวคลองบางกอกน้อย บรรพบุรุษเป็นชนชาติอาหรับ ฮาเดอร์รอเม้าท์ที่เข้ามาติดต่อค้าขายตั้งแต่สมัยอยุธยา มุสลิมในชุมชนนั้นมีฝีมือในการทำที่นอน จนได้ชื่อว่า ที่นอนดีมีคุณภาพต้องเป็นที่นอนจากบางกอกน้อย นอกจากนี้ยังมีฝีมือในการทำอาหารอาหรับที่ประกอบด้วยเครื่องเทศ เช่น ข้าวหมก ข้าวบุหรี่ ขนมปังยาสุม กะหรี่ปั๊บ แกงกรุหม่า ฯลฯ ส่วนอีกอาชีพหนึ่ง คือ เป็นพ่อค้าปืน (ย่านวังบูรพา)
นอกจากนี้มุสลิมในชุมชนนี้ยังได้มีบทบาททางการเมืองมาแต่อดีตในการเปลี่ยนแปลง การปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ. 2475 เช่น นายบรรจง นายประเสริฐ นายการุญ ศรีจรูญ ซึ่งต่อมาต่างก็ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นวุฒิสมาชิก ส่วนวุฒิสมาชิกอีกท่านหนึ่งคือ เชื้อสายของสกุลศรีจรูญ คือ คุณหญิงสุวัฒนา (ศรีจรูญ) เพชรทองคำ
5. มัสยิดนูรุ้ลมูบีนบ้านสมเด็จ เป็นชุมชน อายุเกือบ 200 ปี ตั้งอยู่บริเวณ หลังมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา มัสยิดนี้จึงเรียกมาแต่เดิมว่า มัสยิดบ้านสมเด็จ โดยเรียกตามสถานที่คือ บ้านสมเด็จเจ้าพระยาพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
มุสลิมในชุมชนนี้ส่วนใหญ่เชื้อสายมลายู ทั้งจากปัตตานีและไทรบุรี ส่วนใหญ่มีฝีมือทางการช่าง มัสยิดหลังแรกสร้างอยู่ริมคลอง โดยมีตวนกูโนซึ่งเป็นเชื้อสายของเจ้าเมืองปัตตานีเป็นอิหม่าม ส่วนอิหม่ามคนที่ 2 คือฮัจญีกาฮาเป็นชาวสตูล นอกจากนั้นยังมีมุสลิมจากอินเดียเข้ามา ตั้งถิ่นฐานรวมอยู่ในชุมชนแห่งนี้ด้วย
บริเวณมัสยิดปัจจุบันประกอบด้วยอาคารมัสยิด อาคารเรียนซึ่งสอนทั้งสามัญและศาสนา และมีพื้นที่ของกุโบรฺซึ่งนอกจากจะเป็นที่ฝังร่างของคนในชุมชนแล้ว มุสลิมในชุมชนอื่นก็ใช้กุโบรฺแห่งนี้ด้วย เช่น ชุมชนมัสยิดจอมทอง ชุมชนมัสยิดตึกแดง
สกุลต่าง ๆ ของมุสลิมในชุมชนนี้ส่วนหนึ่งเป็นเชื้อสายเจ้าจากปัตตานี เช่น สกุลบินตวนกู เด่นอุดม บูรณานุวัตร บูรณพงศ์ ส่วนสกุลอื่น ๆ เช่น เกียรติธารัย ดลขุมทรัพย์ ซำเซ็น อาริยะ ชาญใบพัด มิตรสมาน อดุลยพิจิตร โกบประยูร รุจิระอัมพร ฯลฯ สำหรับมุสลิมที่มีบทบาทในการปกครองของไทยคือ พลเอก ณรงค์ เด่นอุดม อดีตแม่ทัพภาคที่ 4
มัสยิดในธนบุรี?
สรุปได้ว่า ฝั่งธนบุรีในปัจจุบันมีจำนวนมัสยิด 20 แห่ง แต่หากจะพิจารณาพื้นที่ของธนบุรีในสมัยกรุงธนบุรีซึ่งคลุมพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย จำนวนมัสยิดในธนบุรีควรจะมีมากกว่าในปัจจุบัน เช่น มัสยิดวัดเกาะ มัสยิดฮารูณหรือมัสยิดวัดม่วงแค เป็นต้น อย่างไรก็ตามแต่ละมัสยิดต่างก็มีประวัติศาสตร์ชุมชนโดยขอนำเสนอมัสยิดนับแต่เมืองธนบุรีเดิมทั้งกลุ่มคือ มัสยิดสายซุนนะห์และสายชีอะห์ ดังนี้คือ
มัสยิดในชุมชนมุสลิมสายซุนนะห์
1. มัสยิดต้นสน หรือชื่อที่เรียกทั่วไปว่า กุฎีต้นสน หรือกุฎีใหม่ จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ทำให้ทราบว่ากุฎีต้นสนและชุมชนแห่งนี้มีอายุกว่า 400 ปี ฉะนั้นชุมชนมุสลิมนี้จึงมีอยู่ตั้งแต่สมัยอยุธยา ชุมชนตั้งอยู่ริมคลองบางหลวงหรือคลองบางกอกใหญ่ ซึ่งในอดีตก็คือส่วนหนึ่งของ แม่น้ำเจ้าพระยา มุสลิมในชุมชนนี้ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากพ่อค้ามุสลิมชาติต่าง ๆ ที่เดินทางติดต่อ ค้าขายกับอยุธยา เช่น เปอร์เซีย อาหรับ อินเดีย จาม เขมร จีน ฯลฯ แวะพำนักและตั้งถิ่นฐานมี ครอบครัวที่นี่ ครั้นเมื่อกรุงศรีอยุธยาใกล้จะแตก มุสลิมในอยุธยาซึ่งก็มีบรรพบุรุษจากชนชาติต่าง ๆ และส่วนใหญ่จะตั้งถิ่นฐานอยู่ริมแม่น้ำได้อพยพล่องแพตามลำน้ำเจ้าพระยามาตั้งถิ่นฐานสมทบกับมุสลิมที่อยู่เดิมในบริเวณนี้ โดยอีกส่วนหนึ่งแวะตั้งถิ่นฐานอยู่ริมฝั่งน้ำบริเวณนนทบุรี บางอ้อ บางกอกน้อย ดังนั้นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ นอกจากจะเรียกมุสลิมกลุ่มนี้ว่า "แขกมัวร์หรือแขกเทศ" แล้วยังเรียก "แขกแพ"
มุสลิมในชุมชนนี้มีบรรพบุรุษจากหลายเชื้อชาติ แต่ที่สำคัญคือ ส่วนหนึ่งเป็นเชื้อสายของสุลต่านสุลัยมาน ซึ่งรับราชการในตำแหน่งสำคัญ ๆ นับเนื่องแต่สมัยกรุงธนบุรีสืบต่อจนกรุง รัตนโกสินทร์ ศพของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จึงฝังอยู่ในกุโบรฺของมัสยิดแห่งนี้ ทั้งนี้รวมถึงเจ้าพระยาจักรีซึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จไปในพิธีฝังด้วยพระองค์เอง
เจ้าพระยาจักรีท่านแรกในรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี มีประวัติคือ ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตก หลวงนายศักดิ์ (หมุด) เชื้อสายสุลต่านสุลัยมาน เป็นมหาดเล็กในราชสำนักมีหน้าที่ออกไปเก็บส่วยที่เมืองจันทบุรีเก็บได้ 300 ชั่ง (24,000 บาท) เมื่อทราบว่า กรุงศรีอยุธยาแตกก็ไม่ยอมคืนส่วยแก่ พระยาจันทบุรีตามคำขอ โดยวางแผนว่าเงินถูกปล้น แล้วนำเงินดังกล่าวไปมอบแก่พระยาตากเพื่อเป็นทุนในการสร้างอาวุธเพื่อกอบกู้เอกราช จากความช่วยเหลือนี้ ประกอบด้วยความสามารถในการต่อเรือ เดินเรือ และช่วยกอบกู้เอกราชให้ได้คืนมาโดยเร็ว หลวงนายศักดิ์จึงได้รับพระกรุณา โปรดเกล้าฯ จากพระเจ้าตากสินมหาราชแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ (หมุด) ตำแหน่ง สมุหนายก ซึ่งเทียบเท่ากับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า เชื้อสายของท่านสุลต่านสุลัยมานจากเปอร์เซีย นับแต่ธนบุรีถึง รัตนโกสินทร์ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยถึง 2 ท่าน คือ เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ และ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ
สกุลต่างๆ ในชุมชนนี้ ส่วนหนึ่งเป็นสายสกุลของสุลต่านสุลัยมาน เช่น มานะจิตต์ ทองคำวงศ์ ชื่นภักดี ท้วมประถม ภู่มาลี ฯลฯ
2. มัสยิดบางหลวงหรือกุฎีขาว มัสยิดนี้ตั้งอยู่ริมคลองบางหลวงไม่ไกลจากมัสยิดต้นสน มุสลิมในชุมชนนี้อพยพจากกรุงศรีอยุธยาเช่นกัน หลวงพิพิธเภสัช (2492 : 27) กล่าวว่า เมื่อครั้งพระนครศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ถูกข้าศึกเผาผลาญ บรรดาอิสลามที่อาศัยจอดแพขายของอยู่ ณ ตำบลหัวแหลม หัวรอ และคลองตะเคียน นับเป็นร้อย ๆ ครัวเรือนได้อพยพหลบภัยถอยแพล่องหนีพม่าข้าศึกลงมาจอดพำนักอยู่ตำบลคลองบางหลวง ตั้งแต่ตำบลบางกอกใหญ่ไปจนถึงวัดเวฬุราชิน ทั้งสองฝั่ง เมื่อบรรดาอิสลามศาสนิกชนมารวมอยู่มากด้วยกันเช่นนี้ มีมัสยิดบางกอกใหญ่แห่งเดียวประกอบศาสนกิจคงไม่เป็นที่เพียงพอ ท่านโต๊ะหยีผู้เป็นคหบดีในจำพวกแขกแพนี้ด้วยกัน พร้อมด้วยบรรดาคณะของท่านจึงได้พร้อมกันสร้างมัสยิดขึ้นอีกแห่งหนึ่ง ณ ตำบลคลองบางหลวงฝั่ง ตะวันออกเยื้องมัสยิดบางกอกใหญ่เล็กน้อย
อนึ่ง เนื่องจากมัสยิดฉาบด้วยปูนขาว จึงมักเรียกว่ากุฎีขาว และนับว่าเป็นมัสยิดที่คล้ายวัดมาก ส่วนภายในตกแต่งฝาผนังด้วยการฝังเครื่องถ้วยชาม ซึ่งจารึกด้วยถ้อยคำในการปฏิญาณตนไว้ในกำแพงผนัง ช่วงหน้าต่างส่วนที่แสดงธรรมคถาหรือมิมบัรฺเป็นลักษณะซุ้มประตู ปั้นลายลงรักปิดทองประดับกระจกสีเป็นลวดลายกนกแบบไทย ซึ่งผู้ดำเนินการจัดทำคือ เจ้าสัวพุก สกุลพุกพิญโญ พ่อค้าชาวจีนซึ่งมาแต่งงานกับผู้หญิงมุสลิมในชุมชนนี้ โดยเจ้าสัวได้ไปถ่ายแบบซุ้มประตูวัดอนงคารามมาเป็นแบบ
สกุลต่าง ๆ ในชุมชนนี้ เช่น ฮาซาไนท์ ท้วมสากล โอสถ ไวทยานนท์ ฯลฯ
3. มัสยิดบางอ้อ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บรรพบุรุษเป็นมุสลิมเชื้อชาติต่าง ๆ คือ อาหรับ เปอร์เซีย จาม มลายู ฯลฯ ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอยุธยา ได้ล่องแพอพยพตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ มีอาชีพในการค้าขาย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นพ่อค้าซุง ดังนั้นบ้านเรือนมุสลิมริมน้ำในบริเวณนี้จึงมักปลูกด้วย ไม้สัก
ชุมชนจะตั้งเป็นแนวยาวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและลึกไปด้านใน เมื่อถนนจรัลสนิทวงศ์ ตัดผ่าน ชุมชนจึงแยกออกเป็นสองส่วน
สกุลต่าง ๆ ของคนในชุมชนนี้ เช่น โยธาสมุทร บางอ้อ ยูซูฟี มานะจิตต์ เพชรทองคำ มุขตารี บุญศักดิ์ ฯลฯ
4. มัสยิดหลวงอันซอริซซุนนะห์หรือมัสยิดบางกอกน้อย ปัจจุบันตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อยใกล้ปากคลอง ซึ่งแต่เดิมเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา แต่เริ่มแรกมัสยิดนี้อยู่ฝั่งสถานีรถไฟบางกอกน้อย เมื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จะทรงสร้างสถานีรถไฟบางกอกน้อย จึงทรงพระราชทานที่ ฝั่งตรงข้ามให้เป็นการแลกเปลี่ยน เพื่อสร้างอาคารมัสยิดขึ้นใหม่ ณ พื้นที่ปัจจุบัน ในสมัยสงครามโลก มัสยิดถูกระเบิดจึงต้องสร้างอาคารขึ้นใหม่ สำหรับกุโบรฺ เนื่องจากเป็นมัสยิดที่อยู่ริมน้ำ ฉะนั้นบริเวณกุโบรฺซึ่งอยู่ถัดไปด้านในจึงต้องถมไว้สูงมาก และเป็นอีกมัสยิดหนึ่งที่มีโรงเรียนสายสามัญและสอนศาสนา
ชุมชนนี้ตั้งอยู่ตามแนวคลองบางกอกน้อย บรรพบุรุษเป็นชนชาติอาหรับ ฮาเดอร์รอเม้าท์ที่เข้ามาติดต่อค้าขายตั้งแต่สมัยอยุธยา มุสลิมในชุมชนนั้นมีฝีมือในการทำที่นอน จนได้ชื่อว่า ที่นอนดีมีคุณภาพต้องเป็นที่นอนจากบางกอกน้อย นอกจากนี้ยังมีฝีมือในการทำอาหารอาหรับที่ประกอบด้วยเครื่องเทศ เช่น ข้าวหมก ข้าวบุหรี่ ขนมปังยาสุม กะหรี่ปั๊บ แกงกรุหม่า ฯลฯ ส่วนอีกอาชีพหนึ่ง คือ เป็นพ่อค้าปืน (ย่านวังบูรพา)
นอกจากนี้มุสลิมในชุมชนนี้ยังได้มีบทบาททางการเมืองมาแต่อดีตในการเปลี่ยนแปลง การปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ. 2475 เช่น นายบรรจง นายประเสริฐ นายการุญ ศรีจรูญ ซึ่งต่อมาต่างก็ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นวุฒิสมาชิก ส่วนวุฒิสมาชิกอีกท่านหนึ่งคือ เชื้อสายของสกุลศรีจรูญ คือ คุณหญิงสุวัฒนา (ศรีจรูญ) เพชรทองคำ
5. มัสยิดนูรุ้ลมูบีนบ้านสมเด็จ เป็นชุมชน อายุเกือบ 200 ปี ตั้งอยู่บริเวณ หลังมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา มัสยิดนี้จึงเรียกมาแต่เดิมว่า มัสยิดบ้านสมเด็จ โดยเรียกตามสถานที่คือ บ้านสมเด็จเจ้าพระยาพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
มุสลิมในชุมชนนี้ส่วนใหญ่เชื้อสายมลายู ทั้งจากปัตตานีและไทรบุรี ส่วนใหญ่มีฝีมือทางการช่าง มัสยิดหลังแรกสร้างอยู่ริมคลอง โดยมีตวนกูโนซึ่งเป็นเชื้อสายของเจ้าเมืองปัตตานีเป็นอิหม่าม ส่วนอิหม่ามคนที่ 2 คือฮัจญีกาฮาเป็นชาวสตูล นอกจากนั้นยังมีมุสลิมจากอินเดียเข้ามา ตั้งถิ่นฐานรวมอยู่ในชุมชนแห่งนี้ด้วย
บริเวณมัสยิดปัจจุบันประกอบด้วยอาคารมัสยิด อาคารเรียนซึ่งสอนทั้งสามัญและศาสนา และมีพื้นที่ของกุโบรฺซึ่งนอกจากจะเป็นที่ฝังร่างของคนในชุมชนแล้ว มุสลิมในชุมชนอื่นก็ใช้กุโบรฺแห่งนี้ด้วย เช่น ชุมชนมัสยิดจอมทอง ชุมชนมัสยิดตึกแดง
สกุลต่าง ๆ ของมุสลิมในชุมชนนี้ส่วนหนึ่งเป็นเชื้อสายเจ้าจากปัตตานี เช่น สกุลบินตวนกู เด่นอุดม บูรณานุวัตร บูรณพงศ์ ส่วนสกุลอื่น ๆ เช่น เกียรติธารัย ดลขุมทรัพย์ ซำเซ็น อาริยะ ชาญใบพัด มิตรสมาน อดุลยพิจิตร โกบประยูร รุจิระอัมพร ฯลฯ สำหรับมุสลิมที่มีบทบาทในการปกครองของไทยคือ พลเอก ณรงค์ เด่นอุดม อดีตแม่ทัพภาคที่ 4