
หลากหลายทฤษฎีบอกว่า ทำอะไรคนเดียว ยังไงๆ ก็สู้หลายๆ คนไม่ได้ เพราะอย่างน้อย ก็ได้ช่วยเหลือกัน เวลาไปเที่ยวก็เช่นกัน ไปคนเดียวเหงาจะตาย จะไปไหนสำรวจอะไรก็ไม่กล้าไปไกลๆ กลัว ไปหลายคนสนุกดี ไม่เหงา มีคนถ่ายรูปให้ เดินไปไหนก็ไม่ต้องกังวลอะไรมาก อืม มันทั้งถูกและไม่ถูกค่ะ ไม่เถียง และไม่แสดงความคิดเห็นอะไร ขอพูดอย่างเดียวว่า มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียของการไปเที่ยวแต่ละแบบทั้งนั้นแหละ แล้วแต่ความชอบ และวิจารณญาณส่วนบุคคล
ช่วงสองสามปีหลังๆ มานี้ เราเป็นพวกชอบแบกเป้เที่ยวคนเดียวตลอด ก็สนุกดีค่ะ อิสระดี ชิวมาก อยากทำอะไรทำ อยากไปไหนไป รู้สึกว่าพึ่งพาตัวเองได้ มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น มีความสุขกับอะไรๆ ง่ายๆ แค่เห็นวิวสวยๆ ก็ยิ้มได้แล้ว มีเหงาบ้างเล็กน้อยแต่ยังโอเค ถ้ามีอินเตอร์เน็ตก็ไม่ต้องกังวลอะไร ทักเพื่อนไปเดี๋ยวก็ตอบ พอเริ่มเที่ยวคนเดียวบ่อยขึ้น ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า นีเราอยากไปเที่ยวคนเดียวจริงๆ หรือไม่มีเพื่อนคบกันแน่? (ฮา) เหตุผลจริงๆ อาจเป็นเพราะความสะดวกมากกว่าค่ะ ไม่ต้องมารอว่าใครจะว่างไม่ว่าง ไปคนเดียวเลย ง่ายดี ไม่มีทริปล่ม อีกอย่าง เพราะไปคนเดียวสบายใจดีค่ะ ไม่ต้องทะเลาะกับใคร
เจอเป็นอย่างแรก น้ำตกภูสอยดาว
การตัดสินใจไปเดินเขาถึงภูสอยดาวนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีค่ะ เพราะเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ท้าทายดี เคยไปเดินง่ายๆ กว่านี้ที่ Sapa แล้วร่างกายไม่พร้อมเลย แย่ไปเลย รอบนี้อยากแก้มือ เห็นเพื่อนที่ไปเดินเขาถ่ายรูปมาอวดเมื่อปลายปีนู้นก็อยากไปบ้าง จัดแจงหมายมั่นปั้นมือว่าถ้าเพื่อนจัดอีกจะไปด้วยให้ได้ แล้วก็สมใจค่ะ อุทยานแห่งชาติประกาศเปิดเส้นทางเดินเขาที่ภูสอยดาว พอดีกับช่วงวันหยุดยาวของเรา ความตื่นเต้นมันมีมากกว่าความรู้สึกอื่นใด ความรู้สึกที่ว่า…
นี่จะเป็นทริปร่วมกับเพื่อนสมาชิกอีก 7 ท่าน ที่ส่วนใหญ่ไม่เคยเจอหน้ามาก่อน นี่จะเป็นทริปที่ต้องฟิตซ้อมร่างกายให้ทนสภาพการเดินเขาทางชันหลายชั่วโมง และนี่จะเป็นการไปเที่ยวแบบไม่ต้องแพลนอะไรทั้งสิ้น… แล้วไงล่ะ
1. ไม่ชอบไปเที่ยวกับจำนวนคนที่เยอะขนาดนี้ค่ะ มันวุ่นวาย มากคนมากความ ตั้งแง่ไว้ก่อนเลย (ฮา) แล้วนี่ก็ไม่ได้รู้จักเค้าอีก
2. ต้องฟิตแค่ไหนล่ะ ไม่เคยเดินเขาแบบนี้เลย
3. มันต้องเตรียมตัวอะไรบ้างล่ะ ไม่ต้องวางแผนอาจจะรู้สึกสบาย แต่มันไม่ใช่วิสัยเรา เราจะรู้สึกกังวล ไม่มั่นใจ เพราะไม่มีข้อมูลใดๆ
ใกล้วันเดินทางแล้ว เราก็เตรียมความพร้อมด้วยการไปฟิตเนสเข้าคอร์ส HIIT ฝึกการเต้นของหัวใจและความแข็งแรงของต้นขา แล้วก็ไปหาซื้อรองเท้าเดินเขามาเรียบร้อย ความกังวลลดลงไปเยอะเลย พร้อมลุยแล้วค่ะ!
เพิ่งรู้ว่าเตรียมตัวมาน้อยไปนิด แต่ก็ดีพอสมควร
ตลาดสดตอนตีสี่ ก่อนขึ้นดอย
การเดินทางไปภูสอยดาวนั้นทำได้หลายทาง ตอนแรกกะจะนั่งรถประจำทาง แล้วต่อรถหรือโบกรถไปภูสอยดาว แต่ครั้นเราได้สมาชิกมากันเยอะขนาดนี้ จึงสมควรที่จะเช่ารถตู้ พร้อมคนขับค่ะ สบายหน่อย เราจึงเริ่มทริปด้วยการนั่งรถตู้จากดอนเมืองไปพิษณุโลกกันตั้งแต่ค่ำๆ ฝนฟ้าร้องคำรามมาตลอดทาง กังวลว่าถ้าตกแบบนี้ตอนขึ้นเขาก็ต้องขอคิดอีกที เพราะคงทุลักทุเล ยังไม่พอ ฝนก็ดันมาตกหนักมากตอนที่แวะกินข้าวในปั๊ม จนสมาชิกทุกท่านเปียกปอนกันไปตามๆ กัน เพราะวิ่งขึ้นรถไม่ทัน สงสัยจะปอดบวมก่อนไปถึงที่หมายซะแล้ว
เรานั่งหลับๆ ตื่นๆ กับชุดเปียกๆ จนถึงเวลาประมาณตีสี่ พวกเราก็มาถึงอำเภอชาติตระการ ชุมชนเมืองสุดท้ายก่อนเข้าเขตอุทยานฯ ค่ะ เพื่อนๆ สมาชิกจัดแจงซื้อเสบียง วางแผนอาหารการกินมากมาย เราได้แต่ยืนตาปริบๆ (ด้วยความง่วง) ถ่ายรูปไปเรื่อยเพราะไม่รู้ต้องทำอะไรบ้าง รู้อย่างเดียวว่า เออ สบายจัง ไม่ต้องทำอะไร (ฮา)
ไข่ต้มทรงเครื่อง หนึ่งในเสบียงขึ้นดอย
หกโมงเช้าเราก็มาถึงอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว จ.พิษณุโลก ที่นี่มีอาณาเขตติดกับจ.อุตรดิตถ์ และบริเวณตะเข็บชายแดนประเทศลาวด้วย ก่อนจะเดิน เราต้องมาลงทะเบียนกันค่ะ เพื่อแจ้งว่ามากี่คน จะเช่าเต๊นท์มั้ย ใช้ลูกหาบมั้ย อะไรอย่างงี้ พอใกล้เวลาทำการแปดโมงเช้า คนก็มากันเยอะเลย เพราะเราไปช่วงวันหยุดยาวค่ะ เห็นคนเยอะๆ เค้าดูจริงจังอลังการมากๆ บางคนมีไม้เท้าเดินเขา หรือ gadgets ต่างๆ ทำให้เรา ผู้ซึ่งไม่ได้เตรียมอะไรมามากมายต้องแอบกังวล ตอนชั่งน้ำหนักของให้ลูกหาบ ก็ไม่ได้เตรียมกระเป๋ามา ต้องฝากของในกระเป๋าสมาชิกกันให้วุ่น ตลกดีค่ะ
จากจุดลงทะเบียนไปจนถึงจุดกางเต๊นท์นั้น ห่างไกลเท่าไหร่ไม่ทราบเพราะไม่ได้หาข้อมูลมาเลย ทราบภายหลังว่าเป็นระยะทาง 6.5 กิโลเมตร ในรีวิวก็บอกว่าเป็นการเดินเขาในระดับง่ายถึงปานกลาง โอ๊ะ ชิวเลยค่ะ (แต่ก็ได้ไม่นาน) ใจพร้อมเต็มที่ ตื่นเต้นเสียอีก เราได้เริ่มเดินตอน 9.10 น. เส้นทางส่วนใหญ่ช่วงแรกประมาณหนึ่งชั่วโมง เป็นการเดินเลียบน้ำตกค่ะ บรรยากาศสดชื่นมาก เหนื่อยเล็กน้อยเพราะทางไม่ชัน เราก็สงสัยว่าทำไมเดินสบายจัง ปากดีพูดออกไปไม่เท่าไหร่ก็มาเจอเนินแรกคือ เนินส่งญาติ หอบแฮ่กๆ กันเลยทีเดียว พอผ่านเนินนี้ไปได้ก็ต้องหยุดพักอยู่หลายนาที จุดนี้แหละที่เราแตกเป็นสองกลุ่ม อาจเป็นเพราะพละกำลังของน้องในกลุ่มเราคนหนึ่ง นางเดินได้อึดมาก เดินนำหน้าไปไกลมาก ทำให้เราและเพื่อนอีกคนต้องฟิตเดินตาม เราทั้งสามจึงกลายเป็นกลุ่มผู้นำไปโดยปริยายค่ะ หลังจากนั้นมาอีกสามชั่วโมงคือเนินขึ้นเขาล้วนๆ -_-
หัวใจที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายนั้นทำงานอย่างหนัก เหมือนมันจะหลุดออกมายังไงยังงั้นล่ะ ต้นขานั้นไม่ต้องพูดถึงค่ะมันชาชินไปนานแล้ว จุดนี้ต้องใช้ใจเดินเท่านั้น ดูเว่อร์ แต่มันจริงนะ เราว่ามันเป็นความมหัศจรรย์ของร่างกายและจิตใจ ถ้าใจเรายังไหว ร่างกายมันก็ไหวนั่นแหละ เราแวะกินข้าวเที่ยงกลางป่ากันอย่างเพลียจัด พบเจอพูดคุยกับเพื่อนร่วมทางบ้าง พอให้ได้อรรถรส จนท้ายที่สุดเราก็มาถึงเนินสุดท้าย มันมีชื่อว่า เนินมรณะ ได้ฟังครั้งแรกก็ไม่รู้สึกหวั่นเกรงมาก เพราะที่ผ่านมาเกือบๆสามชั่วโมงก็ถือว่าหนักมากพออยู่แล้ว แต่พอเดินสวนกับคนที่เพิ่งลงมา เค้าก็บอกว่า ของจริงอยู่ที่เนินมรณะ! อะไรเนี่ย นี่ยังไม่เจอของโหดอีกเหรอ (ฮา) จะถอดใจก็คงไม่ทันแล้วค่ะ จึงต้องก้มหน้ารับชะตากรรมที่อยู่ข้างหน้า (ฮา)
เนินมรณะเป็นเนินที่ชัดสุดๆ และร้อนสุดๆ เพราะเรากำลังไต่อยู่บนยอดเขาแล้วค่ะ ความเหนื่อยล้าทวีคูณเพราะต้องบวกความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ตั้งฉากตอนกลางวันอีก ร่มไม้ก็ไม่มีให้พัก เฮ้อ สิ่งที่พอปลอบใจเราได้คือ วิวทิวเขาสลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา ที่ตั้งตระหง่านด้านหลังเราค่ะ ยิ่งสูงเท่าไหร่ ยิ่งเห็นวิวเขาได้ไกลเท่านั้น มันสวยสะกดตาจริงๆ
ป่าสนบนยอดดอย สวยไม่ต้องปรุงแต่ง
ในที่สุด เราก็มาถึงทางเข้าป่าสนบนภูสอยดาวจนได้ค่ะ (เย่!) แต่ไม่มีใครได้เช็คอินปักธงความสำเร็จในโลกออนไลน์ได้เลย เพราะสัญญาณมือถือหายไปตั้งแต่ก่อนเข้าเขตอุทยานฯแล้ว เรายกนาฬิกาขึ้นมาดู ขณะนี้เป็นเวลา 13.40 น. ทำเวลาไปสี่ชั่วโมงครึ่ง กับระยะทาง 6.5 กิโลเมตร ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,633 เมตร
ณ จุดๆ นี้ คือเหนื่อยมากที่สุดในชีวิต แต่ก็ภูมิใจมากพอๆ กัน
ดอกหงอนนาคกำลังบาน
ณ ช่วงเวลานั้น สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือน้ำอัดลมเย็นๆ หรือน้ำดื่มเย็นๆ สักลิตรนึง ให้ขายขวดละร้อยก็ซื้อ พอรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็อยากโทษตัวเองว่า รู้งี้น่าจะกินตุนมาเยอะๆ (ฮา) เข้าใจคนที่มีอาการเหนื่อย ขาดน้ำอย่างหนักเนื่องจากทำกิจกรรมพวกนี้ หรือเดินหลงทางในป่า ในทะเลทรายก็ได้ เบลอเลย ตาลายไปหมดเลย (ฮา) ให้ฝืนยิ้มถ่ายรูปยังยากเลย
น้ำตกสายทิพย์ ซ่อนตัวอยู่ด้านบน
กว่าจะรอให้สมาชิกมาครบทั้งแปด ก็กินเวลาไปร่วมๆ สามชั่วโมงค่ะ ระหว่างนั้น เรากับน้องก็เดินสำรวจจุดกางเต๊นท์ น้ำตกและป่าสนจนหิวข้าว ด้านบนนี้ไม่มีไฟฟ้า น้ำก็ต้องไปรองอาบเอง ต้องทำอาหารกันเอง ก่อไฟเอง ไม่นานเราเตรียมพื้นที่ทำครัวกันอย่างทุลักทุเลแต่สนุก ทุกคนมีหน้าที่กันหมดรวมทั้งเราด้วย ภูมิใจมากที่เราหุงข้าวได้อร่อยพอดี เพราะที่บ้านก็หุงแบบนี้ค่ะ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เสียชื่อที่บ้าน (ฮา) อาหารที่กินก็ไม่ได้วิเศษอะไร แต่มันมีความสุขดีค่ะ รู้สึกเหมือนได้กลับเป็นเด็กเข้าค่ายอีกครั้งหนึ่ง
ดึกดื่นเราก็คิดกิจกรรมปาร์ตี้น้ำชากาแฟซองกัน ช่างเข้ากับอากาศประมาณสิบหกองศาขณะนั้นจริงๆ ให้ความรู้สึกฟินก่อนนอนมากเลย ตื่นมาตอนเช้าก็เหมือนกันค่ะ ทำอาหารเบาๆ กันเหมือนเดิมก่อนเตรียมตัวเดินลง เราคุยกันเรื่องทริปเดินเขาครั้งถัดไปอย่างออกรส คาดว่าครั้งหน้าคงต้องจัดกันอีก ถึงคุณหมอจะสั่งห้ามเราไม่ให้เดินลงบันไดและเดินบนพื้นที่ขรุขระ (คงไม่ได้หมายถึงเดินเขา?) เพราะมีอาการเข่าเสื่อม (เศร้า) แต่เราก็ไม่ยี่หร่ะ และไม่เจียมบอดี้ค่ะ
แต่น้องๆ หลายคนไม่ค่อยชอบใจดอยนี้เท่าไหร่เพราะค่าใช้จ่ายเยอะ ค่าลูกหาบแพง ค่าเช่าเต๊นท์ เช่าเตา เช่าขัน เช่าถัง เช่าไปหมดทุกอย่าง ดีที่มีน้ำกินน้ำใช้ให้ค่ะ วิวด้านบนก็ไม่ว้าวเท่าไหร่ ไม่เห็นดวงอาทิตย์ขึ้น ไม่ได้เห็นดาวตอนกลางคืนเพราะมาช่วงดวงจันทร์เต็มดวง หมอกก็เยอะอีก ที่คุยกันไปคือไม่มีอะไรดีเลยค่ะ (ฮา) แต่สำหรับเรา เราโอเคนะ เพราะเราไม่ได้คาดหวังอะไร แค่ตัวเองสามารถพิชิตดอยแห่งนี้ได้ก็สุดยอดมากแล้ว แล้วยังมาเจอปาร์ตี้ค่ายลูกเสือกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่น่ารักทุกคนอีก ไม่มีใครงี่เง่าเลย (ฮา) ทุกคนโอเคมาก เป็นกันเอง รู้หน้าที่ตัวเอง ดีงามค่ะ ไม่มีความรู้สึกขัดใจเลย (เยอะนะเรา) แค่นี้ก็สุขใจแล้วค่ะ
ขาลงเราโดนคณะลูกหาบแซงหน้าไป พี่บางคนแบกน้ำหนักกว่าสี่สิบกิโล! บ้าไปแล้ว กลัวพี่เค้าเข่าเสื่อมมากค่ะ แต่เค้าคงทำมานานแล้ว อีกเดี๋ยวก็สวนทางกับพี่ๆ ที่มาซ้อมแข่ง trekking ที่ต่างประเทศ เค้าใช้เวลาขึ้นดอยแค่สองชั่วโมงเองอ่ะ จะฟิตไปไหนเนี่ย ขณะที่เรากำลังเดินลงเนินมรณะ หน้าเราก็ปะทะเข้ากับวิวพาโนราม่าของเทือกเขาภูสอยดาว วิวเดียวกันกับขาขึ้นนี่แหละ แต่ตอนขึ้นมันเหนื่อย เลยพลาดที่จะชื่นชมความงามของมัน คงเทียบได้กับเวลาไปเที่ยวที่สวยๆ แต่จิตใจกำลังขุ่นมัว เลยพลาดอะไรดีๆ ไป แต่ตอนนี้เราจะไม่พลาดมันอีกแล้ว ยิ่งคิดถึงความเหนื่อยยากที่ผ่านมาเมื่อวาน และมิตรภาพดีๆ กิจกรรมสนุกๆ บนดอย ก็ยิ่งเพิ่มพูนความงามให้กับวิวตรงหน้าอีก

วิวที่สวยที่สุด….อยู่ข้างหน้าเรานี่เองค่ะ ที่ภูสอยดาว
พวกเราใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่งในการลงเขา สงสัยจะไปแข่ง trekking ด้วย ไม่รู้ตัวเองจะรีบลงไปไหน ต้นขาที่ระบมเริ่มออกอาการก้าวไม่ขึ้น สะดุดนู่นนี่ตลอดทาง เกือบหน้าขมำหลายรอบเลยค่ะ ถ้าพลาดนิดเดียวนี่คิดว่าคงต้องเสียโฉม (ฮา) อย่างน้อยก็ฟันแตก (ฮา) ในที่สุดสิ่งที่ใฝ่ฝันไว้ก็เป็นจริง เมื่อเราได้กินน้ำอัดลมเย็นๆ ที่ร้านสวัสดิการอุทยานฯ มันคือที่สุดของที่สุดค่ะ
ไม่เคยคิดว่าแค่น้ำอัดลมหนึ่งกระป๋องจะทำให้เรามีความสุขได้ขนาดนี้
ครั้งแรกกับ 4 วัน 4 คืน ขึ้นดอยภูสอยดาว ชิวๆ ใน เนินมะปราง บ้านมุง จ.พิษณุโลก และอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
หลากหลายทฤษฎีบอกว่า ทำอะไรคนเดียว ยังไงๆ ก็สู้หลายๆ คนไม่ได้ เพราะอย่างน้อย ก็ได้ช่วยเหลือกัน เวลาไปเที่ยวก็เช่นกัน ไปคนเดียวเหงาจะตาย จะไปไหนสำรวจอะไรก็ไม่กล้าไปไกลๆ กลัว ไปหลายคนสนุกดี ไม่เหงา มีคนถ่ายรูปให้ เดินไปไหนก็ไม่ต้องกังวลอะไรมาก อืม มันทั้งถูกและไม่ถูกค่ะ ไม่เถียง และไม่แสดงความคิดเห็นอะไร ขอพูดอย่างเดียวว่า มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียของการไปเที่ยวแต่ละแบบทั้งนั้นแหละ แล้วแต่ความชอบ และวิจารณญาณส่วนบุคคล
ช่วงสองสามปีหลังๆ มานี้ เราเป็นพวกชอบแบกเป้เที่ยวคนเดียวตลอด ก็สนุกดีค่ะ อิสระดี ชิวมาก อยากทำอะไรทำ อยากไปไหนไป รู้สึกว่าพึ่งพาตัวเองได้ มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น มีความสุขกับอะไรๆ ง่ายๆ แค่เห็นวิวสวยๆ ก็ยิ้มได้แล้ว มีเหงาบ้างเล็กน้อยแต่ยังโอเค ถ้ามีอินเตอร์เน็ตก็ไม่ต้องกังวลอะไร ทักเพื่อนไปเดี๋ยวก็ตอบ พอเริ่มเที่ยวคนเดียวบ่อยขึ้น ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า นีเราอยากไปเที่ยวคนเดียวจริงๆ หรือไม่มีเพื่อนคบกันแน่? (ฮา) เหตุผลจริงๆ อาจเป็นเพราะความสะดวกมากกว่าค่ะ ไม่ต้องมารอว่าใครจะว่างไม่ว่าง ไปคนเดียวเลย ง่ายดี ไม่มีทริปล่ม อีกอย่าง เพราะไปคนเดียวสบายใจดีค่ะ ไม่ต้องทะเลาะกับใคร
เจอเป็นอย่างแรก น้ำตกภูสอยดาว
การตัดสินใจไปเดินเขาถึงภูสอยดาวนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีค่ะ เพราะเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ท้าทายดี เคยไปเดินง่ายๆ กว่านี้ที่ Sapa แล้วร่างกายไม่พร้อมเลย แย่ไปเลย รอบนี้อยากแก้มือ เห็นเพื่อนที่ไปเดินเขาถ่ายรูปมาอวดเมื่อปลายปีนู้นก็อยากไปบ้าง จัดแจงหมายมั่นปั้นมือว่าถ้าเพื่อนจัดอีกจะไปด้วยให้ได้ แล้วก็สมใจค่ะ อุทยานแห่งชาติประกาศเปิดเส้นทางเดินเขาที่ภูสอยดาว พอดีกับช่วงวันหยุดยาวของเรา ความตื่นเต้นมันมีมากกว่าความรู้สึกอื่นใด ความรู้สึกที่ว่า…
นี่จะเป็นทริปร่วมกับเพื่อนสมาชิกอีก 7 ท่าน ที่ส่วนใหญ่ไม่เคยเจอหน้ามาก่อน นี่จะเป็นทริปที่ต้องฟิตซ้อมร่างกายให้ทนสภาพการเดินเขาทางชันหลายชั่วโมง และนี่จะเป็นการไปเที่ยวแบบไม่ต้องแพลนอะไรทั้งสิ้น… แล้วไงล่ะ
1. ไม่ชอบไปเที่ยวกับจำนวนคนที่เยอะขนาดนี้ค่ะ มันวุ่นวาย มากคนมากความ ตั้งแง่ไว้ก่อนเลย (ฮา) แล้วนี่ก็ไม่ได้รู้จักเค้าอีก
2. ต้องฟิตแค่ไหนล่ะ ไม่เคยเดินเขาแบบนี้เลย
3. มันต้องเตรียมตัวอะไรบ้างล่ะ ไม่ต้องวางแผนอาจจะรู้สึกสบาย แต่มันไม่ใช่วิสัยเรา เราจะรู้สึกกังวล ไม่มั่นใจ เพราะไม่มีข้อมูลใดๆ
ใกล้วันเดินทางแล้ว เราก็เตรียมความพร้อมด้วยการไปฟิตเนสเข้าคอร์ส HIIT ฝึกการเต้นของหัวใจและความแข็งแรงของต้นขา แล้วก็ไปหาซื้อรองเท้าเดินเขามาเรียบร้อย ความกังวลลดลงไปเยอะเลย พร้อมลุยแล้วค่ะ!
เพิ่งรู้ว่าเตรียมตัวมาน้อยไปนิด แต่ก็ดีพอสมควร
ตลาดสดตอนตีสี่ ก่อนขึ้นดอย
การเดินทางไปภูสอยดาวนั้นทำได้หลายทาง ตอนแรกกะจะนั่งรถประจำทาง แล้วต่อรถหรือโบกรถไปภูสอยดาว แต่ครั้นเราได้สมาชิกมากันเยอะขนาดนี้ จึงสมควรที่จะเช่ารถตู้ พร้อมคนขับค่ะ สบายหน่อย เราจึงเริ่มทริปด้วยการนั่งรถตู้จากดอนเมืองไปพิษณุโลกกันตั้งแต่ค่ำๆ ฝนฟ้าร้องคำรามมาตลอดทาง กังวลว่าถ้าตกแบบนี้ตอนขึ้นเขาก็ต้องขอคิดอีกที เพราะคงทุลักทุเล ยังไม่พอ ฝนก็ดันมาตกหนักมากตอนที่แวะกินข้าวในปั๊ม จนสมาชิกทุกท่านเปียกปอนกันไปตามๆ กัน เพราะวิ่งขึ้นรถไม่ทัน สงสัยจะปอดบวมก่อนไปถึงที่หมายซะแล้ว
เรานั่งหลับๆ ตื่นๆ กับชุดเปียกๆ จนถึงเวลาประมาณตีสี่ พวกเราก็มาถึงอำเภอชาติตระการ ชุมชนเมืองสุดท้ายก่อนเข้าเขตอุทยานฯ ค่ะ เพื่อนๆ สมาชิกจัดแจงซื้อเสบียง วางแผนอาหารการกินมากมาย เราได้แต่ยืนตาปริบๆ (ด้วยความง่วง) ถ่ายรูปไปเรื่อยเพราะไม่รู้ต้องทำอะไรบ้าง รู้อย่างเดียวว่า เออ สบายจัง ไม่ต้องทำอะไร (ฮา)
ไข่ต้มทรงเครื่อง หนึ่งในเสบียงขึ้นดอย
หกโมงเช้าเราก็มาถึงอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว จ.พิษณุโลก ที่นี่มีอาณาเขตติดกับจ.อุตรดิตถ์ และบริเวณตะเข็บชายแดนประเทศลาวด้วย ก่อนจะเดิน เราต้องมาลงทะเบียนกันค่ะ เพื่อแจ้งว่ามากี่คน จะเช่าเต๊นท์มั้ย ใช้ลูกหาบมั้ย อะไรอย่างงี้ พอใกล้เวลาทำการแปดโมงเช้า คนก็มากันเยอะเลย เพราะเราไปช่วงวันหยุดยาวค่ะ เห็นคนเยอะๆ เค้าดูจริงจังอลังการมากๆ บางคนมีไม้เท้าเดินเขา หรือ gadgets ต่างๆ ทำให้เรา ผู้ซึ่งไม่ได้เตรียมอะไรมามากมายต้องแอบกังวล ตอนชั่งน้ำหนักของให้ลูกหาบ ก็ไม่ได้เตรียมกระเป๋ามา ต้องฝากของในกระเป๋าสมาชิกกันให้วุ่น ตลกดีค่ะ
จากจุดลงทะเบียนไปจนถึงจุดกางเต๊นท์นั้น ห่างไกลเท่าไหร่ไม่ทราบเพราะไม่ได้หาข้อมูลมาเลย ทราบภายหลังว่าเป็นระยะทาง 6.5 กิโลเมตร ในรีวิวก็บอกว่าเป็นการเดินเขาในระดับง่ายถึงปานกลาง โอ๊ะ ชิวเลยค่ะ (แต่ก็ได้ไม่นาน) ใจพร้อมเต็มที่ ตื่นเต้นเสียอีก เราได้เริ่มเดินตอน 9.10 น. เส้นทางส่วนใหญ่ช่วงแรกประมาณหนึ่งชั่วโมง เป็นการเดินเลียบน้ำตกค่ะ บรรยากาศสดชื่นมาก เหนื่อยเล็กน้อยเพราะทางไม่ชัน เราก็สงสัยว่าทำไมเดินสบายจัง ปากดีพูดออกไปไม่เท่าไหร่ก็มาเจอเนินแรกคือ เนินส่งญาติ หอบแฮ่กๆ กันเลยทีเดียว พอผ่านเนินนี้ไปได้ก็ต้องหยุดพักอยู่หลายนาที จุดนี้แหละที่เราแตกเป็นสองกลุ่ม อาจเป็นเพราะพละกำลังของน้องในกลุ่มเราคนหนึ่ง นางเดินได้อึดมาก เดินนำหน้าไปไกลมาก ทำให้เราและเพื่อนอีกคนต้องฟิตเดินตาม เราทั้งสามจึงกลายเป็นกลุ่มผู้นำไปโดยปริยายค่ะ หลังจากนั้นมาอีกสามชั่วโมงคือเนินขึ้นเขาล้วนๆ -_-
หัวใจที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายนั้นทำงานอย่างหนัก เหมือนมันจะหลุดออกมายังไงยังงั้นล่ะ ต้นขานั้นไม่ต้องพูดถึงค่ะมันชาชินไปนานแล้ว จุดนี้ต้องใช้ใจเดินเท่านั้น ดูเว่อร์ แต่มันจริงนะ เราว่ามันเป็นความมหัศจรรย์ของร่างกายและจิตใจ ถ้าใจเรายังไหว ร่างกายมันก็ไหวนั่นแหละ เราแวะกินข้าวเที่ยงกลางป่ากันอย่างเพลียจัด พบเจอพูดคุยกับเพื่อนร่วมทางบ้าง พอให้ได้อรรถรส จนท้ายที่สุดเราก็มาถึงเนินสุดท้าย มันมีชื่อว่า เนินมรณะ ได้ฟังครั้งแรกก็ไม่รู้สึกหวั่นเกรงมาก เพราะที่ผ่านมาเกือบๆสามชั่วโมงก็ถือว่าหนักมากพออยู่แล้ว แต่พอเดินสวนกับคนที่เพิ่งลงมา เค้าก็บอกว่า ของจริงอยู่ที่เนินมรณะ! อะไรเนี่ย นี่ยังไม่เจอของโหดอีกเหรอ (ฮา) จะถอดใจก็คงไม่ทันแล้วค่ะ จึงต้องก้มหน้ารับชะตากรรมที่อยู่ข้างหน้า (ฮา)
เนินมรณะเป็นเนินที่ชัดสุดๆ และร้อนสุดๆ เพราะเรากำลังไต่อยู่บนยอดเขาแล้วค่ะ ความเหนื่อยล้าทวีคูณเพราะต้องบวกความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ตั้งฉากตอนกลางวันอีก ร่มไม้ก็ไม่มีให้พัก เฮ้อ สิ่งที่พอปลอบใจเราได้คือ วิวทิวเขาสลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา ที่ตั้งตระหง่านด้านหลังเราค่ะ ยิ่งสูงเท่าไหร่ ยิ่งเห็นวิวเขาได้ไกลเท่านั้น มันสวยสะกดตาจริงๆ
ป่าสนบนยอดดอย สวยไม่ต้องปรุงแต่ง
ในที่สุด เราก็มาถึงทางเข้าป่าสนบนภูสอยดาวจนได้ค่ะ (เย่!) แต่ไม่มีใครได้เช็คอินปักธงความสำเร็จในโลกออนไลน์ได้เลย เพราะสัญญาณมือถือหายไปตั้งแต่ก่อนเข้าเขตอุทยานฯแล้ว เรายกนาฬิกาขึ้นมาดู ขณะนี้เป็นเวลา 13.40 น. ทำเวลาไปสี่ชั่วโมงครึ่ง กับระยะทาง 6.5 กิโลเมตร ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,633 เมตร
ณ จุดๆ นี้ คือเหนื่อยมากที่สุดในชีวิต แต่ก็ภูมิใจมากพอๆ กัน
ดอกหงอนนาคกำลังบาน
ณ ช่วงเวลานั้น สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือน้ำอัดลมเย็นๆ หรือน้ำดื่มเย็นๆ สักลิตรนึง ให้ขายขวดละร้อยก็ซื้อ พอรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็อยากโทษตัวเองว่า รู้งี้น่าจะกินตุนมาเยอะๆ (ฮา) เข้าใจคนที่มีอาการเหนื่อย ขาดน้ำอย่างหนักเนื่องจากทำกิจกรรมพวกนี้ หรือเดินหลงทางในป่า ในทะเลทรายก็ได้ เบลอเลย ตาลายไปหมดเลย (ฮา) ให้ฝืนยิ้มถ่ายรูปยังยากเลย
น้ำตกสายทิพย์ ซ่อนตัวอยู่ด้านบน
กว่าจะรอให้สมาชิกมาครบทั้งแปด ก็กินเวลาไปร่วมๆ สามชั่วโมงค่ะ ระหว่างนั้น เรากับน้องก็เดินสำรวจจุดกางเต๊นท์ น้ำตกและป่าสนจนหิวข้าว ด้านบนนี้ไม่มีไฟฟ้า น้ำก็ต้องไปรองอาบเอง ต้องทำอาหารกันเอง ก่อไฟเอง ไม่นานเราเตรียมพื้นที่ทำครัวกันอย่างทุลักทุเลแต่สนุก ทุกคนมีหน้าที่กันหมดรวมทั้งเราด้วย ภูมิใจมากที่เราหุงข้าวได้อร่อยพอดี เพราะที่บ้านก็หุงแบบนี้ค่ะ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เสียชื่อที่บ้าน (ฮา) อาหารที่กินก็ไม่ได้วิเศษอะไร แต่มันมีความสุขดีค่ะ รู้สึกเหมือนได้กลับเป็นเด็กเข้าค่ายอีกครั้งหนึ่ง
ดึกดื่นเราก็คิดกิจกรรมปาร์ตี้น้ำชากาแฟซองกัน ช่างเข้ากับอากาศประมาณสิบหกองศาขณะนั้นจริงๆ ให้ความรู้สึกฟินก่อนนอนมากเลย ตื่นมาตอนเช้าก็เหมือนกันค่ะ ทำอาหารเบาๆ กันเหมือนเดิมก่อนเตรียมตัวเดินลง เราคุยกันเรื่องทริปเดินเขาครั้งถัดไปอย่างออกรส คาดว่าครั้งหน้าคงต้องจัดกันอีก ถึงคุณหมอจะสั่งห้ามเราไม่ให้เดินลงบันไดและเดินบนพื้นที่ขรุขระ (คงไม่ได้หมายถึงเดินเขา?) เพราะมีอาการเข่าเสื่อม (เศร้า) แต่เราก็ไม่ยี่หร่ะ และไม่เจียมบอดี้ค่ะ
แต่น้องๆ หลายคนไม่ค่อยชอบใจดอยนี้เท่าไหร่เพราะค่าใช้จ่ายเยอะ ค่าลูกหาบแพง ค่าเช่าเต๊นท์ เช่าเตา เช่าขัน เช่าถัง เช่าไปหมดทุกอย่าง ดีที่มีน้ำกินน้ำใช้ให้ค่ะ วิวด้านบนก็ไม่ว้าวเท่าไหร่ ไม่เห็นดวงอาทิตย์ขึ้น ไม่ได้เห็นดาวตอนกลางคืนเพราะมาช่วงดวงจันทร์เต็มดวง หมอกก็เยอะอีก ที่คุยกันไปคือไม่มีอะไรดีเลยค่ะ (ฮา) แต่สำหรับเรา เราโอเคนะ เพราะเราไม่ได้คาดหวังอะไร แค่ตัวเองสามารถพิชิตดอยแห่งนี้ได้ก็สุดยอดมากแล้ว แล้วยังมาเจอปาร์ตี้ค่ายลูกเสือกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่น่ารักทุกคนอีก ไม่มีใครงี่เง่าเลย (ฮา) ทุกคนโอเคมาก เป็นกันเอง รู้หน้าที่ตัวเอง ดีงามค่ะ ไม่มีความรู้สึกขัดใจเลย (เยอะนะเรา) แค่นี้ก็สุขใจแล้วค่ะ
ขาลงเราโดนคณะลูกหาบแซงหน้าไป พี่บางคนแบกน้ำหนักกว่าสี่สิบกิโล! บ้าไปแล้ว กลัวพี่เค้าเข่าเสื่อมมากค่ะ แต่เค้าคงทำมานานแล้ว อีกเดี๋ยวก็สวนทางกับพี่ๆ ที่มาซ้อมแข่ง trekking ที่ต่างประเทศ เค้าใช้เวลาขึ้นดอยแค่สองชั่วโมงเองอ่ะ จะฟิตไปไหนเนี่ย ขณะที่เรากำลังเดินลงเนินมรณะ หน้าเราก็ปะทะเข้ากับวิวพาโนราม่าของเทือกเขาภูสอยดาว วิวเดียวกันกับขาขึ้นนี่แหละ แต่ตอนขึ้นมันเหนื่อย เลยพลาดที่จะชื่นชมความงามของมัน คงเทียบได้กับเวลาไปเที่ยวที่สวยๆ แต่จิตใจกำลังขุ่นมัว เลยพลาดอะไรดีๆ ไป แต่ตอนนี้เราจะไม่พลาดมันอีกแล้ว ยิ่งคิดถึงความเหนื่อยยากที่ผ่านมาเมื่อวาน และมิตรภาพดีๆ กิจกรรมสนุกๆ บนดอย ก็ยิ่งเพิ่มพูนความงามให้กับวิวตรงหน้าอีก
วิวที่สวยที่สุด….อยู่ข้างหน้าเรานี่เองค่ะ ที่ภูสอยดาว
พวกเราใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่งในการลงเขา สงสัยจะไปแข่ง trekking ด้วย ไม่รู้ตัวเองจะรีบลงไปไหน ต้นขาที่ระบมเริ่มออกอาการก้าวไม่ขึ้น สะดุดนู่นนี่ตลอดทาง เกือบหน้าขมำหลายรอบเลยค่ะ ถ้าพลาดนิดเดียวนี่คิดว่าคงต้องเสียโฉม (ฮา) อย่างน้อยก็ฟันแตก (ฮา) ในที่สุดสิ่งที่ใฝ่ฝันไว้ก็เป็นจริง เมื่อเราได้กินน้ำอัดลมเย็นๆ ที่ร้านสวัสดิการอุทยานฯ มันคือที่สุดของที่สุดค่ะ
ไม่เคยคิดว่าแค่น้ำอัดลมหนึ่งกระป๋องจะทำให้เรามีความสุขได้ขนาดนี้