เคยอายป่ะ...ที่เกิดเป็นลูกของพ่อแม่ตัวเอง ?

"กระเป๋าแบรนเนมของพ่อ"
เรื่องมันมีอยู่ว่า พ่อเราอ่ะชอบใช้ถุงพลาสติกแล้วเอาเชือกฟางผูกกับหูถุง แล้วสะพายบ่าไปด้วยทุกที่ที่แกไป แกให้เหตุผลว่ามันเบาดี แล้วเวลาซื้อของเสร็จก็เอาใส่ถุง ไม่ต้องหิ้วด้วย ไม่เมื่อยมือ เวลาไปเดินห้าง สาวๆที่ห้างก็จะพูดหยอกล้อกับพ่อเราว่า นั่นคือกระเป๋าแบรนเนมของคุณ น เค้าหล่ะ (ชื่อย่อ)...
...แล้วตอนเด็กๆ เชื่อไหม ว่าเราอายมาก อายที่มีพ่อที่สะพายถุงพลาสติกแบกใส่บ่าไปด้วยทุกๆที่ แม้กระทั่งมารับเราที่โรงเรียนก็สะพายมาด้วย เรามองว่ามันเหมือนคนเก็บขยะ แล้วเราก็หงุดหงิดพ่อมากๆ กลัวเพื่อนจะมองพ่อ ว่าพ่อทำตัวแปลกๆ ไม่เหมือนพ่อคนอื่น อายที่จะเดินข้างๆพ่อตัวเอง เวลาคุณครู อาจารย์ หรือคนรู้จัก ทักพ่อ ว่าพ่อหอบอะไรมาเต็มบ่า บ้างก็ว่า พ่อบ้าหอบฟางบ้าง พ่อเราก็จะตอบไปว่า งี้แหละ ผมมันคนบ้า บ้าหอบฟางไปเรื่อย แล้วก็หัวเราะ คุยเล่นกับคนอื่นเค้าไปเรื่อย แต่เราไม่ขำด้วยเลย เพราะเรารู้สึกว่ามันน่าอาย (ด้วยความเป็นเด็ก) จนกระทั่ง...เราได้ออกมาอยู่หอ มาใช้ชีวิตคนเดียวตอนเรียนมหาลัย คือต้องบอกก่อนเลยว่า ตอนมาเรียนมหาลัยปีแรกเราออกมาเรียนโดยไม่ใช้เงินพ่อสักบาทเลย พยายามที่จะยืนด้วยขาของตัวเองให้ได้มากๆ แต่สุดท้ายก็เหลวไม่เป็นท่า ตอนนั้นเราลำบากมาก วันๆนึงหมดไปกับการเรียนและทำงาน เวลานอนพักผ่อนแทบจะไม่มี ทำงานเสร็จมาเรียนต่อเลยแล้วค่อยกลับไปนอนตอนเย็นตื่นไปทำงาน เป็นแบบนั้นอยู่เรื่อยๆ จนเราเริ่มที่จะตื่นไปเรียนไม่ไหว ตอนนั้นเรานั่งคิด ทบทวนตัวเองตลอด แล้วก็นึกย้อนกลับไป ว่า เห้ย พ่อทำได้ยังไง ทำให้เรากินอยู่สบายแบบที่เราเคยเป็นก่อนออกมาจากบ้านได้ยังไง เมื่อก่อนเราเคยคิดตลอด ว่าที่พ่อให้มันยังน้อยไป ลูกคนอื่นทำไมเค้ามีให้เยอะกว่านี้ ทำไมเค้ามีเยอะกว่าที่เรามี แต่เปล่าเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อให้เรา คือทั้งหมดที่พ่อมีแล้วจริงๆ เราเพิ่งมาเข้าใจวันนั้น วันที่เราตัดสินใจออกมาใช้ชีวิตเองคนเดียว ต้องรับผิดชอบชีวิตเองโดยลำพัง โดยไม่มีพ่อคอยซัพพอท ทั้งค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าส่วนต่างค่าเทอม ค่ากิน ค่ารถ ค่ากินค่าอยู่ในแต่ละวัน เชื่อไหมว่าเราเคยทำงานได้เดือนละสามหมื่นต่อเดือน แต่เงินนั่นที่ได้มาก็ไม่เคยจะพออยู่ถึงครบรอบเดือนสักที สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ พึ่งเข้าใจคำพูดนั้นจริงๆก็วันนี้ บินโน้นบินนี่มาเต็มไปหมด หนักสุดเลยคือส่วนต่างค่าเทอมที่มา โอ้โห!!!! บอกเลย คุณพระ จุกมากกกกกกก แต่คือก็ยังดื้อไง ยังไม่กลับไปพึ่งพ่อ เชื่อไหม บางทีหิวข้าวม๊ากมาก แต่ก็ทำได้แค่ นั่งมองปากเพื่อนกินก็มี พอกลับมา เราก็มานั่งล็อกห้องคนเดียว นั่งร้องไห้ แล้วก็คิดว่า ทำไมวะ ตอนอยู่กับพ่อ เราไม่เห็นต้องอดถึงขนาดนี้เลย อยากกินอะไรก็ได้กิน แล้วก็มานั่งคิดถึงวันเวลาเก่าๆที่ยังอยู่กับพ่อ แล้วก็พึงระลึกขึ้นได้ ว่าทุกๆครั้ง...ที่พ่อออกจากบ้าน พ่อจะซื้อของกิน แล้วหอบหิ้วใส่ถุงย่ามสะพายบ่านั้นที่แกชอบหอบไปไหนมาไหนตลอด กลับบ้าน เพื่อให้เรากับแม่เลี้ยงกิน เรากับแม่เลี้ยงก็ได้แต่นั่งกินสิ่งที่พ่อซื้อมาให้ โดยที่ไม่ได้สนใจเลย ว่าพ่อจะหอบหิ้วมันมายังไง และของกินเหล่านั้น มันก็มาจากถุงพลาสติกผูกเชือกฟางเก่าๆที่พ่อเราชอบสะพายนั่นแหละ และเวลาที่เราสั่งให้พ่อซื้ออะไรมาให้ พ่อก็จะชอบหอบมาให้เราในสภาพที่มันเยินๆแล้วตลอด ถ้าเป็นเค้ก เค้กนั้นก็จะหน้าตาเละๆ ไม่น่ากิน ถ้าเป็นสมุดรายงานหรือหน้ากระดาษรายงาน ก็จะมาในสภาพที่มีรอยยับเล็กๆๆๆๆ เต็มไปหมด เราก็ชอบบ่นพ่อ ว่าถือของเรามายังไง ไม่รักษาของเลย แย่มาก จะเอาไปส่งอาจารย์ยังไง อายแย่ และเราก็ไม่เคยรู้เลย ว่าถุงที่พ่อสะพายบ่าหอบหิ้วของกินกับของอะไรต่างๆนาๆรวมๆกันมาให้เรานั้น มันหนักแค่ไหน จนกระทั่ง เมื่อวานก่อน เราไปซื้อของกับพ่อมา แล้วพ่อก็ทำถุงนั้นให้เราสะพายด้วย (ต้องบอกก่อนว่าตอนนี้เรากลับมาอาศัยพึ่งบุญพ่อเหมือนเดิมแล้ว เพราะเนื่องจากเราผ่านมรสุมอะไรข้างนอกมามากมายจนเราล้มจนลุกไม่ขึ้นจริงๆ เราก็ตัดสินใจกลับบ้าน หลังจากโทรไปหาพ่อ ว่าพ่อเป็นไงบ้าง แล้วแกก็น้ำเสียงดูดีใจมาก ที่เราโทรไป แล้วเหมือนแกได้ยินเสียงเราสั่นๆ เหมือนจะร้องไห้ แกเลยพูดขึ้นมาว่า แล้วเราหละ เป็นไง สบายดีไหม เราก็ร้อง แล้วบอก หนูสบายดีจะพ่อ แต่แค่ช่วงนี้รู้สึกเหนื่อยๆ แกเลยพูดว่า "ถ้าไม่ไหวก็กลับบ้านเรานะลูก" เท่านั้นแหละ น้ำตาแตกหนักกว่าเก่าอีก แล้วเราก็กลับมาหาพ่อที่บ้าน หลังจากที่ไม่ได้เจอแกมาเป็นปีๆ ซื้อทองมากราบแก ได้กลับมานั่งมองชีวิตเก่าๆที่เคยมีแก ได้กลับบ้าน แล้วก็เห็นว่า ชีวิตพ่อก็ยังเหมือนเดิม อยู่ห้องเช่าหลังเก่าๆห้องเก่าๆเหมือนเดิม ยังชอบสะสมของเก่าๆเอาไว้นั่งทำอะไรแก้เบื่อเหมือนเดิม ยังนั่งรถเมล์ไปไหนมาไหนเป็นประจำหลังจากที่รถคันเก่าของพ่อหายไป พ่อก็ไม่คิดจะซื้อใหม่อีกเลย พ่อให้เหตุผลว่า กลัวหายอีก สู้นั่งรถเมล์ ไม่เสียค่าน้ำมัน ไม่ต้องขับเอง ไปไหนมาไหนสะดีกว่า พ่อยังมีชีวิตแบบเดิมๆ หอบหิ้วของกินมาเต็มบ่าทุกครั้งที่กลับบ้านเพื่อให้คนที่บ้านกิน) เราไม่เคยรู้เลยจริงๆ ว่าถุงที่สะพายบ่าพ่อมาแต่ละครั้ง มันหนักมากแค่ไหน จนเราได้ลองเอามาสะพายเอง พ่อเราซื้อผ้าให้เรา 9 เมตร เพื่อให้เรามาใช้คลุมโซฟา แล้วเราก็เอามาใส่ถุงที่เราสะพายบ่าด้วยตัวเอง ในถุงนั้น มีแค่ผ้าที่ซื้อมา กับสบู่ 1 แพ็ค ยาสีฟัน 2 หลอด กระดาษอาร์ตมันอีกประมาณ 2-3 แผ่นที่เราขอพ่อมาปริ้นงานที่หอ กับขนมอีกประมาณ 6-7 ห่อ ที่พ่อเอามาให้เราเพื่อให้เราเอาไว้กลับมากินที่หอ (บางทีแกก็ชอบหอบของกินสะพายบ่ามาหาเราที่มอหรือที่หอ บอกให้เราเอาไว้กิน กลัวเราอด) แล้วหลังจากที่เราซื้อผ้าเสร็จ พ่อเราก็พาเรานั่งรถเมล์กลับ (ขามาก็นั่งรถเมล์ฟรีมา) พ่อบอกว่าเราต้องรู้จักประหยัด ที่พ่อนั่งรถเมล์อ่ะ เพราะเก็บเงินไว้ให้เรากิน ขืนนั่งแท็กซี่ทุกวันเหมือนที่เรานั่งมาหาพ่อตลอดก็ตายพอดี เก็บไว้ให้เรากินได้ตั้งหลายมื้อ แล้วพ่อเราก็พาเราเดินๆๆๆๆๆๆๆๆ จูงมือเราไปทุกที่ เดินพาเราไปขึ้นรถเพื่อต่อรถเมล์กลับบ้าน ประมาณสองสามสาย ซึ่งเรารู้สึกเหนื่อยและล้ามากในวันนั้น ในขณะที่พ่อแลดูชิวมาก เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราเดาว่าเป็นเพราะพ่อวิ่งขึ้นรถเมล์และเดินไปไหนมาไหนเอาทุกวันจนเป็นกิจวัตร พ่อเราเลยดูแข็งแรงมากกว่าคนอายุเท่าๆพ่อทั่วไป ซึ่งวันนั้นเราล้าตรงบ่าข้างที่เราสะพายถุงหอบของมามากกกกกก พอกลับมาถึงหอเราถึงกับนอนตะแคงข้างที่เราสะพายถุงหอบของมาไม่ได้เลย เพราะปวด และระบม แล้วเราก็มานั่งนึกย้อนกลับไป ที่ผ่านมา ว่าพ่อชอบหอบอะไรใส่บ่าพ่อบ้าง บางทีก็หอบเงาะเป็นกิโลๆ หอบขนมมาเป็นสิบๆถุง หอบหมูหอบผักมาทำกับข้าวอีกตั้งเยอะแยะ บ้างก็หอบกับข้าวที่เป็นถุงๆมาเป็นสิบๆถุง เอามาตุนไว้ในตู้เย็น ถึงเวลาก็มาอุ่นให้เรากิน เห้ย คือแบบ พ่อเราทำได้ไงวะ หอบของหนักๆพวกนั้นกลับมาบ้านทั้งหมดได้ไง เพราะพ่อซื้อของเข้าบ้านทีซื้อเยอะมากกกกกกกก ย้ำ ว่า มากกกกกกกกกกกกก บางทีซื้อมาเรายังเคยแอบยกตอนเด็กๆ เราถึงกับเซล้มลงไปเลยก็มี แล้วไหนพ่อจะต้องวิ่งขึ้นรถเมล์ เดินไปต่อรถเมล์อีกหลายๆสาย เพื่อซื้อของให้ครบ และกลับให้ถึงบ้านอีก พ่อเรายิ้มโคตรเจ๋งเลยอ่ะ ตอนนั่งรถเมล์กลับมาจากซื้อของเสร็จ กำลังจะกลับหอ เรานั่งมองพ่อจากฝั่งตรงข้าม (เนื่องจากเรากับพ่อชอบนั่งริมหน้าต่างเหมือนกันเพราะเราเองก็ชอบเมารถด้วยและที่ว่างริมหน้าต่างก็ดันว่างอยู่ฝัางตรงข้ามกัน เราเลยแยกมานั่งฝั่งตรงข้ามแทน แต่ก็คอยแอบมองพ่ออยู่เป็นระยะๆตลอดเพราะเป็นห่วง) เราแอบสังเกต ว่าพ่อเราเองก็แก่มากแล้วเนอะ ทำไมนะ พ่อยังชอบทำตัวเหมือนไม่เคยแก่เลย ชอบแบกของหนักๆเอง เราขอจะช่วยถือก็ไม่ให้ บ่นว่ามันหนักเกิน เราเป็นผู้หญิง ถือไม่ไหวหรอก แต่เปล่าเลย เรารู้ ว่าพ่อเป็นห่วง ไม่อยากให้เราถือของหนักๆ เนี่ยแหละนะ พ่อก็ยังคือพ่อ ยังเห็นเราเป็นเด็ก ในสายตาท่านเสมอ เราอยากจะบอกว่า วันเนี้ย เราไม่อายแล้วนะ ที่มีพ่อหอบของเป็นคนบ้าหอบฟางแบบเนี้ย แต่กลับภูมิใจด้วยซ้ำ ที่ได้เกิดมาเป็นลูกของผู้ชายคนนี้ เรารู้สึกว่า เรายิ้มโคตรโชคดีอ่ะ ที่ได้เกิดมาเป็นลูกพ่อ พ่อที่รักเรามากได้ถึงขนาดยอมแบกของหนักๆสะพายบ่าเอามาให้เรากินที่บ้านทุกวันๆ เพื่อให้เราอิ่ม ไม่เคยอดเลยสักมื้อ พ่อที่ยอมหิ้วของที่เราสั่งซื้อมาให้เรา ทุกอย่างที่เราต้องการ พ่อที่ยอมลำบากทุกอย่างเพื่อให้เราสุขสบาย พ่อที่คอยเป็นห่วงเราเสมอ ไม่ว่าเราจะเป็นยังไง และเราจะบอกว่าถึงเราจะพยายามเก็บกระดาษอาร์ตมันที่เราขอพ่อมาปริ้นงานให้ดีแค่ไหนวันนั้นสุดท้ายมันก็มีรอยยับอยู่ดี เป็นเพราะวันนั้นทั้งวันเราทั้งเดินทั้งวิ่ง เพื่อขึ้นรถเมล์กลับหอ มันก็เลยยับ ซึ่งเราก็คิดว่า พ่อเองก็คงเป็นแบบนี้เหมือนกัน เรื่องวันนั้น สอนอะไรเราหลายๆอย่างมาก แต่สิ่งนึงที่ชัดเจนที่สุดในความรู้สึกเราก็คือ เรายิ้มโคตรภูมิใจเลยที่ได้เกิดมาเป็นลูกพ่อ ไม่ว่าใครจะมองพ่อเราว่าเป็นคนบ้าหอบฟางมาจากไหนก็เถอะ แต่ที่ท่านทำ ก็เพราะท่านรักคนในครอบครัวมาก ไม่อยากให้ใครอด ที่ท่านต้องเลือกที่จะใช้ถุงพลาสติกมาใส่ของ ก็เพราะมันเบากว่าถุงผ้า แล้วมันก็ใส่ของได้เยอะ เยอะพอที่จะเลี้ยงคนในบ้านให้อิ่มและสุขสบายได้ หลังจากนี้ เรากล้าบอกได้เต็มปากอย่างไม่อายใครเลย ว่าผู้ชายที่ชอบหิ้วถุงพลาสติกผูกเชือกฟางพาดบ่าคนเนี้ยแหละคือพ่อแท้ๆของเรา แล้วเราก็ไม่เคยอายด้วย ที่จะต้องสะพายถุงพวกนั้นใส่บ่าเหมือนท่าน เพื่อแบ่งเบาความหนักของพ่อ สิ่งที่หนูอยากจะบอกพ่อก็คือ ขอบคุณนะคะพ่อ...ขอบคุณจากใจจริงที่ดูแลลูกคนนี้เป็นอย่างดีมาตลอด ทั้งหมดที่พ่อให้หนูมา หนูว่ามันยังมากเกินไปด้วยซ้ำสำหรับหนู สำหรับเด็กน้อยนิสัยแย่ๆคนนึง ที่เคยอายว่าเป็นลูกพ่อ รู้สึกอยากตบหน้าตัวเองมาก ที่เคยเป็นแบบนั้นในวัยเด็ก พอโตมาถึงรู้จริงๆ ว่าคนที่รักเรามากที่สุดก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย นอกจาก คนบ้าหอบฟาง ที่ชอบใช้กระเป๋าแบรนเนมเป็นถุงพลาสติกที่ผูกหูด้วยเชือกฟางสะพายบ่าคนนี้นี่เอง
อยากให้เรื่องของเราเป็นอุทาหรสอนใจวัยรุ่นสมัยนี้ ที่คอยเฝ้าตามหาความรักของคนนอกบ้าน จนบางครั้งเผลอหลงลืมความรักของคนในบ้านที่รักเราที่สุดในดวงใจเขาไป วันนี้มันยังไม่สายไปนะถ้าจะลองหันกลับไปมองพวกท่านดู แล้วคุณจะรู้ว่าพวกเขารักคุณมากแค่ไหน...
#เท่จะตายกระเป๋าแบรนเนมคู่ #มีความเป็นพ่อลูก #แชร์เรื่องของเราต่อได้นะ #อยากโลกรู้ว่าเรามีพ่อน่ารักแค่ไหน #คนอวดพ่อ #ดีต่อใจ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่