คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
น่าเกลียดมากคะ เพราะบางคนเขาไม่มีความรู้หรือไม่เท่าทันการตลาด ยากนะคะเลี้ยงลูกสมัยนี้ สื่อเยอะเกินข้อมูลล้นหลาม จนเกิดความกังวลเกินเหตุ นมไม่พอนู่นนี่นั่นเปรียบเทียบอวดกันเรื่องความฉลาด โอ้ยลูกนะคะไม่ใช่ของประดับที่เอาไปอวดกัน พ่อแม่บางคนค่าแรง300ใช้นมผงเลี้ยงลูก โอ้ยเพราะอะไรคะ มีข้ออ้าง108ที่ใช้นมผง เพราะสะดวกไง เลี้ยงนมแม่มันเหนื่อย นมเสียทรง ละ ละ ละ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
แฉเล่ห์กลลวง บริษัทนมผง...แหกตาคนไทย
ทั้งๆ ที่ “นมแม่” มีคุณค่าเหนือกว่า “นมผง” มากมาย แต่อิทธิพลโฆษณาจากบริษัท “นมผง” ก็สร้างภาพและความเชื่อว่านมผงดีเทียบเท่านมแม่ กระทั่งทำให้แม่เกิดความเข้าใจผิด และหันไปใช้นมผงมากขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่มีอาหารอะไรที่มีคุณค่า และสามารถทดแทนนมแม่ได้เลย
สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของไทยลดต่ำลงเหลือเพียงร้อยละ 12 ซึ่งน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมดในกลุ่มประเทศอาเซียน” ดร.บวรสรรค์ เจี่ยดำรง ตัวแทนคณะผู้วิจัยจาก “โครงการการสื่อสารเพื่อสนับสนุนนมแม่และผลักดันร่างพ.ร.บ. ควบคุมการส่งเสริมตลาดอาหารทารกและเด็กเล็กฯ” เผย
พร้อมแจกแจงให้ฟังว่า “การวิจัยกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดของบริษัทนมผงและการละเมิด CODE พบว่า อุตสาหกรรมนมผงได้ใช้กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการโดยมีเครื่องมือการสื่อสารที่สำคัญ 7 ประการได้แก่ การโฆษณา, การส่งเสริมการขาย, พนักงานขาย, การขายตรง, การตลาดอินเตอร์เน็ต, การแสดงสินค้า ณ จุดขาย และบรรจุภัณฑ์
ซึ่งรูปแบบดังกล่าวล้วนแต่เป็นการละเมิด CODE ทั้งสิ้น และจากอิทธิผลของการสื่อสารการตลาดเหล่านี้ได้สร้างวาทกรรมและมายาคติที่ส่งผลต่อความคิด และความเชื่อแก่แม่ว่าสารอาหารในนมผงมีเทียบเท่ากับนมแม่ผ่านการใช้ภาษาทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ อีกทั้งการใช้ภาษาโฆษณายังสร้างความกังวลใจให้กับแม่ว่านมแม่อาจมีสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้เกิดความลังเลใจที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก
การสื่อสารการตลาดที่ละเมิด CODE ในปัจจุบัน มีผลให้แม่เชื่อและลังเลว่าจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ หรือจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แล้วใช่นมผงร่วม หรือจะใช้นมผงอย่างเดียว” ดร.บวรสรรค์ กล่าว
ก่อนจะกระซิบดังๆ ว่า “ปัจจัยสำคัญที่สุดที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจ คือการใช้บุคลากรทางการแพทย์เป็นเครื่องมือในการสื่อสารการตลาดในรูปแบบต่างๆ อาทิ การเป็นวิทยากร การแจกตัวอย่างนม หรือการใช้พื้นที่ของสถานพยาบาลแสดงเครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ของนมผง”
23 ปี มหากาพย์วิบากกรรม “นมแม่”
จากหลายเหตุหลายปัจจัย ก่อเกิดมหากาพย์ วิบากกรรม “นมแม่” ที่ยืดเยื้อนานกว่า 23 ปี จนสังคมไทยตั้งคำถาม ว่าเกิดอะไรกับ พ.ร.บ. ฉบับนี้ “จริงๆ แล้วเราต้องรู้ก่อนว่าเราไม่ได้มาขัดขวางการขายนมนะ” อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ที่ปรึกษากรมอนามัย และผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. และดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย เผยเจตนาในการผลักดัน พ.ร.บ. ฉบับนี้ให้ฟัง พร้อมกับยืนยันว่า
“เราไม่ได้มาขัดขวางธุรกิจนม แต่เราลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิให้กับเด็ก ซึ่งไม่สามารถปกป้องคุ้มครองตนเองได้ ตรงนี้ทุกภาคส่วนที่จะเข้ามาทำจะต้องเห็นตรงกันก่อนว่า เราจะต้องคุ้มครองเด็ก เพื่อจะให้เด็กไทยได้กินนมแม่มากขึ้น
เมื่อเห็นไม่ตรงกันวิบากกรรมจึงเกิดขึ้น เพราะภาคธุรกิจที่ทำเรื่องอาหารทารก มองว่าถ้า พ.ร.บ. ฉบับนี้ออกมาแล้วจะไปขัดขวางการทำมาหากินของเขา เพราะกลัวว่าจะทำให้ขายผลิตภัณฑ์สินค้าได้น้อยลง พอมองกันคนละมุมอย่างนี้ จึงจูนเข้าหากันไม่ได้ มันก็เลยเกิดวิบากกรรมอย่างที่เป็นอยู่
หลังศึกษาดูว่า ทำไมหลายประเทศถึงออกกฎหมายฉบับนี้ออกมาคุ้มครองสิทธิเด็กสำเร็จ ทั้งๆที่ทำภายใต้เงื่อนไขทางภาคธุรกิจที่ทำกับตลาดทารก ?
ประเด็นนี้ฟังดีดีนะครับ ประเทศเหล่านั้นไม่มีข้อตกลงร่วมกับภาครัฐบาล สรุปง่ายๆก็คือCODE นมจะประสบความสำเร็จ ทุกภาคส่วนจะต้องเห็นดีเห็นงามพร้อมกัน มันถึงจะเป็นไปได้ ทีนี้ถามว่าทำไมประเทศไทยถึงไม่ไปไหน เพราะทุกภาคส่วนยังมองไม่เห็นประโยชน์ร่วมกัน มันก็เลยเกิดการขัดแย้งกัน คือยังจูนคอนเซ็ปต์ไม่ตรงกัน ระหว่างภาครัฐบาลที่จะผลักเรื่องนี้ กับภาคธุรกิจ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีการประชุมกันเยอะมาก
แต่มีอยู่บางจุดที่ทางภาคธุรกิจเขียนว่า “ไม่สามารถปฏิบัติได้” อันนี้อาจารย์ไม่ขอลงรายละเอียดนะว่ามันคืออะไร พอเขาบอกว่าปฏิบัติไม่ได้ปุ๊บ ภาครัฐฯ ก็ไปศึกษาจากต่างประเทศว่าทำไมในประเทศที่ทำเสร็จแล้ว จึงยอมทำตามเงื่อนไข แล้วทำไมภาคธุรกิจในประเทศไทยจึงไม่ยอม
ทีนี้ก็เลยเกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า เหตุใดตลาดอาหารทารกในประเทศไทยจึงไม่ยอมเดินทางตามสากล ที่เขาดำเนินกันอยู่
ถ้าถามว่าแล้วจะเดินหน้าต่ออย่างไรในมุมมองของอาจารย์ สิ่งที่เป็นไปได้จริง จะต้องเกิดจากโต๊ะเจรจา คือต้องมีการเจรจาแล้วให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมมากกว่านี้ จากนั้นทำให้ภาคอาหารทารกเกิดความรู้สึกว่า เขาไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย “ยังขายได้อยู่ แต่ขายอย่างถูกที่ถูกทาง ขายอย่างถูกกฎหมายซะ” ก็แค่หันไปทำธุรกิจนมสำหรับเด็กโต
ส่วนเด็กเล็ก ถ้าคิดว่า พ.ร.บ. นี้ออกมาแล้วจะทำให้รายได้ของบริษัทลดลง คุณก็ต้องเห็นแก่เด็กไทยที่เป็นลูกหลานของคุณเหมือนกัน เพราะงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า ถ้าขืนปล่อยให้ตลาดนมผงเกลื่อนกลาดอยู่อย่างนี้ อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะลดลงอีก แล้วลูกหลานเราจะเติบโตได้อย่างไร ?
ผมว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องทำเรื่องนี้ คนที่เป็นแม่ก็ต้องเรียกร้อง ประชาชนเองก็ต้องเรียกร้อง เพื่อช่วยกันขับเคลื่อน พ.ร.บ. ฉบับนี้ จากทุกภาคส่วนตามความต้องการของประชาชน
เราคงไม่สามารถบอกได้ว่า ถ้าไม่มี พ.ร.บ. นี้ออกมา จะมีผลโดยตรงต่อการพัฒนาประเทศเท่าไร เพียงแต่เราบอกได้ว่า นมแม่ จะทำให้เด็กไทยมีศักยภาพในการเจริญเติบโตเต็มตามศักยภาพ มีภูมิคุ้มกันในการเจ็บป่วยน้อยลง เด็กไทยจะมีไอคิวที่ดีขึ้น เด็กไทยจะมีความฉลาดทางอารมณ์มากขึ้น
ตรงกันข้ามถ้าไม่ได้กินนมแม่อย่างถูกต้อง และเพียงพอ เด็กไทยที่โตขึ้นก็อาจจะมีศักยภาพในการเจริญเติบโตที่ด้อย เป็นผู้ใหญ่ที่มีสมรรถภาพในการทำงานต่ำกว่าความเป็นจริง ฉะนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้น มันก็จะครบทุกด้านของประเทศไทย พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเด็กไทยไม่ได้กินนมแม่ในวันนี้ คุณภาพและศักยภาพของคนไทยในอนาคตมันก็จะด้อยลง และมีผลต่อการพัฒนาประเทศทุกด้านเช่นกัน”
สุดท้ายอาจารย์สง่า ดามาพงษ์ แนะว่า ที่สำคัญคนไทยต้องรู้ว่า “พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมตลาดอาหารทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง CODE (International Code of Marketing of Breast-Milk Substitutes ) มีประโยชน์กับลูกหลานเราแค่ไหน มีใจความสำคัญอย่างไร (อ่านล้อมกรอบ 9ใจความสำคัญของ Code นม ที่คนไทยต้องรู้ ) ทั้งนี้เพื่อเราจะได้เท่าทันกลเกมการตลาดบริษัทนมผง ที่สำคัญเด็กไทยจะได้เติบโตเต็มตามศักยภาพ เด็กไทยจะมีภูมิคุ้มกันที่ดีครับ
9 ใจความสำคัญของ Code นม ที่คนไทยต้องรู้
1. บริษัทผู้ผลิต และผู้จำหน่ายอาหารทารกและเด็ก ห้ามโฆษณาและทำการตลาดสินค้าในทุกรูปแบบ ทุกช่องทางของการโฆษณา ไม่ว่าโทรทัศน์ วิทยุ เว็บไซต์ (Website) หรือ นิตยสารต่างๆ หรือแม้กระทั่งนิตยสารที่เกี่ยวกับแม่และเด็กโดยตรง รวมถึงสถานที่สาธารณะทุกแห่ง
2. ห้ามพนักงานขายติดต่อกับหญิงตั้งครรภ์ แม่ และครอบครัว ในอดีตพนักงานบริษัท อาศัยช่องทางจากการขาดแคลนบุคลากรสาธารณสุข โดยเสนอความช่วยเหลือจัดชั้นสอนสุขศึกษา ผลิตสื่อต่างๆ ให้ ขณะเดียวกันก็ได้สอดแทรกโฆษณาผลิตภัณฑ์ของตนเข้าไปด้วย ทำให้แม่เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าพนักงานบริษัทได้รับการเห็นชอบจากเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล
3. ห้ามบริจาคนมผงสำหรับทารกและเด็กเล็ก การบริจาคนั้นไม่ได้เป็นการกุศล แต่เป็นวิธีการตลาดที่รู้กันว่ามีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงไม่ควรให้การบริจาคมีส่วนเข้ามาแทรกแซงการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
4. บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กควรปฏิบัติตาม CODE แม้ว่าประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะของ CODE นมก็ตาม
5. ห้ามสถานบริการสาธารณสุข ส่งเสริมธุรกิจอาหารทารกและเด็กเล็ก
6. ห้ามสถานบริการสาธารณสุข ติดสื่อประชาสัมพันธ์ของบริษัท ไม่รับและติดแสดงสื่อของบริษัท อาทิ โปสเตอร์ เอกสาร ปฏิทินตั้งโต๊ะ ที่มียี่ห้อสินค้าและเครื่องหมายการค้าของบริษัทตามห้องตรวจแพทย์ หอผู้ป่วย หรือพื้นที่ที่ให้บริการ
7. ห้ามสถานบริการสาธารณสุข สนับสนุนด้านการเงิน เพื่อจัดประชุมสัมมนาเชิงวิชาการไม่เป็นการละเมิด CODE แต่ต้องกระทำโดยเปิดเผย ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใด ๆ ซ่อนอยู่
8. ห้ามบุคลากรสาธารณสุข เสนอข้อมูลสินค้าของบริษัทที่ให้แก่แพทย์ พยาบาล และนักโภชนาการ จะต้องเป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และเป็นจริง ไม่ใช่ข้อมูลในเชิงโฆษณา
9. ห้ามบุคลากรสาธารณสุข รับตัวอย่างนมผง
ที่มา - ความจริง ที่บริษัทนมผงไม่กล้าบอก โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กันยายน 2557
ทั้งๆ ที่ “นมแม่” มีคุณค่าเหนือกว่า “นมผง” มากมาย แต่อิทธิพลโฆษณาจากบริษัท “นมผง” ก็สร้างภาพและความเชื่อว่านมผงดีเทียบเท่านมแม่ กระทั่งทำให้แม่เกิดความเข้าใจผิด และหันไปใช้นมผงมากขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่มีอาหารอะไรที่มีคุณค่า และสามารถทดแทนนมแม่ได้เลย
สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของไทยลดต่ำลงเหลือเพียงร้อยละ 12 ซึ่งน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมดในกลุ่มประเทศอาเซียน” ดร.บวรสรรค์ เจี่ยดำรง ตัวแทนคณะผู้วิจัยจาก “โครงการการสื่อสารเพื่อสนับสนุนนมแม่และผลักดันร่างพ.ร.บ. ควบคุมการส่งเสริมตลาดอาหารทารกและเด็กเล็กฯ” เผย
พร้อมแจกแจงให้ฟังว่า “การวิจัยกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดของบริษัทนมผงและการละเมิด CODE พบว่า อุตสาหกรรมนมผงได้ใช้กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการโดยมีเครื่องมือการสื่อสารที่สำคัญ 7 ประการได้แก่ การโฆษณา, การส่งเสริมการขาย, พนักงานขาย, การขายตรง, การตลาดอินเตอร์เน็ต, การแสดงสินค้า ณ จุดขาย และบรรจุภัณฑ์
ซึ่งรูปแบบดังกล่าวล้วนแต่เป็นการละเมิด CODE ทั้งสิ้น และจากอิทธิผลของการสื่อสารการตลาดเหล่านี้ได้สร้างวาทกรรมและมายาคติที่ส่งผลต่อความคิด และความเชื่อแก่แม่ว่าสารอาหารในนมผงมีเทียบเท่ากับนมแม่ผ่านการใช้ภาษาทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ อีกทั้งการใช้ภาษาโฆษณายังสร้างความกังวลใจให้กับแม่ว่านมแม่อาจมีสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้เกิดความลังเลใจที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก
การสื่อสารการตลาดที่ละเมิด CODE ในปัจจุบัน มีผลให้แม่เชื่อและลังเลว่าจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ หรือจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แล้วใช่นมผงร่วม หรือจะใช้นมผงอย่างเดียว” ดร.บวรสรรค์ กล่าว
ก่อนจะกระซิบดังๆ ว่า “ปัจจัยสำคัญที่สุดที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจ คือการใช้บุคลากรทางการแพทย์เป็นเครื่องมือในการสื่อสารการตลาดในรูปแบบต่างๆ อาทิ การเป็นวิทยากร การแจกตัวอย่างนม หรือการใช้พื้นที่ของสถานพยาบาลแสดงเครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ของนมผง”
23 ปี มหากาพย์วิบากกรรม “นมแม่”
จากหลายเหตุหลายปัจจัย ก่อเกิดมหากาพย์ วิบากกรรม “นมแม่” ที่ยืดเยื้อนานกว่า 23 ปี จนสังคมไทยตั้งคำถาม ว่าเกิดอะไรกับ พ.ร.บ. ฉบับนี้ “จริงๆ แล้วเราต้องรู้ก่อนว่าเราไม่ได้มาขัดขวางการขายนมนะ” อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ที่ปรึกษากรมอนามัย และผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. และดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย เผยเจตนาในการผลักดัน พ.ร.บ. ฉบับนี้ให้ฟัง พร้อมกับยืนยันว่า
“เราไม่ได้มาขัดขวางธุรกิจนม แต่เราลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิให้กับเด็ก ซึ่งไม่สามารถปกป้องคุ้มครองตนเองได้ ตรงนี้ทุกภาคส่วนที่จะเข้ามาทำจะต้องเห็นตรงกันก่อนว่า เราจะต้องคุ้มครองเด็ก เพื่อจะให้เด็กไทยได้กินนมแม่มากขึ้น
เมื่อเห็นไม่ตรงกันวิบากกรรมจึงเกิดขึ้น เพราะภาคธุรกิจที่ทำเรื่องอาหารทารก มองว่าถ้า พ.ร.บ. ฉบับนี้ออกมาแล้วจะไปขัดขวางการทำมาหากินของเขา เพราะกลัวว่าจะทำให้ขายผลิตภัณฑ์สินค้าได้น้อยลง พอมองกันคนละมุมอย่างนี้ จึงจูนเข้าหากันไม่ได้ มันก็เลยเกิดวิบากกรรมอย่างที่เป็นอยู่
หลังศึกษาดูว่า ทำไมหลายประเทศถึงออกกฎหมายฉบับนี้ออกมาคุ้มครองสิทธิเด็กสำเร็จ ทั้งๆที่ทำภายใต้เงื่อนไขทางภาคธุรกิจที่ทำกับตลาดทารก ?
ประเด็นนี้ฟังดีดีนะครับ ประเทศเหล่านั้นไม่มีข้อตกลงร่วมกับภาครัฐบาล สรุปง่ายๆก็คือCODE นมจะประสบความสำเร็จ ทุกภาคส่วนจะต้องเห็นดีเห็นงามพร้อมกัน มันถึงจะเป็นไปได้ ทีนี้ถามว่าทำไมประเทศไทยถึงไม่ไปไหน เพราะทุกภาคส่วนยังมองไม่เห็นประโยชน์ร่วมกัน มันก็เลยเกิดการขัดแย้งกัน คือยังจูนคอนเซ็ปต์ไม่ตรงกัน ระหว่างภาครัฐบาลที่จะผลักเรื่องนี้ กับภาคธุรกิจ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีการประชุมกันเยอะมาก
แต่มีอยู่บางจุดที่ทางภาคธุรกิจเขียนว่า “ไม่สามารถปฏิบัติได้” อันนี้อาจารย์ไม่ขอลงรายละเอียดนะว่ามันคืออะไร พอเขาบอกว่าปฏิบัติไม่ได้ปุ๊บ ภาครัฐฯ ก็ไปศึกษาจากต่างประเทศว่าทำไมในประเทศที่ทำเสร็จแล้ว จึงยอมทำตามเงื่อนไข แล้วทำไมภาคธุรกิจในประเทศไทยจึงไม่ยอม
ทีนี้ก็เลยเกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า เหตุใดตลาดอาหารทารกในประเทศไทยจึงไม่ยอมเดินทางตามสากล ที่เขาดำเนินกันอยู่
ถ้าถามว่าแล้วจะเดินหน้าต่ออย่างไรในมุมมองของอาจารย์ สิ่งที่เป็นไปได้จริง จะต้องเกิดจากโต๊ะเจรจา คือต้องมีการเจรจาแล้วให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมมากกว่านี้ จากนั้นทำให้ภาคอาหารทารกเกิดความรู้สึกว่า เขาไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย “ยังขายได้อยู่ แต่ขายอย่างถูกที่ถูกทาง ขายอย่างถูกกฎหมายซะ” ก็แค่หันไปทำธุรกิจนมสำหรับเด็กโต
ส่วนเด็กเล็ก ถ้าคิดว่า พ.ร.บ. นี้ออกมาแล้วจะทำให้รายได้ของบริษัทลดลง คุณก็ต้องเห็นแก่เด็กไทยที่เป็นลูกหลานของคุณเหมือนกัน เพราะงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า ถ้าขืนปล่อยให้ตลาดนมผงเกลื่อนกลาดอยู่อย่างนี้ อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะลดลงอีก แล้วลูกหลานเราจะเติบโตได้อย่างไร ?
ผมว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องทำเรื่องนี้ คนที่เป็นแม่ก็ต้องเรียกร้อง ประชาชนเองก็ต้องเรียกร้อง เพื่อช่วยกันขับเคลื่อน พ.ร.บ. ฉบับนี้ จากทุกภาคส่วนตามความต้องการของประชาชน
เราคงไม่สามารถบอกได้ว่า ถ้าไม่มี พ.ร.บ. นี้ออกมา จะมีผลโดยตรงต่อการพัฒนาประเทศเท่าไร เพียงแต่เราบอกได้ว่า นมแม่ จะทำให้เด็กไทยมีศักยภาพในการเจริญเติบโตเต็มตามศักยภาพ มีภูมิคุ้มกันในการเจ็บป่วยน้อยลง เด็กไทยจะมีไอคิวที่ดีขึ้น เด็กไทยจะมีความฉลาดทางอารมณ์มากขึ้น
ตรงกันข้ามถ้าไม่ได้กินนมแม่อย่างถูกต้อง และเพียงพอ เด็กไทยที่โตขึ้นก็อาจจะมีศักยภาพในการเจริญเติบโตที่ด้อย เป็นผู้ใหญ่ที่มีสมรรถภาพในการทำงานต่ำกว่าความเป็นจริง ฉะนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้น มันก็จะครบทุกด้านของประเทศไทย พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเด็กไทยไม่ได้กินนมแม่ในวันนี้ คุณภาพและศักยภาพของคนไทยในอนาคตมันก็จะด้อยลง และมีผลต่อการพัฒนาประเทศทุกด้านเช่นกัน”
สุดท้ายอาจารย์สง่า ดามาพงษ์ แนะว่า ที่สำคัญคนไทยต้องรู้ว่า “พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมตลาดอาหารทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง CODE (International Code of Marketing of Breast-Milk Substitutes ) มีประโยชน์กับลูกหลานเราแค่ไหน มีใจความสำคัญอย่างไร (อ่านล้อมกรอบ 9ใจความสำคัญของ Code นม ที่คนไทยต้องรู้ ) ทั้งนี้เพื่อเราจะได้เท่าทันกลเกมการตลาดบริษัทนมผง ที่สำคัญเด็กไทยจะได้เติบโตเต็มตามศักยภาพ เด็กไทยจะมีภูมิคุ้มกันที่ดีครับ
9 ใจความสำคัญของ Code นม ที่คนไทยต้องรู้
1. บริษัทผู้ผลิต และผู้จำหน่ายอาหารทารกและเด็ก ห้ามโฆษณาและทำการตลาดสินค้าในทุกรูปแบบ ทุกช่องทางของการโฆษณา ไม่ว่าโทรทัศน์ วิทยุ เว็บไซต์ (Website) หรือ นิตยสารต่างๆ หรือแม้กระทั่งนิตยสารที่เกี่ยวกับแม่และเด็กโดยตรง รวมถึงสถานที่สาธารณะทุกแห่ง
2. ห้ามพนักงานขายติดต่อกับหญิงตั้งครรภ์ แม่ และครอบครัว ในอดีตพนักงานบริษัท อาศัยช่องทางจากการขาดแคลนบุคลากรสาธารณสุข โดยเสนอความช่วยเหลือจัดชั้นสอนสุขศึกษา ผลิตสื่อต่างๆ ให้ ขณะเดียวกันก็ได้สอดแทรกโฆษณาผลิตภัณฑ์ของตนเข้าไปด้วย ทำให้แม่เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าพนักงานบริษัทได้รับการเห็นชอบจากเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล
3. ห้ามบริจาคนมผงสำหรับทารกและเด็กเล็ก การบริจาคนั้นไม่ได้เป็นการกุศล แต่เป็นวิธีการตลาดที่รู้กันว่ามีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงไม่ควรให้การบริจาคมีส่วนเข้ามาแทรกแซงการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
4. บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กควรปฏิบัติตาม CODE แม้ว่าประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะของ CODE นมก็ตาม
5. ห้ามสถานบริการสาธารณสุข ส่งเสริมธุรกิจอาหารทารกและเด็กเล็ก
6. ห้ามสถานบริการสาธารณสุข ติดสื่อประชาสัมพันธ์ของบริษัท ไม่รับและติดแสดงสื่อของบริษัท อาทิ โปสเตอร์ เอกสาร ปฏิทินตั้งโต๊ะ ที่มียี่ห้อสินค้าและเครื่องหมายการค้าของบริษัทตามห้องตรวจแพทย์ หอผู้ป่วย หรือพื้นที่ที่ให้บริการ
7. ห้ามสถานบริการสาธารณสุข สนับสนุนด้านการเงิน เพื่อจัดประชุมสัมมนาเชิงวิชาการไม่เป็นการละเมิด CODE แต่ต้องกระทำโดยเปิดเผย ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใด ๆ ซ่อนอยู่
8. ห้ามบุคลากรสาธารณสุข เสนอข้อมูลสินค้าของบริษัทที่ให้แก่แพทย์ พยาบาล และนักโภชนาการ จะต้องเป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และเป็นจริง ไม่ใช่ข้อมูลในเชิงโฆษณา
9. ห้ามบุคลากรสาธารณสุข รับตัวอย่างนมผง
ที่มา - ความจริง ที่บริษัทนมผงไม่กล้าบอก โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กันยายน 2557
ความคิดเห็นที่ 5
ดาราเราไม่สงสัยนะคะ โฆษณา(โดยที่ไม่เคยใช้สินค้าเขา)ก็มีออกบ่อยเเละเยอะ
เเต่ที่น่าประนามกว่านั้น คือบริษัทนมผงบางบริษัท เข้าทางพยาบาลเเละหมอค่ะ (โดยค่าคอมมิสชั่นหรือการไปเที่ยว ตปท)
ซึ่งถ้าเป็นกลุ่มพ่อแม่ที่ไม่ได้ใส่ใจเล่นโซเชียล หรือหาความรู้ออนไลน์
หมอกับพยาบาลพูดอะไรมาก็เชื่อหมด อันนี้อันตรายเเละไร้จรรยาบรรณมาก
เเต่ที่น่าประนามกว่านั้น คือบริษัทนมผงบางบริษัท เข้าทางพยาบาลเเละหมอค่ะ (โดยค่าคอมมิสชั่นหรือการไปเที่ยว ตปท)
ซึ่งถ้าเป็นกลุ่มพ่อแม่ที่ไม่ได้ใส่ใจเล่นโซเชียล หรือหาความรู้ออนไลน์
หมอกับพยาบาลพูดอะไรมาก็เชื่อหมด อันนี้อันตรายเเละไร้จรรยาบรรณมาก
ความคิดเห็นที่ 40

ผิดหวังกับซาร่ามาก เห็นสนับสนุนเรื่องนมแม่ตลอด
ยิ่งเมื่อก่อนคือน้องต้องนมแม่เท่านั้น
ปัจจุบันน้องทานนมแม่อยู่ไหมไม่รู้ เพราะเริ่มโตแล้ว
แต่เมื่อก่อนซาร่าจะเน้นเรื่องนมแม่มาก
แล้วนี่อะไร กลายมาโฆษณานมผงชวนเชื่อซะงั้น
ไม่ได้แอนตี้นมผง คุณแม่บางคนก็ไม่มีให้จริง
แต่แบรนด์ควรทำให้ถูกต้อง และดาราต้องไม่ขัดกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำมาตลอด เข้าใจว่าได้เงิน แต่มันน่าอายอ่ะ
อารมณ์แบบ รณรงค์เรื่องนมแม่อยู่ดีๆ อยู่ๆมาสนับสนุนนมผงซะงั้น มันเลยดูงงๆ รวมถึงดาราท่านอื่นด้วย

ผิดหวังกับซาร่ามาก เห็นสนับสนุนเรื่องนมแม่ตลอด
ยิ่งเมื่อก่อนคือน้องต้องนมแม่เท่านั้น
ปัจจุบันน้องทานนมแม่อยู่ไหมไม่รู้ เพราะเริ่มโตแล้ว
แต่เมื่อก่อนซาร่าจะเน้นเรื่องนมแม่มาก
แล้วนี่อะไร กลายมาโฆษณานมผงชวนเชื่อซะงั้น
ไม่ได้แอนตี้นมผง คุณแม่บางคนก็ไม่มีให้จริง
แต่แบรนด์ควรทำให้ถูกต้อง และดาราต้องไม่ขัดกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำมาตลอด เข้าใจว่าได้เงิน แต่มันน่าอายอ่ะ
อารมณ์แบบ รณรงค์เรื่องนมแม่อยู่ดีๆ อยู่ๆมาสนับสนุนนมผงซะงั้น มันเลยดูงงๆ รวมถึงดาราท่านอื่นด้วย
แสดงความคิดเห็น
มาอีกแล้ว viral แบบเบียร์ช้าง แต่คราวนี้เกิดขึ้นโดยบริษัทนมผงชื่อดัง
แต่ก็ยังมีหลายคนที่ขาดความรู้ รวมทั้งคนรุ่นก่อนที่มีอิทธิพลต่อคุณแม่
โดยเชื่อว่านมผงนั้นมีสารอาหารเทียบเคียงนมแม่ได้ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย
เมื่อวันก่อนเราได้เห็นโพสนี้จากคุณหมอซึ่งเป็นกุมารแพทย์ชื่อดังท่านหนึ่งที่มีคนติดตามมากมายบน FB และท่านเป็นหมอที่สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมมแม่เป็นอย่างมาก
https://www.facebook.com/SuthiRaXeuxPhirocnKic/posts/1485657208127088
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดยก่อนหน้านี้ดาราหลายคนที่มีคนติดตามมากมาย สินค้าหลายๆอย่างถ้าเป็นดาราใช้คนก็มักจะเชื่อว่าดี ยิ่งถ้าเป็นดาราที่เพิ่งมีลูกด้วย บางคนถึงกับยอมซื้อเสื้อผ้าหรือของเล่นแพงๆแบบนั้นให้กับลูกตัวเองบ้างเพราะคิดว่ามันจะต้องดีแน่ๆ เพราะขนาดดาราที่มีรายได้มากมายเค้ายังซื้อให้ลูกเค้าเล่น/ใช้เลย
ล่าสุดได้มีการตลาดบนเฟสบุคที่บริษัทนมผมจ้างให้คุณแม่ดาราหลายคนโพสภาพลูกนอนคู่กับหนังสือ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ซึ่งดูรู้ทันทีเลยว่าเป็นของแบรนด์นมผงแบรนด์ไหน
ทั้งๆที่คุณแม่ดาราเหล่านั้นก็เลี้ยงลูกด้วยนมแม่
แม้แต่ดาราท่านหนึ่งที่หลายคนชื่นชมในความเป็นคนมีอุดมการณ์ มีความเป็นตัวของตัวเอง ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับอำนาจเงินจากบริษัทนมผง
โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงว่าสิ่งที่พวกคุณกำลังทำอยู่ได้เป็นการทำร้ายเด็กตัวเล็กๆมากมายที่จะมีโอกาสเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการไม่ได้กินนมแม่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในเคสของสินค้าอื่นๆ อย่างเช่นกรณีของน้ำเมายี่ห้อหนึ่งที่เคยเป็น viral ไปก่อนหน้านี้จนดาราหลายๆคนที่รับงานนั้นต้องออกมายอมรับและกล่าวขอโทษผ่านสื่อ เรายังเข้าใจได้นะว่าของเหล่านั้นอย่างน้อยมันก็ยังเป็นของสำหรับผู้ใหญ่ ที่ส่วนมากก็คือมีความคิดความอ่านกันและ ถ้าจะเลือกกิน/ดื่มสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพของตัวเอง มันก็เป็นสิ่งที่ตัวเค้าเลือกเอง แต่เพราะมันมีกฏหมายควบคุมอยู่ ถึงได้เป็นกรณีขึ้นมา
แต่ในเคสของนมผง ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือเด็กตัวนิดเดียว ที่ยังไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ ถึงเวลาหิวคนเลี้ยงป้อนอะไรก็ได้กินอย่างนั้น ถามว่ามันถูกต้องแล้วหรือ ที่ดาราหลายๆท่านที่รับเงินโฆษณาตรงนี้ไม่ได้รู้สึกเลยว่าคุณกำลังทำร้ายเด็กตั้งไม่รู้กี่ร้อยกี่พันคน และที่ร้ายที่สุดคือบริษัทนมผงยี่ห้อดังกล่าว คุณโหมทำโฆษณาหนักมากมาแต่ไหนแต่ไรโดยอาศัยช่องโหว่ของกฏหมายที่ ประเทศไทยไม่ได้มีการควบคุมเรื่องการตลาดของอาหารเด็กอ่อนอย่างจริงจัง ทั้งที่ควรจะมีมากๆ
โดยส่วนตัว จขกท. เป็นคนนึงที่เคยน้ำนมมีไม่พอให้ลูกกิน ก็ต้องเสริมนมผง แต่ก็ไม่เคยคิดจะให้กินนมผงยี่ห้อดังกล่าวเลย เพราะยอมรับว่ารู้สึกไม่ดีต่อนมผงยี่ห้อดังกล่าวเป็นอย่างมาก แต่ก็พยายามไปปรึกษาคลินิกนมแม่จนในที่สุดลูก จขกท. ก็เป็นเด็กนมแม่ล้วนได้สำเร็จ เพราะฉะนั้น จขกท. เข้าใจถึงความจำเป็นหรือความลำบากที่ทำให้แม่หลายๆคนท้อใจจนต้องให้ลูกกินนมผงได้เป็นอย่างดีค่ะ ไม่ได้แอนตี้แม่ที่ให้ลูกกินนมผงแต่อย่างใด
จนถึงตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าภาครัฐจะออกกฏหมายควบคุมการตลาดนมผงอย่างจริงจัง เพราะตราบใดที่ยังปล่อยให้บริษัทเหล่านี้ทำการค้าโดยไร้จรรยาบรรแบบนี้อยู่ ผู้ที่รับกรรมก็คือเด็กตาดำๆที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย แถมแม่ของเด็กที่มีความจำเป็นต้องกินนมผงจริงๆ ก็จะต้องจ่ายเงินซื้อนมผงที่แพงในราคาเกินจริง เพราะมีต้นทุนค่าการตลาดที่เพิ่มขึ้นมาก