เกริ่นนำ
ก่อนอื่นเลย ขอสวัสดีพี่ๆน้องๆเพื่อนๆชาวพันทิปทุกท่านครับ

ครั้งนี้จะเป็นการกล่าวถึงมินิทริปสั้นๆเล็กๆ ที่ใช้แรงกายมากมายมหาศาล
แถมยังเป็นการแบกเป้ full-option ครั้งแรกของ จขกท ด้วย
มาดูกันครับว่าจะลำบากยากเย็นขนาดไหนกว่าจะไปถึง เจ้าน้ำตกเปรโต๊ะลอซู
หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ปิตุ๊โกร แล้วทำไมถึงได้บอกว่า 'ผู้แสนลึกลับ' ทั้งๆที่ก็เห็นมีคนไปกันเยอะ อยากรู้ต้องอ่านครับ ^^
อนึ่งรีวิวนี้จะคัดลอกมาจาก blog ของผมเอง หากอยากติดตามเนื้อหาเต็มๆ (ที่มีความเวิ่นเว้อ lol)
ติดตามได้ตาม link แนบครับ

)
http://harleluya.blogspot.com/2016/07/1.html
http://harleluya.blogspot.com/2016/07/2_23.html
ก่อนอื่น เนื่องจากเพื่อนร่วมเดินทางมีแค่ 2 คน ร่วม จขกท ก็แค่ 3 คนเลยเหมารถตู้ไม่ได้
ก็เลยเลือกใช้บริการของ บขส. โดยมีแผนการเดินทาง ดังนี้ครับ
Day 1-2 : จาก กรุงเทพฯ สู่ แม่สอด (15-16/07/2016)
22.00 ของวันศุกร์ที่ 15/07/16 คณะเดินทางหรือ เดอะ แก๊ง ได้ออกเดินทางจากขนส่งหมอชิตด้วยรถ บขส. กรุงเทพฯ – แม่สอด โดยครั้งนี้มีเพื่อนร่วมชะตากรรมด้วยอีก 2 คน จากจำนวน 3 คน จะเช่ารถตู้ก็ไม่คุ้ม จะบินไปค่าตั๋วนกแอร์ก็ประมาณ 1,500 บาท
ไม่ต้องคิดมาก สายประหยัดคุ้มค่า บขส.จัดไป!!! ค่ารถขาไปอยู่ที่คนละ 290 บาท จุดมุ่งหมายที่เราจะไป คือ ขนส่งแม่สอด เพื่อเตรียมต่อสองแถวไปยังสามแยกแม่กลองและต่อสองแถวเข้าไปยังหมู่บ้านกะเหรี่ยง กุยเลอตอ เพื่อเดินทางเข้าไปยังน้ำตก
ยังไม่ทันคิดอะไรให้มากความหลังจากลงจากรถ สองแถวก็มาถามไปไหน
บอกสามแยกแม่คลอง โอเคจบหัวละ 130 บาท ใช้ชีวิตบนรถกันต่อไป
คนที่ขึ้นส่วนใหญ่ก็เป็นคนพื้นที่ มีทั้งคนไทย ชาวกะเหรี่ยง และมุสลิมประปราย
นั่งไปสักพักคนเริ่มเยอะ ก็เลยหาเรื่องปีนขึ้นไปนั่งชั้นพิเศษ (หลังคาน่ะแหละ)
ตากลมสบายๆแทน เนื่องจากแดดไม่แรงและจะได้ไม่เมารถ (จขกท และ เพื่อนอีกคนเมารถง่ายมาก)
นั่งไปเรื่อยๆเจอจุด Check point บ้าง, จุดพักรถให้ซื้อของกินบ้าง, จุดพักเข้าห้องน้ำบ้าง
โดยจะมีจุดใหญ่อยู่จดหนึ่งที่พักนานหน่อยเข้าห้องน้ำ ซื้อของกินได้ตามสะดวก

จุด Check Point ด่านตรวจ ประมาณ 2-3 ด่าน

วิวไร่ระหว่างทาง

จุดพักรถใหญ่สุดท้ายก่อนยิงยาวไปสามแยกแม่กลอง
มีร้านขายของกิน-น้ำ-ไอติม และของฝากเล็กน้อย ห้องน้ำสะอาดดี
และแล้วในที่สุดก็สามารถฝ่าโค้งนรก พิชิต 1,219 โค้งมาถึงประตูสู่อุ้มผาง สามแยกแม่กลอง
แต่กว่าจะมาถึงก็ปาเข้าไป บ่าย 3 กว่าๆแล้ว TwT

1,219 โค้ง และยังต่อได้อีก

จุดหมายปลายทางข้างหน้า คือ กุยเลอตอ

เจ้าถิ่นประจำศาลา

บร๊ะ สายโหดจริงๆ lol
เดอะ แก๊ง ก็นั่งรอที่ศาลาประมาณ 30-40 นาที จนมีสองแถวมารับ
เอ้า รออะไรคนเยอะขนาดนี้นั่งชั้นพิเศษรับลมกันต่อ นั่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคนเหลือน้อยทุกที
เวลาล่วงเลยไปเกือบ 5 โมงกว่า เกือบ 6 โมง จนถึงปากทางเข้าน้ำตก (ที่ไม่มีป้ายอะไรบอกเลย)
ลุงคนขับเลยถามว่าจะไปต่อหรอ จะมืดแล้ว ทางไม่มีไกด์ แถมมีช้างบ้านของกะเหรี่ยงด้วย
จะไปจริงหรอ? พักที่บ้านลุงก่อนก็ได้นะ
พิจารณาดูแล้ว.....พวกผมต้องพึ่งลุงแล้วล่ะ 555
ก็เลยติดสอยห้อยตามไปจนสุดทาง
ระหว่างทางลุงชี้ทางเข้าจุดหนึ่งให้ดูเห็นเค้าว่าตอนนี้กำลังบุกเบิกทางใหม่
แต่ยังไม่ official เดินง่ายกว่าเดิมอีกพวกไกด์ทัวร์กำลังทำทางกันอยู่ ไว้ต้องรอดู
เดินทางอีกประมาณครึ่งชม. และแล้วก็เดินทางมาถึงสุดสาย ณ ปลายทางคือ
สุดเขตประเทศไทย ‘หมู่บ้านเปิ่งเคลิ่ง’
(แล้วมันคือที่ไหนล่ะ ไม่เคยได้ยิน รีวิวอื่นๆไม่มีพูดถึง
แหงล่ะ ก็ชาวบ้านเค้าไม่ได้มาเลทแบบพวกอ็งหนิ)
ไหนๆก็เข้าไปไม่ทันแล้วก็มาขอพักโฮมสเตย์กับลุงจักหน่อยละกัน

บ้านหลังน้อยที่จะขอโฮมสเตย์คืนนี้
หลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยก็แวะไปถ่ายรูปสุดเขตประเทศไทย
(พี่ทหารบอกข้ามไปได้ไมต้องใช้พาสปอร์ต แต่ก็มืดละ จะข้ามไปทำไม ไม่เห็นอะไรอยู่ดี =w=)
เจอะเจอน้องหมาก็แวะเล่นซักหน่อย เออ เชื่องดี แวะร้านโชว์ห่วยซื้อของกินเล่นนิดหน่อยก่อนจะเดินไปเจอลุงที่ร้านข้าว

สุดเขตประเทศไทย

กม. 74+486 !!!

เจ้าถิ่นผู้แสนเชื่อง
ปรากฏว่าไปถึงเห็นลุงนั่งอยู่ตรงรถไม่เข้าไปในร้าน
ลุงก็เล่าว่ามีกะเหรี่ยงเมาอยู่ เริ่มมีแนวโน้มจะอาละวาด
ลุงเลยบอกให้รอในรถ เปลี่ยนเป็นสั่งห่อไปกินที่บ้าน
ระหว่างรอตอนใกล้ๆเสร็จ เริ่มมีเสียง เพล้ง!!! และเริ่มมีการโวยวายหนักขึ้น
=___=" อืม...โอเค ดีแล้วครับที่ห่อกลับไปกินบ้าน
หลังจากกลับมากินที่บ้านก็นั่งตั้งวงกะคุณลุง คุณป้า ช่วยคุยกันไป
ลุงก็เล่าว่าตัวบ้านที่ไปพักไม่ใช่บ้านของลุงเองแต่เป็นบ้านเช่าสำหรับคนขับรถสองแถว
ลักษณะเป็นบ้านไม้ยกสูงมีห้องนอน- ห้องน้ำให้ ไฟที่นี่จะเปิดเที่ยงคืน-เที่ยงวัน
เห็นเค้าว่าใช้จากพลังงานน้ำ แต่ก็เห็นมีแผง Solar Cell นะ หรืออาจจะบางส่วน
ระหว่างนั่งกินก็พูดคุยกับลุงและป้ากันไป
ลุงแกมีชื่อว่า ‘โกมล’ (แถวนั้นเรียกโกมล, โกม่น) ส่วนป้ามีชื่อว่า ‘แตน’
สรุปแล้วลุงแกเป็นคนใต้ นครศรีธรรมราช มาปลูกยางพารากับอินทผาลัมที่นี่
ส่วนขับรถเป็นอาชีพเสริมแต่ดวงกุดหน่อย ตอนต้นยางพร้อมกรีดให้ยางราคาก็ตกดิ่งเหวซะแล้ว
(3,000 กว่าต้นเลยนะนั่น) แกบอกว่าราคาจะกลับมาอีกทีก็ปี 2570 นู่น
ส่วนอินทผาลัมแกเป็นรายใหญ่ในตาก (หรืออย่างน้อยก็อุ้มผาง)
ซื้อกล้ามาปลูกต้นละ 150 ปลูกขึ้นก็เก็บได้ทุกเดือน
ถ้าเกรดดีๆก็โลละ 600 เกรดรองห่วยๆก็โลละ 300
พูดคุยกินข้าวกระเพราหมูสับเสร็จก็ได้ลองชิมขนมเทียนแก้วฝีมือคุณป้าทำเอง
รสชาติใช้ได้เลยกินเพลินดี -w- กับทุเรียนพันธุ์ป่าคล้ายๆกระดุม
ชาวบ้านเค้าเรียกกันว่าพันธุ์โบราณ 3 ลูก 100 เม็ดนี่อย่างใหญ่
ส่วนรสชาติพอให้หายอยากได้อยู่แต่ไม่เท่าหมอนทอง กินไปแค่ 2-3 พลู ก็เริ่มรู้สึกร้อนๆขึ้นมา
(โอ๊ว ของเค้าแรงจริงๆ)

ลุงโกมลกำลังผ่าทุเรียนให้ชิม

หน้าตาทุเรียนพันธุ์โบราณ
หลังจากกินเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันเข้านอน
(เริ่มเขียนเนื้อหาบล็อกก็ตอนนี้แหละ lol)
แพลนไว้ว่าจะตื่นตี 5 รถรอบแรกออก 6.30 ก็จะไปที่จุดแรก
แล้วกะลงของกางเต็นท์ เดินตัวเปล่าไปจุด 2 ยอดดอยมะม่วงสามหมื่น
แล้วค่อยลงมานอนฐานแรกแทน ก็จบวันที่ 2 ลงไป
เดี๋ยวเรามาดูกันต่อว่าจะเดินทางได้ตามแผนไม๊

สภาพห้องภายใน ตามจริงมีแค่มุ้งก็บุญโขแล้ว ดีกว่าต้องไปกางเต็นท์นอนป่าข้างทาง TwT

เตรียมนอน พร้อมลุยต่อวันพรุ่งนี้!
[CR] เปรโต๊ะลอซู น้ำตกรูปหัวใจผู้แสนลึกลับ
เกริ่นนำ
ก่อนอื่นเลย ขอสวัสดีพี่ๆน้องๆเพื่อนๆชาวพันทิปทุกท่านครับ
ครั้งนี้จะเป็นการกล่าวถึงมินิทริปสั้นๆเล็กๆ ที่ใช้แรงกายมากมายมหาศาล
แถมยังเป็นการแบกเป้ full-option ครั้งแรกของ จขกท ด้วย
มาดูกันครับว่าจะลำบากยากเย็นขนาดไหนกว่าจะไปถึง เจ้าน้ำตกเปรโต๊ะลอซู
หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ปิตุ๊โกร แล้วทำไมถึงได้บอกว่า 'ผู้แสนลึกลับ' ทั้งๆที่ก็เห็นมีคนไปกันเยอะ อยากรู้ต้องอ่านครับ ^^
อนึ่งรีวิวนี้จะคัดลอกมาจาก blog ของผมเอง หากอยากติดตามเนื้อหาเต็มๆ (ที่มีความเวิ่นเว้อ lol)
ติดตามได้ตาม link แนบครับ
http://harleluya.blogspot.com/2016/07/1.html
http://harleluya.blogspot.com/2016/07/2_23.html
ก่อนอื่น เนื่องจากเพื่อนร่วมเดินทางมีแค่ 2 คน ร่วม จขกท ก็แค่ 3 คนเลยเหมารถตู้ไม่ได้
ก็เลยเลือกใช้บริการของ บขส. โดยมีแผนการเดินทาง ดังนี้ครับ
Day 1-2 : จาก กรุงเทพฯ สู่ แม่สอด (15-16/07/2016)
22.00 ของวันศุกร์ที่ 15/07/16 คณะเดินทางหรือ เดอะ แก๊ง ได้ออกเดินทางจากขนส่งหมอชิตด้วยรถ บขส. กรุงเทพฯ – แม่สอด โดยครั้งนี้มีเพื่อนร่วมชะตากรรมด้วยอีก 2 คน จากจำนวน 3 คน จะเช่ารถตู้ก็ไม่คุ้ม จะบินไปค่าตั๋วนกแอร์ก็ประมาณ 1,500 บาท
ไม่ต้องคิดมาก สายประหยัดคุ้มค่า บขส.จัดไป!!! ค่ารถขาไปอยู่ที่คนละ 290 บาท จุดมุ่งหมายที่เราจะไป คือ ขนส่งแม่สอด เพื่อเตรียมต่อสองแถวไปยังสามแยกแม่กลองและต่อสองแถวเข้าไปยังหมู่บ้านกะเหรี่ยง กุยเลอตอ เพื่อเดินทางเข้าไปยังน้ำตก
ยังไม่ทันคิดอะไรให้มากความหลังจากลงจากรถ สองแถวก็มาถามไปไหน
บอกสามแยกแม่คลอง โอเคจบหัวละ 130 บาท ใช้ชีวิตบนรถกันต่อไป
คนที่ขึ้นส่วนใหญ่ก็เป็นคนพื้นที่ มีทั้งคนไทย ชาวกะเหรี่ยง และมุสลิมประปราย
นั่งไปสักพักคนเริ่มเยอะ ก็เลยหาเรื่องปีนขึ้นไปนั่งชั้นพิเศษ (หลังคาน่ะแหละ)
ตากลมสบายๆแทน เนื่องจากแดดไม่แรงและจะได้ไม่เมารถ (จขกท และ เพื่อนอีกคนเมารถง่ายมาก)
นั่งไปเรื่อยๆเจอจุด Check point บ้าง, จุดพักรถให้ซื้อของกินบ้าง, จุดพักเข้าห้องน้ำบ้าง
โดยจะมีจุดใหญ่อยู่จดหนึ่งที่พักนานหน่อยเข้าห้องน้ำ ซื้อของกินได้ตามสะดวก
จุด Check Point ด่านตรวจ ประมาณ 2-3 ด่าน
วิวไร่ระหว่างทาง
จุดพักรถใหญ่สุดท้ายก่อนยิงยาวไปสามแยกแม่กลอง
มีร้านขายของกิน-น้ำ-ไอติม และของฝากเล็กน้อย ห้องน้ำสะอาดดี
และแล้วในที่สุดก็สามารถฝ่าโค้งนรก พิชิต 1,219 โค้งมาถึงประตูสู่อุ้มผาง สามแยกแม่กลอง
แต่กว่าจะมาถึงก็ปาเข้าไป บ่าย 3 กว่าๆแล้ว TwT
1,219 โค้ง และยังต่อได้อีก
จุดหมายปลายทางข้างหน้า คือ กุยเลอตอ
เจ้าถิ่นประจำศาลา
บร๊ะ สายโหดจริงๆ lol
เดอะ แก๊ง ก็นั่งรอที่ศาลาประมาณ 30-40 นาที จนมีสองแถวมารับ
เอ้า รออะไรคนเยอะขนาดนี้นั่งชั้นพิเศษรับลมกันต่อ นั่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคนเหลือน้อยทุกที
เวลาล่วงเลยไปเกือบ 5 โมงกว่า เกือบ 6 โมง จนถึงปากทางเข้าน้ำตก (ที่ไม่มีป้ายอะไรบอกเลย)
ลุงคนขับเลยถามว่าจะไปต่อหรอ จะมืดแล้ว ทางไม่มีไกด์ แถมมีช้างบ้านของกะเหรี่ยงด้วย
จะไปจริงหรอ? พักที่บ้านลุงก่อนก็ได้นะ
พิจารณาดูแล้ว.....พวกผมต้องพึ่งลุงแล้วล่ะ 555
ก็เลยติดสอยห้อยตามไปจนสุดทาง
ระหว่างทางลุงชี้ทางเข้าจุดหนึ่งให้ดูเห็นเค้าว่าตอนนี้กำลังบุกเบิกทางใหม่
แต่ยังไม่ official เดินง่ายกว่าเดิมอีกพวกไกด์ทัวร์กำลังทำทางกันอยู่ ไว้ต้องรอดู
เดินทางอีกประมาณครึ่งชม. และแล้วก็เดินทางมาถึงสุดสาย ณ ปลายทางคือ
สุดเขตประเทศไทย ‘หมู่บ้านเปิ่งเคลิ่ง’
(แล้วมันคือที่ไหนล่ะ ไม่เคยได้ยิน รีวิวอื่นๆไม่มีพูดถึง
แหงล่ะ ก็ชาวบ้านเค้าไม่ได้มาเลทแบบพวกอ็งหนิ)
ไหนๆก็เข้าไปไม่ทันแล้วก็มาขอพักโฮมสเตย์กับลุงจักหน่อยละกัน
บ้านหลังน้อยที่จะขอโฮมสเตย์คืนนี้
หลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยก็แวะไปถ่ายรูปสุดเขตประเทศไทย
(พี่ทหารบอกข้ามไปได้ไมต้องใช้พาสปอร์ต แต่ก็มืดละ จะข้ามไปทำไม ไม่เห็นอะไรอยู่ดี =w=)
เจอะเจอน้องหมาก็แวะเล่นซักหน่อย เออ เชื่องดี แวะร้านโชว์ห่วยซื้อของกินเล่นนิดหน่อยก่อนจะเดินไปเจอลุงที่ร้านข้าว
สุดเขตประเทศไทย
กม. 74+486 !!!
เจ้าถิ่นผู้แสนเชื่อง
ปรากฏว่าไปถึงเห็นลุงนั่งอยู่ตรงรถไม่เข้าไปในร้าน
ลุงก็เล่าว่ามีกะเหรี่ยงเมาอยู่ เริ่มมีแนวโน้มจะอาละวาด
ลุงเลยบอกให้รอในรถ เปลี่ยนเป็นสั่งห่อไปกินที่บ้าน
ระหว่างรอตอนใกล้ๆเสร็จ เริ่มมีเสียง เพล้ง!!! และเริ่มมีการโวยวายหนักขึ้น
=___=" อืม...โอเค ดีแล้วครับที่ห่อกลับไปกินบ้าน
หลังจากกลับมากินที่บ้านก็นั่งตั้งวงกะคุณลุง คุณป้า ช่วยคุยกันไป
ลุงก็เล่าว่าตัวบ้านที่ไปพักไม่ใช่บ้านของลุงเองแต่เป็นบ้านเช่าสำหรับคนขับรถสองแถว
ลักษณะเป็นบ้านไม้ยกสูงมีห้องนอน- ห้องน้ำให้ ไฟที่นี่จะเปิดเที่ยงคืน-เที่ยงวัน
เห็นเค้าว่าใช้จากพลังงานน้ำ แต่ก็เห็นมีแผง Solar Cell นะ หรืออาจจะบางส่วน
ระหว่างนั่งกินก็พูดคุยกับลุงและป้ากันไป
ลุงแกมีชื่อว่า ‘โกมล’ (แถวนั้นเรียกโกมล, โกม่น) ส่วนป้ามีชื่อว่า ‘แตน’
สรุปแล้วลุงแกเป็นคนใต้ นครศรีธรรมราช มาปลูกยางพารากับอินทผาลัมที่นี่
ส่วนขับรถเป็นอาชีพเสริมแต่ดวงกุดหน่อย ตอนต้นยางพร้อมกรีดให้ยางราคาก็ตกดิ่งเหวซะแล้ว
(3,000 กว่าต้นเลยนะนั่น) แกบอกว่าราคาจะกลับมาอีกทีก็ปี 2570 นู่น
ส่วนอินทผาลัมแกเป็นรายใหญ่ในตาก (หรืออย่างน้อยก็อุ้มผาง)
ซื้อกล้ามาปลูกต้นละ 150 ปลูกขึ้นก็เก็บได้ทุกเดือน
ถ้าเกรดดีๆก็โลละ 600 เกรดรองห่วยๆก็โลละ 300
พูดคุยกินข้าวกระเพราหมูสับเสร็จก็ได้ลองชิมขนมเทียนแก้วฝีมือคุณป้าทำเอง
รสชาติใช้ได้เลยกินเพลินดี -w- กับทุเรียนพันธุ์ป่าคล้ายๆกระดุม
ชาวบ้านเค้าเรียกกันว่าพันธุ์โบราณ 3 ลูก 100 เม็ดนี่อย่างใหญ่
ส่วนรสชาติพอให้หายอยากได้อยู่แต่ไม่เท่าหมอนทอง กินไปแค่ 2-3 พลู ก็เริ่มรู้สึกร้อนๆขึ้นมา
(โอ๊ว ของเค้าแรงจริงๆ)
ลุงโกมลกำลังผ่าทุเรียนให้ชิม
หน้าตาทุเรียนพันธุ์โบราณ
หลังจากกินเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันเข้านอน
(เริ่มเขียนเนื้อหาบล็อกก็ตอนนี้แหละ lol)
แพลนไว้ว่าจะตื่นตี 5 รถรอบแรกออก 6.30 ก็จะไปที่จุดแรก
แล้วกะลงของกางเต็นท์ เดินตัวเปล่าไปจุด 2 ยอดดอยมะม่วงสามหมื่น
แล้วค่อยลงมานอนฐานแรกแทน ก็จบวันที่ 2 ลงไป
เดี๋ยวเรามาดูกันต่อว่าจะเดินทางได้ตามแผนไม๊
สภาพห้องภายใน ตามจริงมีแค่มุ้งก็บุญโขแล้ว ดีกว่าต้องไปกางเต็นท์นอนป่าข้างทาง TwT
เตรียมนอน พร้อมลุยต่อวันพรุ่งนี้!
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น