สวัสดีค่ะ วันนี้ได้มีโอกาสมาเล่าประสบการณ์ที่เจอกับตัวเองหลังจากที่เมื่อคืนนอนไม่หลับคิดแต่เรื่องนี้อยู่ในหัวสมอง จนทำให้เราต้องเอาเรื่องราวทั้งหมดมาเล่าสู่กันฟังค่ะ *โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะค่ะ*
วันนั้นเป็นอีกหนึ่งวันที่เราออกเดินทางสำรวจเยี่ยมชมสิ่งปลูกสร้าง พระราชวัง หรือแม้กระทั่งสถานที่เก็บศพของบุคคลที่มีชื่อเสียงของคนเวียดนามที่เมือง Hue นั่นเอง และมีอีกสถานที่ที่หนึ่ง ที่เราอยากจะไปดู ไปเห็นด้วยสายตาตัวเอง นั่นคือ โคลอสเซียมกรุงเว้ หรือที่คนเวียดนามเรียกกันว่า Hổ Quyền มันเป็นสถานที่ไว้ใช้ประลองยุทธ์ระหว่างเสือกับช้าง สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างเมื่อปี ค.ศ.1830 ซึ่งตรงกับรัชสมัยขององค์พระจักรพรรดิมิญ หมั่ง แห่งราชวงศ์เหงียน

ทางที่เราไป ไม่ใช่ทางที่นักท่องเที่ยวนิยมใช้เส้นทางนี้ เพราะเราเดินทางโดยใช้แผนที่ในโทรศัพท์เป็นซะส่วนใหญ่ ซึ่งมันเป็นทางเปลี่ยว สองข้างทางก็เป็นสุสานที่เก็บศพของคนเวียดนาม เราเข้าไปกันลึกมาก ขับตรงไปเรื่อยๆ จนแน่ใจละว่าหลง สุดท้ายเลยจอดรถถามพี่ข้างทาง ว่าจะไปสถานที่ตรงนี้ ต้องไปทางไหน

พี่เขาก็ชี้ไปข้างหน้า อีก 100 เมตรแล้วเลี้ยวขวาลงไป เราก็ขอบคุณเขา ซึ่งทางที่ลงไปนั่นเป็นทางลาดชัน เหมือนเป็นทางลงเขาซอยเล็กๆ สูงมาก สองข้างทางก็ยังเป็นสุสานเหมือนเดิม

จนเราเริ่มรู้สึกกลัวละ ตอนนั้นเป็นเวลา ห้าโมงเย็น ขี่รถไปเรื่อยๆ ก็เจอบ้านคน ก็ถามทางอีกรอบ เพื่อให้แน่ใจ เขาบอกว่า มาผิดทางแล้ว ย้อนกลับไปนิดนึงจะเจอทางแยกแล้วเลี้ยวซ้าย ขี่ขึ้นเนินไป จนมาเจอสถานที่ที่นึง ขี่รถเข้าไป สรุปก็ไม่ใช่ แต่เป็นสุสานเก่าที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูง จนขี่มาอีกประมาณ 200เมตรก็เจอที่ที่เราอยากจะมา

ที่ตรงนี้เป็นสังเวียนสงครามระหว่างเสือกับช้าง เจ้าเมืองจะนำเสือและช้างมาต่อสู้กันที่นี่ แต่รู้ไหมค่ะ ฝ่ายไหนชนะ ฝ่ายไหนแพ้ถึงขั้นเสียชีวิต คำตอบก็คือ เสือค่ะ ที่เป็นฝ่ายแพ้ ส่วนใหญ่เสือจะถูกช้างกระทืบตายไม่ก็เหวี่ยงสะบัดจนเสียชีวิต แต่สิ่งที่ทำให้เสือพ่ายแพ้ต่อช้างนั่นก็คือ เขาจะถอดเขี้ยว ถอดเล็บของเสือออก แล้วก็เอาเชือกพันรอบปากเสือไว้ สาเหตุที่ทำแบบนี้ก็เพราะว่าเรามักจะมองเสือในแง่ลบ เพราะเสือมักลับลอบทำลายสัตว์หรือคน แต่ในขณะเดียวกัน ช้างมักถูกยกย่องเชิดชู ในฐานะสัตว์ที่ทำคุณประโยชน์ต่อแผ่นดินในศึกสงคราม แต่จะอะไรก็ตาม แต่ละสังเวียนก็จะถูกใช้เพื่อตอบสนองความบันเทิงของเหล่ากษัตริย์ขุนนาง นั่นเอง

ตรงนี้เราเดินอ้อมมาด้านหลังสุดก็เจอกับประตู ไม่แน่ใจว่าเป็นประตูสำหรับอะไร แต่ถูกปิดไว้ด้วยไม้และตอกตะปูอย่างแน่นหนา

ระหว่างที่เรายืนพักที่หน้าประตูทางเข้า พูดคุยสนทนากับแฟนอยู่ สายตาก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ทางด้านขวา ตอนแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไร ก็พูดคุยต่อไป เราสัมผัสได้ว่าเหมือนมีใครกำลังยืนจ้องมองเราอยู่ที่ตรงนั้น เราก็เหลือบมองอีกครั้ง คราวนี้เห็นเป็นลักษณะของทหาร รูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อสีเขียวเข้มๆ กำลังยืนหันหน้าไปทางทิศตะวันตก คือเขาหันหลังให้เรา เขายืนนิ่งมากเหมือนเป็นทหารประจำการอยู่ที่นี่ รูปก่อนหน้านี้ จะเห็นกระถามธูปใหญ่ๆ ตรงนั้นแหละค่ะ ที่เราเห็นเขายืนอยู่ แล้วเราก็หันไปดูชัดๆอีกรอบ ก็ไม่เจอแล้วค่ะ เราอึ้ง เงียบไปซักพัก จู่ๆ เรารู้สึกว่าอยากแผ่เมตตา เราก็สวดบทแผ่เมตตาตรงนั้นเลย หลังจากที่แผ่เมตตาเสร็จเรียบร้อยให้หัวเราก็ยังฟุ้งซ่านเหมือนเดิมคือ มันจะมีเพลงๆนึงอยู่ในหัวตลอดเวลา มันคือเพลง วันเกิดค่ะ จนเราทนไม่ไหว ต้องเปล่งเสียงร้องออกมาให้แฟนได้ยิน ร้อง แฮปปี้ เบิร์ดเดย์ จนจบเพลง แต่ครั้งนี้ เราร้องช้ามาก เอื้อนเอ่ย น้ำตาคลอด้วยค่ะ มันอาจจะฟังดูตลกนะ แต่วินาทีนั้นเราไม่ตลกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ไม่รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไร หลังจากนั้นเราก็เดินมายังจุดๆที่เราเห็นเขายืนอยู่ เรานั่งลงคุกเข่าพร้อมกับยกมือไหว้ เพื่อให้ความเคารพกับสถานที่แห่งนี้

รูปข้างใน
ก่อนที่เราจะจากไปจากที่แห่งนี้ เราได้เดินสำรวจซึมซับบรรยากาศอีกรอบ ทุกสิ่งทุกอย่าง คือสถานที่แห่งความทรงจำประวัติศาสตร์ สถานที่แห่งความเจ็บปวดทรมานของสัตว์ สถานที่แห่งความเอาชนะ ความบันเทิงของเหล่าขุนนาง ประชาชน
ทั้งนี้ ทั้งนั้น สิ่งที่เราเห็น อาจจะเป็นจินตนาการที่เราปรุงแต่งคิดขึ้นมาเอง หรือวิญญาณบรรพบุรุษของที่นี่มาปรากฏตัวให้เราเห็น เราก็จะไม่ลบหลู่กับสิ่งเหล่านี้ เพราะเราเชื่อในเรื่องของ สิ่งลี้ลับ ...
เจอวิญญาณผีทหารที่ Hổ Quyền เวียดนาม
วันนั้นเป็นอีกหนึ่งวันที่เราออกเดินทางสำรวจเยี่ยมชมสิ่งปลูกสร้าง พระราชวัง หรือแม้กระทั่งสถานที่เก็บศพของบุคคลที่มีชื่อเสียงของคนเวียดนามที่เมือง Hue นั่นเอง และมีอีกสถานที่ที่หนึ่ง ที่เราอยากจะไปดู ไปเห็นด้วยสายตาตัวเอง นั่นคือ โคลอสเซียมกรุงเว้ หรือที่คนเวียดนามเรียกกันว่า Hổ Quyền มันเป็นสถานที่ไว้ใช้ประลองยุทธ์ระหว่างเสือกับช้าง สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างเมื่อปี ค.ศ.1830 ซึ่งตรงกับรัชสมัยขององค์พระจักรพรรดิมิญ หมั่ง แห่งราชวงศ์เหงียน
ทางที่เราไป ไม่ใช่ทางที่นักท่องเที่ยวนิยมใช้เส้นทางนี้ เพราะเราเดินทางโดยใช้แผนที่ในโทรศัพท์เป็นซะส่วนใหญ่ ซึ่งมันเป็นทางเปลี่ยว สองข้างทางก็เป็นสุสานที่เก็บศพของคนเวียดนาม เราเข้าไปกันลึกมาก ขับตรงไปเรื่อยๆ จนแน่ใจละว่าหลง สุดท้ายเลยจอดรถถามพี่ข้างทาง ว่าจะไปสถานที่ตรงนี้ ต้องไปทางไหน
พี่เขาก็ชี้ไปข้างหน้า อีก 100 เมตรแล้วเลี้ยวขวาลงไป เราก็ขอบคุณเขา ซึ่งทางที่ลงไปนั่นเป็นทางลาดชัน เหมือนเป็นทางลงเขาซอยเล็กๆ สูงมาก สองข้างทางก็ยังเป็นสุสานเหมือนเดิม
จนเราเริ่มรู้สึกกลัวละ ตอนนั้นเป็นเวลา ห้าโมงเย็น ขี่รถไปเรื่อยๆ ก็เจอบ้านคน ก็ถามทางอีกรอบ เพื่อให้แน่ใจ เขาบอกว่า มาผิดทางแล้ว ย้อนกลับไปนิดนึงจะเจอทางแยกแล้วเลี้ยวซ้าย ขี่ขึ้นเนินไป จนมาเจอสถานที่ที่นึง ขี่รถเข้าไป สรุปก็ไม่ใช่ แต่เป็นสุสานเก่าที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูง จนขี่มาอีกประมาณ 200เมตรก็เจอที่ที่เราอยากจะมา
ที่ตรงนี้เป็นสังเวียนสงครามระหว่างเสือกับช้าง เจ้าเมืองจะนำเสือและช้างมาต่อสู้กันที่นี่ แต่รู้ไหมค่ะ ฝ่ายไหนชนะ ฝ่ายไหนแพ้ถึงขั้นเสียชีวิต คำตอบก็คือ เสือค่ะ ที่เป็นฝ่ายแพ้ ส่วนใหญ่เสือจะถูกช้างกระทืบตายไม่ก็เหวี่ยงสะบัดจนเสียชีวิต แต่สิ่งที่ทำให้เสือพ่ายแพ้ต่อช้างนั่นก็คือ เขาจะถอดเขี้ยว ถอดเล็บของเสือออก แล้วก็เอาเชือกพันรอบปากเสือไว้ สาเหตุที่ทำแบบนี้ก็เพราะว่าเรามักจะมองเสือในแง่ลบ เพราะเสือมักลับลอบทำลายสัตว์หรือคน แต่ในขณะเดียวกัน ช้างมักถูกยกย่องเชิดชู ในฐานะสัตว์ที่ทำคุณประโยชน์ต่อแผ่นดินในศึกสงคราม แต่จะอะไรก็ตาม แต่ละสังเวียนก็จะถูกใช้เพื่อตอบสนองความบันเทิงของเหล่ากษัตริย์ขุนนาง นั่นเอง
ตรงนี้เราเดินอ้อมมาด้านหลังสุดก็เจอกับประตู ไม่แน่ใจว่าเป็นประตูสำหรับอะไร แต่ถูกปิดไว้ด้วยไม้และตอกตะปูอย่างแน่นหนา
ระหว่างที่เรายืนพักที่หน้าประตูทางเข้า พูดคุยสนทนากับแฟนอยู่ สายตาก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ทางด้านขวา ตอนแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไร ก็พูดคุยต่อไป เราสัมผัสได้ว่าเหมือนมีใครกำลังยืนจ้องมองเราอยู่ที่ตรงนั้น เราก็เหลือบมองอีกครั้ง คราวนี้เห็นเป็นลักษณะของทหาร รูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อสีเขียวเข้มๆ กำลังยืนหันหน้าไปทางทิศตะวันตก คือเขาหันหลังให้เรา เขายืนนิ่งมากเหมือนเป็นทหารประจำการอยู่ที่นี่ รูปก่อนหน้านี้ จะเห็นกระถามธูปใหญ่ๆ ตรงนั้นแหละค่ะ ที่เราเห็นเขายืนอยู่ แล้วเราก็หันไปดูชัดๆอีกรอบ ก็ไม่เจอแล้วค่ะ เราอึ้ง เงียบไปซักพัก จู่ๆ เรารู้สึกว่าอยากแผ่เมตตา เราก็สวดบทแผ่เมตตาตรงนั้นเลย หลังจากที่แผ่เมตตาเสร็จเรียบร้อยให้หัวเราก็ยังฟุ้งซ่านเหมือนเดิมคือ มันจะมีเพลงๆนึงอยู่ในหัวตลอดเวลา มันคือเพลง วันเกิดค่ะ จนเราทนไม่ไหว ต้องเปล่งเสียงร้องออกมาให้แฟนได้ยิน ร้อง แฮปปี้ เบิร์ดเดย์ จนจบเพลง แต่ครั้งนี้ เราร้องช้ามาก เอื้อนเอ่ย น้ำตาคลอด้วยค่ะ มันอาจจะฟังดูตลกนะ แต่วินาทีนั้นเราไม่ตลกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ไม่รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไร หลังจากนั้นเราก็เดินมายังจุดๆที่เราเห็นเขายืนอยู่ เรานั่งลงคุกเข่าพร้อมกับยกมือไหว้ เพื่อให้ความเคารพกับสถานที่แห่งนี้
รูปข้างใน
ก่อนที่เราจะจากไปจากที่แห่งนี้ เราได้เดินสำรวจซึมซับบรรยากาศอีกรอบ ทุกสิ่งทุกอย่าง คือสถานที่แห่งความทรงจำประวัติศาสตร์ สถานที่แห่งความเจ็บปวดทรมานของสัตว์ สถานที่แห่งความเอาชนะ ความบันเทิงของเหล่าขุนนาง ประชาชน
ทั้งนี้ ทั้งนั้น สิ่งที่เราเห็น อาจจะเป็นจินตนาการที่เราปรุงแต่งคิดขึ้นมาเอง หรือวิญญาณบรรพบุรุษของที่นี่มาปรากฏตัวให้เราเห็น เราก็จะไม่ลบหลู่กับสิ่งเหล่านี้ เพราะเราเชื่อในเรื่องของ สิ่งลี้ลับ ...