แบ่งปันประสบการณ์การขอวีซ่าเชงเก้นค่ะ

จขกท.จะมาแชร์ประสบการณ์การขอวีซ่า Schengen เอง ทั้งหมด 4 ครั้ง ต่างเวลา ต่างสถานที่ค่ะ  เตรียมเอกสาร หาข้อมูลเองหมด อะไรไม่มี ก็ดั้นด้นหาอะไรมาทดแทนตามปัญญาจะคิดออก แล้วก็ได้มาทุกครั้งค่ะ

เอกสารที่เตียม อ้างอิงจาก VFS นะคะ
1.    ใบคำร้องขอวีซ่าที่กรอกแล้ว 2ชุด และรูปถ่ายสีที่มีพื้นหลังสีขาว และเป็นรูปถ่ายไม่เกิน 6 เดือน จำนวน 2 รูป
ข้อนี้เราขอไม่พูดถึงเยอะนะคะ  เพราะน่าจะเตรียมกันได้ถูกต้อง และครบทุกคน วิธีการกรอกสามารถเสิร์ชในเนตได้เลยค่ะ

2.    ประกันการเดินทาง
อันดับแรกคือต้องเช็คว่าประกันเจ้าไหนที่สถานทูตนั้นยอมรับค่ะ เราใช้บูพาทุกครั้งค่ะ แพงแต่แค่ชิน  เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามีประกันแบรนด์ไทยที่มีวีซ่าแพลนราคาหลักร้อย เสียดายเจอช้าไป

3.    ค่าธรรมเนียมวีซ่าต้องชำระในวันที่ยื่นคำร้องขอวีซ่า
ทุกที่เลยนะคะ  เตรียมไปให้พอดี เตรียมเอกสารไปแทบตาย รอคิวอีกครึ่งวัน ตกม้าตายเพราะไม่เตรียมเงิน  สถานทูตหรือศูนย์รับคำร้องเค้าแยกเอกสารของใครของมัน  ไม่มาสนใจทอนเราค่ะ  เราต้องสนใจตัวเอง

4.    เอกสารที่แสดงถึงหลักฐานทางการเงิน
อันนี้คือสิ่งที่เราทราบว่าเป็นปัญหาเยอะสุด ในการเตรียมเอกสาร ส่วนนี้อยากให้อ่านรายละเอียดในแต่ละสถานทูตค่ะ ว่าต้องการกี่เดือน สาม หรือหกเดือน และรวมถึงหลักฐานทางอาชีพแสดงความมั่นคงของชีวิตเรา ว่าเราสามารถดูแลการเงินตัวเองได้เมื่อไปเที่ยว เราแบ่งเป็นกรณีๆนะคะ
-    รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง เตรียมเอกสารทางการเงินของตัวเองค่ะ สเตทเมนท์ ซึ่งควรจะมีเงินเข้าออกเป็นประจำ(บัญชีที่ใช้รับเงินเดือนหรือทำธุรกิจ) ถ้าเป็นเงินเก็บ เงินควรจะนอนในบัญชีมานานแล้วและก้อนใหญ่หน่อยค่ะ สำหรับคนมีอาชีพประจำ เงินเดือนสม่ำเสมอนั้น ต่อให้ยอดคงเหลือไม่สูงมากแค่พอรอดกลับมา มีหนังสือรับรองเงินเดือนและวันลาเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าฝ่ายบุคคลไม่ออกใบอนุมัติลาให้ เราก็เขียนจดหมายอธิบายแนบได้ค่ะ ถ้าไม่ใช่พนักงานกินเงินเดือนก็เป็นหนังสือจดทะเบียนการค้า หรือแม้แต่จดหมายถ้าเป็นฟรีแลนช์ ในบางคนเตรียมหนังสือรับรองภาษียื่นประกอบค่ะ
ของเรารับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทุกครั้ง เงินในบัญชีแสนต้นๆ ขอทียี่สิบวัน ผ่านทุกครั้งค่ะ วิธีคิดคือ
     -    มีสปอนเซอร์ เอกสารการเงินของสปอนเซอร์ เอกสารระบุตัวตนของสปอนเซอร์ เอกสารระบุความสัมพันธ์(พ่อ แม่ ลูก สามีงี้ แปลเป็นภาษาอังกฤษ) และควรมีจดหมายชี้แจงค่ะ
     -    การใส่ใคร หรืออะไรเข้ามาในการขอวีซ่า ต้องมีความเชื่อมโยงกับตัวผู้ขอแบบพิสูจน์ให้เค้าเห็นได้ค่ะ


5.    จุดประสงค์ในการเดินทาง
-    ครั้งแรกเราขอแบบเยี่ยมเพื่อนค่ะ มีหนังสือเชิญที่ออกเป็นทางการให้ไปพัก และเราขอให้ผู้เชิญแนบจดหมายแนะนำตัวพร้อมวัตถุประสงค์มาให้สอดคล้องกับจดหมายของเราค่ะ การมีหนังสือเชิญข้อดีคือไม่ต้องวุ่นวายเรื่องเขียนแผนเที่ยวและจองที่พักค่ะ บอกว่าไปเยี่ยมคนนี้ พักที่นี่ จบปึ้ง ส่วนประเทศที่ไม่ต้องใช้ใบจองก็สบายไปค่ะ ข้อเสียคือเค้าอาจจะคำนวณค่าที่พักไปในรายจ่ายต่อวันที่เราควรมีนอนบัญชีเข้าไปแล้ว
-    สองครั้งหลัง(แต่รวมขอ 3ครั้ง) ขอเป็นวีซ่าเที่ยวค่ะ สิ่งที่ต้องตามมาคือแผนเที่ยว  ตั้งแต่วันเหยียบแผ่นดินเค้าจนวันจะบินออก แผนเที่ยวเราเขียนคร่าวๆ วันละ2-3ที่ โดยเอาข้อมูลจากทริปแอดไวเซอร์มาเขียนลงในเอ็กเซลเป็นวันๆไปค่ะค่ะ ในนั้นจะระบุวันที่,สถานที่เที่ยว,ที่อยู่ที่เที่ยว,คำอธิบายเล็กน้อยมวิธีเดินทาง,และระบุที่พักคืนนั้นค่ะ
-    
เราจะไม่โลกสวยที่จะบอกว่า มีคนประเทศเราไม่น้อยที่ถูกปฏิเสธวีซ่าเพราะแจ้งว่ามีเพื่อน หรือมีญาติในประเทศที่จะไป ทำให้ถูกมองว่าเสี่ยงที่จะโดดวีซ่า ยิ่งถ้ามีแฟนประเทศนั้นนี่ยิ่งยากถ้าไม่เคลียร์ตัวเองได้ใสจริง  ดังนั้นเราจึงเลือกที่จะเขียนแผนเที่ยวแบบง่ายๆ โดยอาศัยทริปแอดไวเซอร์ กางรัศมีวันละ2-3ที่รอบๆทิศที่จะไป รวมไปจนถึงจองที่พักแบบยิงยาวตลอดทริปแบบฟรีแคนเซิลค่ะ วันนี้ไปทิศนี้ ดูบัส ดูสถานที่ วันพรุ่งนี้ไปทิศนี้ วันไหนไปสถานที่ชอปปิ้งนี่เนียนตีทั้งวันค่ะ555
เวลาเขียนแผนเที่ยว ต้องมโนว่ามันเกิดขึ้นจริงค่ะ  แผนเที่ยวที่ออกมาถึงจะดูน่าเชื่อถือ ที่สำคัญ มันทำให้คุณมีความรู้เพิ่มขึ้นในสถานที่ที่จะไปค่ะ มีตะกอนติดหัวบ้างอะไรบ้าง

บอกก่อนนะคะ เราขอไปเที่ยวค่ะ ไม่แพลนจะไปทำอย่างอื่น กรณีนี้สำหรับคนที่มีเพื่อน มีญาติให้ไปพักเวลาเที่ยว แต่กล่าวถึงแล้วไม่เป็นผลดีต่อการขอวีซ่าเท่านั้น

6.    ตั่วเครื่องบิน
-    จองและปริ๊นออกมา อย่าเพิ่งจ่ายค่ะ

7.    รายละเอียดเกี่ยวกับที่พัก
-เราใช้ บุ๊คกิ้งดอทคอม พยายามเลือกโรงแรมหรือโฮสเทลที่อยู่บริเวณใจกลางสถานที่เที่ยว เพื่อที่จะลงในแผนได้ว่ามิกิจกรรมรอบๆที่พักได้ รวมถึงการเดือนทางออกไปรอบๆจะหารถราง่ายกว่าค่ะ เรามองไปถึงที่พักแบบรวมอาหารเช้าเพราะตัดภาระค่าใช้จ่ายชัดๆไปได้หลายมื้อ อันนี้คิดเอาเองล้วนๆค่ะ บอกแล้วว่าต้องมโนว่ามันเกิดขึ้นจริง

        สิ่งที่เรามองว่าสำคัญไม่แพ้เอกสารจำเป็นอื่นๆเลยก็คือจดหมายแนะนำตัวค่ะ อะไรที่เราอยากชี้แจงที่เอกสารบอกได้ไม่หมดให้บอกไว้ในนั้น ว่าชื่ออะไร ทำงานอะไร จะไปเที่ยวไหน เพราะอะไร กี่วัน เสร็จแล้วจะกลับวันไหน (ยืนยันความผุกพันธ์ที่ทำให้เรากลับมาแน่ๆ) ยอมรับว่ามันเวิ่นเว้อค่ะ แต่มันแทนการสัมภาษณ์ไปในตัว คนพิจารณาเค้าเห็นแต่เอกสาร อันไหนไม่ชัดหรืองงมาก เค้าก็อาจปัดทิ้ง สู้ชิงเขียนบรรยายไปเลยดีกว่าแล้วถ้าเค้าจะอ่านไป หยิบเอกสารเรามาพิจารณาไป เราคิดเอาว่าชีวิตน่าจะง่ายขึ้น   ส่วนที่ใช้ตัวแทนรับยื่นเอกสาร ถ้าอันไหนที่เราคิดว่าเป็นประโยชน์กับเราแต่ตัวแทนจะคืนเรามา  ก็ให้บอกว่าในจดหมายมีกล่าวถึงตัวนี้ ฝากแนบไปด้วย  และในส่วนของคนที่หลักฐานการเงินค่อนข้างซับซ้อนนี่คือจำเป็นมากค่ะ ที่สำคัญ ถ้ากล่าวถึงอะไรควรมีเอกสารรับรองสิ่งนั้นค่ะ เราเขียนจดหมายทีก็สองสามหน้ากระดาษค่ะ

     และที่สำคัญอีกอย่าง เขียนอะไรไว้ กรอกอะไรไว้ จำให้ได้และตอบให้ตรงเวลาผ่าน ตม.นะคะ จะได้ไม่มีปัญหา ทริปที่เราไปกับเพื่อน(เพื่อนพาสปอร์ตหน้าเกือบขาวค่ะ เข้าเชงเก้นครั้งแรก) ตอนขอวีซ่ายื่นว่าไปเที่ยวด้วยกัน แยกยื่น แต่เขียนแพลนเที่ยวรวมชื่อ จองโรงแรงรวมชื่อ และเขียนบอกในจดหมายว่าไปกับคนนี้นะ ทำนองนี้  ในจดหมาย พอ ตม.สแกนวีซ่าปุ๊บ อ่านหน้าจอ ถามเลยว่ายูมากับเพื่อนใช่ไหม ไหนเพื่อนยู เราเข้าแถวด้านหลังได้ยินก็โบกมือหยอยๆยิ้มแฉ่งใส่ไปค่ะ แล้วก็ถามเพื่อนเราค่อนข้างเยอะ

     จบการขอวีซ่าสไตล์เราแต่เพียงเท่านี้ค่ะ มีประโยชน์กับเพื่อนๆไหม...ไม่รู้  แต่อย่างน้อยๆการเตรียมเอกสารสำหรับขอวีซ่าเชงเก้น 4ครั้ง(รวมเตรียมทั้งกระบิให้เพื่อน1 ครั้ง ตั้งแต่กรอกใบสมัครยั้นจดหมาย) และผ่านทุกครั้ง เราคิดว่าวิธีคิดของเราน่าจะมีประโยชน์บ้างสำหรับเพื่อนๆที่กำลังเตรียมขอวีซ่าอยู่บ้าง

   เอกสารพร้อม ความมั่นใจที่จะได้วีซ่านี่มาตั้งแต่ยื่นค่ะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่