ต้องบอกให้ชัดเจนก่อนว่า ไม่ได้สร้างเรื่องขึ้นมาหรืออย่างไร
อาการที่ว่าคือความรู้สึกเหมือนมีคนสองคนอาศัยภายในตัวเรา แต่ไม่คิดว่าเป็นไบโพลาร์ เพราะไม่ได้เกรี้ยวกราดอะไร
เวลาที่อยู่กับคนอื่น จะเป็นคนที่ฉะฉานและค่อนข้างวางตัวไม่ให้เป็นรอง ไม่ยอมให้ใครรู้เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับตัวเราเลยแม้แต่น้อย
ปิดบังสิ่งที่รู้สึกจริงๆ เช่นเมื่อมีคนมาพูดจาในเชิงยั่วยุ หรือส่อเสียด สิ่งที่แสดงออกกลับไปคือ ยิ้ม หรือทำอย่างไรก็ได้
ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกว่าไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย เพื่อให้เขารู้ว่า พวกเขาไม่มีอิทธิพลอะไรกับเราแม้แต่น้อย
มีความรู้สึกว่า ให้คนอื่นเห็นเรานิสัยเย่อหยิ่งและยโส ยังจะดีกว่าให้เห็นความอ่อนแอของเรา
เป็นคนที่ใส่ใจคนรอบข้างมาก ถึงมากที่สุด การที่ทำอะไรก็ตามที่จะเกิดความระคายเคืองต่อผู้อื่น จะรู้สึกขัดๆในใจจนทนไม่ได้
กลัวการถูกปฏิเสธเข้าขั้นวิกฤต ไม่เคย แม้แต่ครั้งเดียว ที่จะแสดงความต้องการของตนเองเมื่อต้องพูดคุยกับใครสักคน
เพราะคิดว่าถ้าบอกไปว่า เอาแบบนี้ดีกว่า หรือชัดชวนให้ทำอะไรบางอย่าง แล้วได้รับการบอกปัด ความรู้สึกมันจะติดลบแบบไม่หายไปเลย
จนกว่าคนๆนั้นจะทำความดีบาง(ต่อสิ่งใดๆก็ตาม ไม่จำเป็นต้องทำดีกับเรา)อย่างที่เราสัมผัสได้แล้วยินดีกับเขา เราก็จะหายรู้สึกหดหู่
ตัวตนอีกฝั่งที่ว่า คือ คนนี้เขาจะร้องไห้ไม่มีสาเหตุ ตัวเราไม่ทราบจริงๆว่าเขาต้องการอะไร ถ้าเราไม่เป็นแบบแข็งๆเพื่อกดคนนี้ไว้ มันก็จะร้องไห้ตลอดเวลา
ตลอดเวลาจริงๆค่ะ มันไม่ยอมหยุดเลย เหมือนทะเลาะกันเองข้างใน
เคยมีคนเห็นตอนเราเป็นแบบนั้น วันนั้นเราคุยงานกันอยู่ แล้วเขาพูดบางอย่างที่ไม่ทราบว่าคืออะไร จากการพูดจาฉะฉานของเรามันสะดุด แล้วคนนั้นก็ออกมาร้องห่มร้องไห้ เราก็หยุดไม่ได้ ตกใจมาก วันนั้นไม่ได้งานอะไรเลยค่ะ พังหมดเลย แล้วเขาก็พูดบางอย่างเกี่ยวกับว่า ตัวตนจริงๆเราอาจจะเป็นคนที่ร้องไห้ แต่ปกติเราไม่เคยปล่อยเขาออกมาเจอใครเลย หรือไม่ยอมให้คนนั้นได้รู้สึกอย่างที่อยากจะรู้สึกเลย
พอเขาได้ออกมามันเลยเหมือนรุนแรงและควบคุมไม่ได้
แล้วพอใจอีกฝั่งของเราพูดขึ้นมาอบ่างหนักแน่นกับตัวเองเวลาเป็นแบบนี้
ว่า หยุดได้แล้ว ไร้สาระ มันก็เหมือนปิดสวิตช์เลยค่ะ มันหายไปเลย ความรู้สึกโศกเศร้าพวกนั้น
แล้ววันนั้นเราก็ทำการลบช่องทางการติดต่อทุกอย่างกับคนนั้น เพราะเหมือนว่าเขาได้ล่วงรู้ความลับของเราบางอย่าง
เหมือนเราทนไม่ได้เด็ดขาดที่จะให้ใครเห็นเราในอารมณ์นั้น และในบางครั้ง รู้สึกกลัวการพูดคุยกับผู้คน
เพื่อนเราเริ่มน้อยลง เริ่มขาดการติดต่อกับเพื่อนๆบางส่วน
มีความรู้สึกว่าไม่ต้องการให้พวกเขามามีอิทธพลกับความรู้สึกของเรา
อาการนี้เป็นมาสิบกว่าปีแล้วนะคะ เคยมีหมอบอกแม่เราว่าให้ดูแลเราหน่อย เพราะเราน่าจะมีอาการทางจิต
ตอนนี้สับสนมากค่ะว่ามันคือโรคหรือเปล่า เพราะเรารู้สึกได้เลยว่า มันคือคนละคน เพราะเราไม่เข้าใจอีกคนหนึ่งเลย
ช่วงเวลาที่ดำเนินชีวิตมา ไม่ได้เรียบง่าย หรือเป็นขั้นตอนเหมือนเด็กๆทั่วไปค่ะ ครอบครัวค่อนข้างซับซ้อน
(อันนี้ไม่ได้พยายามจะให้ดูน่าสงสารนะคะ เพราะเด็กจำนวนมากที่เกิดมาแล้วพบอุปสรรคมากมายกว่าจะรอดจนโต
แค่จะหมายถึงว่า ไม่ได้แบบว่า เกิด-โต-ทำกิจกรรมส่งเสริมทักษะ-เรียน-เที่ยว-โต ฯลฯ)
และเรารู้จักปั้นอารมณ์ที่เหมาะสมกับสถานการ์ณตั้งแต่ประถมต้น จนทุกวันนี้แม่ยังไม่รู้เลยค่ะว่ามีหลายอย่างที่เราทำไปเพื่อแม่
แต่ในสายตาคนนอกดูเราเป็นเด็กที่ค่อนข้างแก่เกินวัยไปมาก ทั้งอารมณ์และความคิด
เราหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆทุกชนิดที่จะเข้าข่ายไปทางการเรียกร้องความสนใจ
และไม่อัพสถานะเป็น public บนโซเชียลใดๆ ทุกอย่างตั้งเป็น Private
ไม่สามารถทำใจบอกคนอื่นได้เมื่อตนเองป่วย และคิดว่า ไม่ไหวแล้ว เพราะคิดว่าเป็นการพยายามให้คนอื่นสงสาร
และไม่มั่นใจว่าตนเองเป็นโรคซึมเศร้า เพราะเห็นเพื่อนจำนวนมากอ้างว่าตนเองเป็น เลยคิดว่ามันดูเป็นโรคที่เป็นได้ง่ายเกินไป
เพียงแค่เศร้าเล็กๆน้อยๆ ทำงานไม่ทัน แฟนทิ้ง ทะเลาะกับเพื่อน เงินไม่พอใช้ ก็ดูจะรำพึงรำพันกันยกใหญ่แล้ว และบอกว่าตนเองเป็นโรคซึมเศร้า
ตอนที่พิมพ์นี้ก็สับสนนะคะ ไม่รู้ว่าต้องเล่าตรงไหนจึงจะถูกต้อง
และไม่ทราบตัวตนหรือความรู้สึกจริงๆของตนเองค่ะว่า อันไหนของจริง อันไหนปรุงแต่ง
แต่หลักๆคือ ถ้าไม่กดตัวเองให้เป็นแบบเนี้ยบๆไปเลยตลอดเวลา แล้วปล่อยให้ใจมันแล่นไปเอง มันจะร้องไห้ค่ะ มันจะเศร้ามากๆ
จนหลังๆเริ่มรู้สึกว่า บางครั้งรังแกตนเอง เพราะเมื่อคนนั้นออกมา เราก็จะรีบเขียนสิ่งที่แล่นในหัวออกมาเป็นตัวอักษรทันที
เหมือนใช้ประโยชน์จากความรู้สึกเลวร้ายพวกนั้นอ่ะค่ะ แทนที่จะสงสารหรือปลอบคนนั้น แต่กลับไปใช้จังหวะนี้เพื่อเอามาพัฒนางานของตัวเอง
และที่พิมพ์ได้ตอนนี้ เพราะจิตใจเรายังตั้งมั่นอยู่ค่ะ จึงสามารถพูดถึงเรื่องเหล่านั้นได้โดยง่าย เหมือนเป็นเรื่องแต่งอย่างไรอย่างนั้น
ดูเหมือนที่พิมพ์มามันจะยาวมากๆจริงๆ ไม่ทราบว่าตรงไหนเป็นเนื้อ หรือน้ำ อย่างไรก็ขอบคุณที่อ่านกันมาถึงตรงนี้นะคะ
และสรุปว่าอันนี้มันเป็นโรค หรืออาการอะไรคะ
อาการเหล่านี้เรียกว่าเป็นโรคจิตประเภทใดคะ
อาการที่ว่าคือความรู้สึกเหมือนมีคนสองคนอาศัยภายในตัวเรา แต่ไม่คิดว่าเป็นไบโพลาร์ เพราะไม่ได้เกรี้ยวกราดอะไร
เวลาที่อยู่กับคนอื่น จะเป็นคนที่ฉะฉานและค่อนข้างวางตัวไม่ให้เป็นรอง ไม่ยอมให้ใครรู้เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับตัวเราเลยแม้แต่น้อย
ปิดบังสิ่งที่รู้สึกจริงๆ เช่นเมื่อมีคนมาพูดจาในเชิงยั่วยุ หรือส่อเสียด สิ่งที่แสดงออกกลับไปคือ ยิ้ม หรือทำอย่างไรก็ได้
ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกว่าไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย เพื่อให้เขารู้ว่า พวกเขาไม่มีอิทธิพลอะไรกับเราแม้แต่น้อย
มีความรู้สึกว่า ให้คนอื่นเห็นเรานิสัยเย่อหยิ่งและยโส ยังจะดีกว่าให้เห็นความอ่อนแอของเรา
เป็นคนที่ใส่ใจคนรอบข้างมาก ถึงมากที่สุด การที่ทำอะไรก็ตามที่จะเกิดความระคายเคืองต่อผู้อื่น จะรู้สึกขัดๆในใจจนทนไม่ได้
กลัวการถูกปฏิเสธเข้าขั้นวิกฤต ไม่เคย แม้แต่ครั้งเดียว ที่จะแสดงความต้องการของตนเองเมื่อต้องพูดคุยกับใครสักคน
เพราะคิดว่าถ้าบอกไปว่า เอาแบบนี้ดีกว่า หรือชัดชวนให้ทำอะไรบางอย่าง แล้วได้รับการบอกปัด ความรู้สึกมันจะติดลบแบบไม่หายไปเลย
จนกว่าคนๆนั้นจะทำความดีบาง(ต่อสิ่งใดๆก็ตาม ไม่จำเป็นต้องทำดีกับเรา)อย่างที่เราสัมผัสได้แล้วยินดีกับเขา เราก็จะหายรู้สึกหดหู่
ตัวตนอีกฝั่งที่ว่า คือ คนนี้เขาจะร้องไห้ไม่มีสาเหตุ ตัวเราไม่ทราบจริงๆว่าเขาต้องการอะไร ถ้าเราไม่เป็นแบบแข็งๆเพื่อกดคนนี้ไว้ มันก็จะร้องไห้ตลอดเวลา
ตลอดเวลาจริงๆค่ะ มันไม่ยอมหยุดเลย เหมือนทะเลาะกันเองข้างใน
เคยมีคนเห็นตอนเราเป็นแบบนั้น วันนั้นเราคุยงานกันอยู่ แล้วเขาพูดบางอย่างที่ไม่ทราบว่าคืออะไร จากการพูดจาฉะฉานของเรามันสะดุด แล้วคนนั้นก็ออกมาร้องห่มร้องไห้ เราก็หยุดไม่ได้ ตกใจมาก วันนั้นไม่ได้งานอะไรเลยค่ะ พังหมดเลย แล้วเขาก็พูดบางอย่างเกี่ยวกับว่า ตัวตนจริงๆเราอาจจะเป็นคนที่ร้องไห้ แต่ปกติเราไม่เคยปล่อยเขาออกมาเจอใครเลย หรือไม่ยอมให้คนนั้นได้รู้สึกอย่างที่อยากจะรู้สึกเลย
พอเขาได้ออกมามันเลยเหมือนรุนแรงและควบคุมไม่ได้
แล้วพอใจอีกฝั่งของเราพูดขึ้นมาอบ่างหนักแน่นกับตัวเองเวลาเป็นแบบนี้
ว่า หยุดได้แล้ว ไร้สาระ มันก็เหมือนปิดสวิตช์เลยค่ะ มันหายไปเลย ความรู้สึกโศกเศร้าพวกนั้น
แล้ววันนั้นเราก็ทำการลบช่องทางการติดต่อทุกอย่างกับคนนั้น เพราะเหมือนว่าเขาได้ล่วงรู้ความลับของเราบางอย่าง
เหมือนเราทนไม่ได้เด็ดขาดที่จะให้ใครเห็นเราในอารมณ์นั้น และในบางครั้ง รู้สึกกลัวการพูดคุยกับผู้คน
เพื่อนเราเริ่มน้อยลง เริ่มขาดการติดต่อกับเพื่อนๆบางส่วน
มีความรู้สึกว่าไม่ต้องการให้พวกเขามามีอิทธพลกับความรู้สึกของเรา
อาการนี้เป็นมาสิบกว่าปีแล้วนะคะ เคยมีหมอบอกแม่เราว่าให้ดูแลเราหน่อย เพราะเราน่าจะมีอาการทางจิต
ตอนนี้สับสนมากค่ะว่ามันคือโรคหรือเปล่า เพราะเรารู้สึกได้เลยว่า มันคือคนละคน เพราะเราไม่เข้าใจอีกคนหนึ่งเลย
ช่วงเวลาที่ดำเนินชีวิตมา ไม่ได้เรียบง่าย หรือเป็นขั้นตอนเหมือนเด็กๆทั่วไปค่ะ ครอบครัวค่อนข้างซับซ้อน
(อันนี้ไม่ได้พยายามจะให้ดูน่าสงสารนะคะ เพราะเด็กจำนวนมากที่เกิดมาแล้วพบอุปสรรคมากมายกว่าจะรอดจนโต
แค่จะหมายถึงว่า ไม่ได้แบบว่า เกิด-โต-ทำกิจกรรมส่งเสริมทักษะ-เรียน-เที่ยว-โต ฯลฯ)
และเรารู้จักปั้นอารมณ์ที่เหมาะสมกับสถานการ์ณตั้งแต่ประถมต้น จนทุกวันนี้แม่ยังไม่รู้เลยค่ะว่ามีหลายอย่างที่เราทำไปเพื่อแม่
แต่ในสายตาคนนอกดูเราเป็นเด็กที่ค่อนข้างแก่เกินวัยไปมาก ทั้งอารมณ์และความคิด
เราหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆทุกชนิดที่จะเข้าข่ายไปทางการเรียกร้องความสนใจ
และไม่อัพสถานะเป็น public บนโซเชียลใดๆ ทุกอย่างตั้งเป็น Private
ไม่สามารถทำใจบอกคนอื่นได้เมื่อตนเองป่วย และคิดว่า ไม่ไหวแล้ว เพราะคิดว่าเป็นการพยายามให้คนอื่นสงสาร
และไม่มั่นใจว่าตนเองเป็นโรคซึมเศร้า เพราะเห็นเพื่อนจำนวนมากอ้างว่าตนเองเป็น เลยคิดว่ามันดูเป็นโรคที่เป็นได้ง่ายเกินไป
เพียงแค่เศร้าเล็กๆน้อยๆ ทำงานไม่ทัน แฟนทิ้ง ทะเลาะกับเพื่อน เงินไม่พอใช้ ก็ดูจะรำพึงรำพันกันยกใหญ่แล้ว และบอกว่าตนเองเป็นโรคซึมเศร้า
ตอนที่พิมพ์นี้ก็สับสนนะคะ ไม่รู้ว่าต้องเล่าตรงไหนจึงจะถูกต้อง
และไม่ทราบตัวตนหรือความรู้สึกจริงๆของตนเองค่ะว่า อันไหนของจริง อันไหนปรุงแต่ง
แต่หลักๆคือ ถ้าไม่กดตัวเองให้เป็นแบบเนี้ยบๆไปเลยตลอดเวลา แล้วปล่อยให้ใจมันแล่นไปเอง มันจะร้องไห้ค่ะ มันจะเศร้ามากๆ
จนหลังๆเริ่มรู้สึกว่า บางครั้งรังแกตนเอง เพราะเมื่อคนนั้นออกมา เราก็จะรีบเขียนสิ่งที่แล่นในหัวออกมาเป็นตัวอักษรทันที
เหมือนใช้ประโยชน์จากความรู้สึกเลวร้ายพวกนั้นอ่ะค่ะ แทนที่จะสงสารหรือปลอบคนนั้น แต่กลับไปใช้จังหวะนี้เพื่อเอามาพัฒนางานของตัวเอง
และที่พิมพ์ได้ตอนนี้ เพราะจิตใจเรายังตั้งมั่นอยู่ค่ะ จึงสามารถพูดถึงเรื่องเหล่านั้นได้โดยง่าย เหมือนเป็นเรื่องแต่งอย่างไรอย่างนั้น
ดูเหมือนที่พิมพ์มามันจะยาวมากๆจริงๆ ไม่ทราบว่าตรงไหนเป็นเนื้อ หรือน้ำ อย่างไรก็ขอบคุณที่อ่านกันมาถึงตรงนี้นะคะ
และสรุปว่าอันนี้มันเป็นโรค หรืออาการอะไรคะ