เรื่องราวของขุนพันธ์และจอมโจรอาแวสะดอ

... ตามบันทึกของทางราชการกล่าวไว้ว่า "ประวัติของอะแวสะดอ  ตาและนั้น เขาเป็นลูกชายของ “โต๊ะฮายี” ชาวอิสลามที่มีผู้คนนับหน้าถือตากันอย่างกว้างขวาง บ้านเดิมของอยู่ที่หมู่บ้านโล๊ะบากู ตำบลจำปะกอ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส วิธิปล้นฆ่าก็โหดเหี้ยมมาก คือจะจับเจ้าทรัพย์ มัดกับเสาบ้าน แล้วใช้กริชประจำตัวของตน แทงที่คอหอยแล้วหมุนวนรอบ ลากเอาคอหอยออกมา หรือใช้กริชประจำตัวแทงไปที่ท้องน้อยแล้วหมุน ลากไส้ออกมา ซึ่งโหดเหี้ยมเกินมนุษยธรรมของคนมีศาสนา อะแวสะดอ ตาและ ขึ้นชื่อในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการอยู่ยงคงกระพัน เคยถูกจับเข้าคุกมาครั้งหนึ่ง ที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี  พร้อมลูกน้องคนสำคัญคือ นายสะมาแอ แต่ขังคุกได้ไม่กี่วัน จอมโจรอะแวสะดอ ตาและ ก็ใช้วิชาทางไสยศาสตร์ปลดโซ่ตรวน สามารถหลบหนีออกมาได้ และได้กลับมาล้างแค้นคนที่เคยเป็นสายให้ตำรวจในการจับตนเข้าคุกในครั้งนั้น จึงทำให้ทั้งชาวไทยพุทธ และชาวไทยอิสลามในแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก และจากการที่มีเครื่องรางของขลังที่เป็นข้อห้ามศาสนาอิสลามอยู่ในครอบครอง เช่น ตับคนเป็นเหล็ก   2  ชั้น  เคราคนเป็นทองแดง  1  แผ่น ซ้องหมูป่า  1  อัน   ผ้าประเจียดคนไทย  1  ผืน นอกจากนี้ยังมีกริชประจำตัว ที่เชื่อว่าเคยเป็นกริชของเจ้าเมืองปัตตานี แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า อะแวสะดอ ตาและ ไม่ได้ยึดถือข้อปฏิบัติทางศาสนาอิสลาม แต่ที่ปล้นฆ่าก็ทำไปเพราะต้องการสร้างสถานการณ์มากกว่า

เมื่ออะแวสะดอ  ตาและ  กับสะมะแอ  หนีกลับไปยังนราธิวาสแล้ว  จึงมีการรวมสมัครพรรคพวกเที่ยวปล้นสะดม ตามหมู่บ้านต่างๆ  ไม่ว่างเว้น  และทุกครั้งที่โจรก๊กอะแวสะดอ  ออกปล้น มันจงใจปล้นแต่คนไทยพุทธเท่านั้น  เมื่อปล้นแล้วจะต้องฆ่าเจ้าของบ้านตายด้วยวิธีการฆ่าซึ่งพิสดารเหี้ยมโหดพิสดารทุกรายไป สำหรับทรัพย์สมบัติที่มันปล้นเอาไปได้  ก็จะนำเอาไปกำนัลหัวหน้าบ้าง  หัวหน้าที่ว่านั้นหมายถึงพวกที่บงการหนุนหลังอย่างลับ ๆ  คือ  สนับสนุนทั้งด้านอาวุธปืน  กระสุนปืน  รวมทั้งด้านอื่น ๆ ดังนั้นทางราชการจึงจำเป็นต้องตั้งกองปราบปรามพิเศษขึ้น โดยมีผู้บังคับการภูธรเขตเป็นหัวหน้า   พร้อมด้วยหม่อมทวีวงศ์   ถวัลศักดิ์  ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสในขณะนั้น และมีหลวงจำรูญ ณ สงขลา ปลัดจังหวัดเป็นผู้ช่วย กองปราบพิเศษดังกล่าวนี้   ยังได้เกณฑ์เอาตำรวจสงขลา  ยะลา   ปัตตานี   นราธิวาส  เอาเข้าไปในกองกำลังปราบปรามดังกล่าว   จัดตั้งกองอำนวยการขึ้นที่ศาลากลางประจำปะกอ  แบ่งหน่วยปราบปรามออกเป็น 3 หน่วย คือ หน่วยที่ 1 ร.ต.อ.ขุนพันธรักษ์ราชเดช   เป็นหัวหน้าใช้กำลังตำรวจกองตรวจสงขลาเป็นลูกน้อง ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา หน่วยที่ 2  ร.ต.อ.ปรี  สุศีลวรณ์  เป็นหัวหน้าใช้ตำรวจกองพิเศษปัตตานี หน่วยที่ 3  ร.ต.ท. หม่อมราชวงศ์สะอ้าน ลัดดาวัลย์ เป็นหัวหน้า ใช้ตำรวจนราธิวาสและมี  ร.ต.ท.  เขตต์  บุณยพิพัฒน์ เป็นเสมียนอำนวยการ การทำงานครั้งนั้นให้หน่วยกองปราบเสือตั้งหน่วยเอาเอง  ซึ่งมีการกำหนดจุดต่าง ๆ  เอาไว้  3  จุด   คือ  จุดที่  1   ที่เขาแกและ  จุดที่  2  อยู่ที่บาตุตะโมง    จุดที่  3  อยู่ที่วัด  หัวเขา

ขุนพันธรักษ์ราชเดชได้ทราบฤทธิ์เดช และความเหี้ยมโหดของ อะแวสะดอ มาเป็นอย่างดี เพราะสืบข่าวทราบมาว่าตำรวจเคยยิงกับมันมาแล้วถึง 4 ครั้ง  มีทั้งเคยยิงกันกลางวัน และกลางคืนแต่ไม่สามารถจับตัวได้ อะแวสะดอ   ตาและ จึงเหิมเกริมมากขึ้น เมื่อมันรู้ว่าตำรวจหน่วยไหนก็ปราบปรามมันไม่ได้ ในขณะที่จอมโจรอะแวสะดอ   กำลังลำพอง และผยองในความยิ่งใหญ่ของมันอยู่นั้น หน่วยของขุนพันธรักษ์ราชเดชยังไม่เคยปะทะกับอะแวสะดอฯ  เลย   ดังนั้นโจรใหญ่อย่างอะแวสะดอ จึงประกาศว่ามันไม่เคยกลัวใครแม้แต่ตำรวจสงขลาที่ขุนพันธรักษ์ราชเดชสังกัดอยู่ คำประกาศของจอมโจรอะแวสะดอเท่ากับเป็นการประกาศท้ารบกับขุนพันธรักษ์ราชเดช โดยชักธงเหลืองขึ้นเหนือยอดเขาบูโด ซึ่งขุนพันธรักษ์ราชเดชก็ยินดีรับคำท้านั้น เมื่อมีการจัดตั้งกองปราบปรามพิเศษ  ขึ้นเพื่อดับรัศมีเจ้าพ่อบูโดในครั้งนั้น ขุนพันธรักษ์ราชเดชยอมรับว่าอะแวสะดอมีของขลังมากเพราะตำรวจชุดอื่นๆ เคยยิงกับมัน 7- 8 หน ยิงกันซึ่งๆ หน้า  เสร็จแล้วต่างคนต่างถอยทำอะไรกันไม่ได้ ตอนหลังมันกำเริบใหญ่มาก ประกาศว่าตำรวจปัตตานี  ตำรวจยะลา  และนราธิวาสมันไม่กลัวเลย เพราะพบกันมาแล้วหลายครั้ง เห็นทำอะไรมันไม่ได้ แต่ตำรวจสงขลายังไม่เคยลอง ขุนพันธรักษ์ราชเดชเองคิดอยู่ว่า  คนที่มีอาคม ไสยเวท ยิงไม่เข้า ฟันไม่เข้า อย่าง อะแวสะดอ    มันต้องสู้กันแบบ  ยิงถึงตัวหรือต่อยหรือจับตัวมัดเอาให้ได้

วันหนึ่งชาวบ้าน วิ่งกระหืดกระหอบมาบอกว่า พวกอะแวสะดอ ลงมาแล้ว  มาทั้งโขยง เพื่อต้องการตามขนเสบียงที่ตีนเขา ขุนพันธรักษ์ราชเดชดูฤกษ์ยามว่า คืนนั้นวันพุธอยู่ทางทิศใต้  ถูกทางผีหลวง และหลวงเหล็ก   ฉะนั้นต้องไปอยู่ตอนต้นผีหลวงเหล็ก  คือทางทิศเหนือ  ซึ่งอยู่ห่างจากกองเสบียง  มีต้นไม้รำไร ๆ  กลางคืนก็แอบได้ คณะขุนพันธรักษ์ราชเดชถือปืนยืนเตรียมยิง แต่ก่อนหน้านั้นในคณะขุนพันธรักษ์ราชเดชตกลงกันไว้แล้วว่า   ถ้าเกิดยิงกันก็ให้ขุนพันธรักษ์ราชเดชยิงก่อนแล้วจึงค่อยให้คนอื่นยิงตาม ต่อไปก็ให้หยุดยิงทันที  เพราะขุนพันธรักษ์ราชเดชจะเป็นคนวิ่งเข้าไปประชิดตัวมันอีก เมื่อได้ยินเสียงคนเดิน คณะขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้ตะโกนบอกแสดงตนว่าเป็นตำรวจ แต่มันด่ากลับมา ขุนพันธรักษ์ราชเดชก็ยิงปืนไป 2 นัด  ลูกน้องยิงซ้อนไปเป็นนัดที่ 3 จากนั้นขุนพันธรักษ์ราชเดชก็วิ่งเข้าไปหาตัวมันทันที ตอนนั้นไม่ทราบว่าใครมายืนอยู่ตรงหน้าขุนพันธรักษ์ราชเดชอยู่ห่างเพียงเมตรกว่า ขุนพันธรักษ์ราชเดชกระชากปืนยิงตรงแสกหน้าแต่มันกลับเฉย

ขุนพันธรักษ์ราชเดชยิงมันอีกจนหมดกระสุน จนมันก็ล้มลง แล้วพรรคพวกของมันก็หนีกระเจิงขึ้นเขาไป   ขุนพันธรักษ์ราชเดชบอกให้ลูกน้อง 2 คนเฝ้าศพไว้  นอกนั้นตามวิ่งตามพวกที่เหลือไป เมื่อวิ่งตามไปได้สักครู่ ก็เกิดยิงกันที่เกิดเหตุเหตุ ขุนพันธรักษ์ราชเดชจึงวิ่งกลับไปลงอีก เพราะกลัวว่าพรรคพวกโจรจะไปแย่งศพ ขณะที่วิ่งนำหน้ามานั้นไปสะดุดอะไรก็ไม่รู้จนล้มลงปืนหลุดจากมือ เมื่อหาปืนได้ไม่ทันบรรจุกระสุนปรากฏว่ามี หม่อมสะอ้านตำรวจอีกคนยิงไอ้โจรที่ห่างจากที่เกิดเหตุสัก 10 กว่าเมตร ตำรวจ 2 นายข้างล่างวิ่งหลบกระสุนกับโคนต้นไม้ ยิงจนลูกปืนหมดทุกคน หม่อมสะอ้านถึงกับตะลึงงัน เพราะแกยิงโจรตายแล้ว   แต่มันยังเดินยังยืนได้ พอหม่อมสะอ้านตั้งสติได้ก็เข้าไปยิงด้วยปืนยาว กระสุนก็ไม่ออก  ยิงด้วยปืนสั้นกระสุนก็ไม่ออก  ขุนพันธรักษ์ราชเดชเลยใช้หมัดต่อย  กระชากสนับมือไม่ทัน พวกตำรวจทุกคนเข้าชกวงในกัน ไม่รู้ว่าหมัดใครต่อใครเพราะท้องฟ้ายังไม่สว่าง ผลที่สุดกว่าจะจับมันได้เกือบ 30 นาทีจึงยอมจำนน และขุนพันธรักษ์ราชเดชใส่กุญแจมือมันทันที มันบอกว่า  “อย่าฆ่าผม” ขุนพันธรักษ์ราชเดชถามว่าเป็นใคร มันตอบว่า  “ผมอะแวสะดอ นายอย่าฆ่าผม” ขุนพันธรักษ์ราชเดชเรียกลูกน้อง ๆ ออกมาทั้งหมด ขุนพันธรักษ์ราชเดชบอกมันว่า  ไม่ฆ่าหรอก  แล้วที่ถูกกระสุนล้มฟุบตรงโน้นใครกันล่ะ  มันบอกว่ามันเอง แต่พอเห็นตำรวจเผลอ เลยลุกขึ้นหนี พอฟ้าสว่างคณะของขุนพันธรักษ์ราชเดช 3- 4 คน พยายามแกะเครื่องรางของอะแวสะดอ มันผูกกับลวดแข็งแกะไม่ออก ขณะที่แกะเครื่องราง  อะแวสะดอ คงรำคาญเลยกระชากลวดจนขาดแล้วมันก็ขว้างเข้าป่าไป   ขุนพันธรักษ์ราชเดชเก็บมาได้จึงถามว่านี่อะไร มันบอกว่า  ซ้องหมูป่า

ตอนที่ขุนพันธรักษ์ราชเดชล้มลงไป  ได้ไปทับเอากริชที่มันเหน็บอยู่  นึกว่าเป็นปืนจึงได้แย่งแล้วโยนออกไป ขุนพันธรักษ์ราชเดชไปค้นมาได้  ปรากฏว่าฝักกริชแตกหมดได้มาแต่เพียงหัวกริชและใบ  และที่น่าทึ่งประการหนึ่งก็คือ ตอนที่ขุนพันธรักษ์ราชเดชยิงมันเข้าปาก 9 เม็ด มันอมกระสุนไว้ ปากของมันไม่มีรอยแตก ฟันไม่หัก  ส่วนที่ถูกหน้าผากนั่นก็เหมือนถูกเล็บขีด ส่วนที่ยิงตามตัวไม่ถูกเลย เสื้อผ้าอะแวสะดอฯ  สวมใส่ก็ไม่เห็นรอยขาด  แม้แต่น้อย
จากหลักฐานที่ขุนพันธรักษ์ราชเดช  ชี้แจงในภายหลังทั้งหมดนี้นับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์มิใช่น้อย  เรื่องของจอมโจรอะแวสะดอ  เป็นตำนานชีวิตของมหาโจรที่น่ากลัวเพียงไร  การที่อะแวสะดอ  ถูกยิงแล้วล้มลงนั้นใช่ว่าจะถูกอำนาจปืนทำลายให้บาดเจ็บ   แต่มันเป็นว่าหมดทางสู้  จึงแกล้งทำอุบายล้มลง เพื่อให้ขุนพันธรักษ์ราชเดชเชื่อว่ามันถูกยิงตายไปแล้ว สำหรับเครื่องรางของขลังในตัวอะแวสะดอตาและนั้น  จากบันทึกของขุนพันธรักษ์ราชเดช   ก็มีตับคนเป็นเหล็ก 2 ชั้น  เคราคนเป็นทองแดง 1 แผ่น ซ้องหมูป่า 1 อัน ผ้าประเจียดคนไทย 1 ผืนแขวนอยู่ที่คอใช้ลวดผูกแขวน ต่อมาเมื่อทางการรู้เข้าจึงริบของกลางที่เป็นเครื่องรางของขลังของ อะแวสะดอไว้ทั้งหมด

ทางการตำรวจจับตัวอะแวสะดอ  ได้เรียบร้อยแล้ว   จึงนำตัวไปที่สถานีตำรวจนราธิวาสขังไว้ที่นั่น 3 วัน   มีประชาชนตั้งแต่ปัตตานี  ยะลา  กลันตัน   พากันไปดูหน้าจอมโจรเจ้าพ่อเทือกเขาบูโดแน่นโรงพัก หลังจากที่อะแวสะดอ  ถูกย้ายที่ขุมขังไปอยู่ในเรือนจำได้ไม่เกิน 10 วัน มันก็รู้ว่าชะตากรรมของตนเอง    มันตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกินยาพิษ  มันดับชีวิตของมันด้วยมือมันเอง ก่อนที่จะถูกประหารชีวิต หรือถูกขังตายในคุก การที่ผู้ร้ายการเมือง และอาชญากรรมหมายเลขหนึ่งแห่งบูโด อย่างอะแวสะดอจบชีวิตลงทำให้ความสงบสุขกลับคืนมาสู่แผ่นดินเมืองใต้ส่วนนั้น ขุนพันธรักษ์ราชเดชได้รับการยกย่องสรรเสริญอย่างสูงจากพวกคนไทยมุสลิม   หรือแม้แต่พวกชาวไทยพุทธชายแดนไทยมลายู  และชาวไทยอิสลามตั้งฉายาให้ขุนพันธ์ฯ  ว่า  “รายอกะจิ” หรืออัศวินเล็กพริกขี้หนู

ขุนพันธรักษ์ราชเดชเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่าจากการสอบสวนพูดคุยกับอะแวสะดอ ตาและตอนจับได้ใหม่ๆ ทราบว่าจริงๆ แล้ว อะแวสะดอ ตาและ เป็นชาวไทยพุทธ แต่ไปรับจ้างกลุ่มนักการเมืองในช่วงนั้นที่ต้องการแบ่งแยกประเทศ ยึดเอาจังหวัดที่มีชาวอิสลามอยู่มาก จังหวัดนราธิวาส โดยจะแสดงตัวว่าตนเป็นคนอิสลามฝากตัวเป็นลูกบุญธรรมของ “โต๊ะฮายี” ชาวอิสลาม
เมื่อเป็นโจรที่นับถือศาสนาพุทธก็ไม่มีปัญหาเรื่องสักยันต์ การมีเครื่องรางของขลังและมีวิชาอาคมคงกระพันนับถือบูชาภูติผีปีศาจซาตาน สามารถฆ่าคนได้ ซึ่งขัดกับศาสนาอิสลามอย่างสิ้นเชิงที่มุสลิมทุกคนต้องมีความเชื่อความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นคือ อัลลอฮ ต้องละหมาดวันละ 5เวลา ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับไสยศาสตร์ มนต์ดำใดๆทั้งสิ้น ไล้ฟสไตล์ของผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮนั้นใช้ชีวิตแบบสโลว์ไล้ฟอย่างเรียบง่าย รับผิดชอบตัวเอง ดูแลเลี้ยงดูครอบครัว และทำความดีต่อสังคม ดำเนินตามแบบฉบับของนบีมูฮำมัด ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะทุกคนอยากรวย นับถือเงินเป็นพระเจ้าแทนอัลลอฮ อาแวสะดอ ตาและ เป็นชาวไทยพุทธ แต่รับจ้างผู้มีอิทธิพลปลอมตัวเป็นมุสลิม ใช้ศาสนาอิสลามในทางที่ผิด ปล้นฆ่า เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนและเจ้าหน้าที่รัฐ ใช้เหตุผลต้องการแบ่งแยกดินแดนเป็นข้ออ้าง และเอื้อให้กับผู้มีอิทธิพลหาผลประโยชน์ในเมืองชายแดนแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยอบายมุข ของเถื่อน โสเภณี สุราเมรัยน้ำเมาทุกชนิด และยาเสพติดทุกรูปแบบ

จากการลงพื้นที่หาข้อมูลพบว่าในยุคสมัยรัชกาลที่ 6 มีการใช้นามสกุล"ตาเละ" ซึ่งสามารถสืบสายสกุลไปจนถึงบรรพบุรุษที่เป็นแม่ทัพของปตานี "วันที่ปตานีแตกแม่ทัพฮูเซ็นจึงได้พาลูกน้องพร้อมกับอุลามะบางส่วนและชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่งอพยพหลบหนีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของทหารสยามจนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งมีลักษณะภูมิประเทศที่ดีพอจะต้านศัตรูได้ ด้านหน้าเป็นทุ่งนาที่กว้างพอที่จะทำนาปลูกข้าวเลี้ยงคนทั้งกองทัพได้ ถัดไปเป็นป่าพรุ ถัดไปอีกเป็นทะเล ด้านหลังเป็นภูเขาบูโดมีผลไม้และสัตว์ป่านานาชนิดโดยเฉพาะนกและไก่ป่าจะชุกชุมมากเป็นที่มาของชื่อแห่งนี้ว่า "ตะโละมาเนาะ" ตะโละที่แปลว่าถิ่นที่อยู่ มาเนาะแปลว่านกหรือไก่ป่า (คำว่ามาเนาะ (manok)ที่แปลว่า ไก่ ยังคงมีการใช้อยู่ เช่นในภาษาตากาล๊อก (ฟิลิปปินส์), ภาษาบายาว (bajau)ในรัฐซาบะห์ รวมทั้งชาวมอแกนในแถบจังหวัดอันดามันของไทยก็ใช้คำนี้



Cr:Nirundorn Lokna
ต่อที่คอมเมนท์นะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่