วันที่: 14 ก.ค. 59 เวลา: 16:55 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 11.30 น. ที่สำนักงานใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) แจ้งวัฒนะ ทางสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) ได้จัดเวทีย่อยภายในหน่วยงาน เพื่อชุมนุมปราศรัยพนักงาน กรณีคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.) มีมติเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ให้ปรับโครงสร้างของ กสท และ บริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน) โดยจัดตั้งบริษัทลูก 3 บริษัท เพื่อบริหารจัดการทรัพย์ของทั้ง 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท โครงข่ายบรอดแบนด์ภายในประเทศ บริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศ และ บริษัท ศูนย์ข้อมูลอินเตอร์เน็ต ซึ่งทั้ง 3 บริษัทถือหุ้นโดย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) กสท และ ทีโอที โดยมีผู้บริหารของ กสท เดินทางมาตอบคำถามพนักงาน และมีพนักงานเข้าร่วมฟังและแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าวกว่า 300 คน
นายสังวรณ์ พุ่มเทียน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า การปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจครั้งนี้ เป็นการนำเสนอของกระทรวงไอซีที และบริษัท ดีลอยท์ ที่ถูกจัดจ้างขึ้นมาเป็นที่ปรึกษา ซึ่งเป็นการพิจารณาแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย แม้กระทั่ง คณะกรรมการบริษัทฯ ผู้บริหาร และพนักงานของ กสท ให้ทราบถึงรายละเอียด จึงมีลักษณะคล้ายกับเผด็จการทางความคิด ส่งผลให้พนักงาน กสท เกิดข้อสงสัยว่า การปรับเปลี่ยนโครงสร้างครั้งนี้ จะเป็นการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจให้มีความแข็งแกร่ง หรืออ่อนแอลง โดยเฉพาะการเอาโครงสร้างหลักของประเทศ เช่น สายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงใต้น้ำ(เคเบิ้ลซัพมารีน) ของ กสท ออกไปอยู่กับบริษัทที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งยังไม่มีความมั่นใจว่าบริษัทนั้นๆ จะสามารถแข่งขันกับเอกชน และจะอยู่รอดได้หรือไม่
“ที่ผ่านมาไอซีทีไม่มีความชัดเจนการปรับโครงสร้างอะไรสักอย่าง ตอนนี้จึงไม่รู้ว่าพนักงานของ กสท ใครต้องโดนไปอยู่กับบริษัทใหม่บ้าง ไปแล้วจะมีความมั่นคงหรือไม่ สภาพการจ้างงานและสวัสดิการที่เคยได้รับจะเหมือนเดิมหรือไม่ เราจึงขอแสดงจุดยืนคัดค้านการร่วมหน่วยธุรกิจ ถ้าปรับแล้วไม่ดีกว่าก็ไม่เอา และ กสท ก็ไม่ควรร่วมกับ ทีโอที ซึ่งหาก ไอซีที อยากช่วย กสท จริง ควรเริ่มจากการแก้ไขกฎระเบียบให้ทำงานคล่องตัวขึ้น และเอาบอร์ดที่มีความสามารถมาให้เรา” นายสังวรณ์ กล่าว
นายสุรพันธ์ เมฆนาวิน กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า แนวคิดการตั้งบริษัทลูกตามมติของ คนร. เบื้องต้นทาง กสท เอง ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างที่ละเอียดชัดเจน ที่ผ่านมาได้มีการสอบถามไปคร่าวๆ พบว่าการปรับโครงสร้าง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการมากขึ้นกว่าการอยู่ในสถานะรัฐวิสาหกิจ ส่วนเรื่องสถานภาพของพนักงานยังคงได้รับสิทธิประโยชน์เท่าเดิม รวมถึงใครที่จะไปอยู่กับบริษัทใหม่จะมีการสอบถามตามความสมัครใจ ด้านความประสงค์ของสหภาพฯ ส่วนตัวเห็นว่าไม่สามารถคัดค้านได้ แต่จะนำความเห็นแจ้งยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป
“การแยกพนักงานบางส่วนออกไปอยู่กับบริษัทใหม่ จะดีขึ้นหรือแย่ลง ผมยังไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่การแยกบริษัทออกไปเชื่อได้ว่าไม่น่าจะใช่การทำลายล้างรัฐวิสาหกิจ หรือขายสมบัติของชาติอย่างแน่นอน ไม่น่าใช่เหตุผลในการจัดตั้งบริษัทใหม่อย่างแน่นอน” นายสุรพันธ์ กล่าวและว่า กรอบการทำงานตั้งบริษัทใหม่ บริษัท เคเบิ้ลใต้น้ำระหว่างประเทศ ทาง กสท จะใช้เวลา 3 เดือน ในการตั้งหรือจัดจ้างที่ปรึกษาขึ้นมาพิจารณา เริ่มการจัดตั้งบริษัทใหม่ภายใน 6 เดือน และโอนทรัพย์สินภายใน 1 ปี ส่วนบริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศ ให้จัดตั้งใน 16 เดือน และ บริษัท ศูนย์ข้อมูลอินเตอร์เน็ตจัดตั้งใน 12 เดือน
http://www.matichon.co.th/news/212382
สหภาพ-พนักงาน กสท ลุกฮือ ค้านจัดตั้งบริษัทลูก หวั่นโดนแปรรูป (อ้างเป็นสมบัติชาติ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 11.30 น. ที่สำนักงานใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) แจ้งวัฒนะ ทางสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) ได้จัดเวทีย่อยภายในหน่วยงาน เพื่อชุมนุมปราศรัยพนักงาน กรณีคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.) มีมติเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ให้ปรับโครงสร้างของ กสท และ บริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน) โดยจัดตั้งบริษัทลูก 3 บริษัท เพื่อบริหารจัดการทรัพย์ของทั้ง 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท โครงข่ายบรอดแบนด์ภายในประเทศ บริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศ และ บริษัท ศูนย์ข้อมูลอินเตอร์เน็ต ซึ่งทั้ง 3 บริษัทถือหุ้นโดย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) กสท และ ทีโอที โดยมีผู้บริหารของ กสท เดินทางมาตอบคำถามพนักงาน และมีพนักงานเข้าร่วมฟังและแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าวกว่า 300 คน
นายสังวรณ์ พุ่มเทียน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า การปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจครั้งนี้ เป็นการนำเสนอของกระทรวงไอซีที และบริษัท ดีลอยท์ ที่ถูกจัดจ้างขึ้นมาเป็นที่ปรึกษา ซึ่งเป็นการพิจารณาแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย แม้กระทั่ง คณะกรรมการบริษัทฯ ผู้บริหาร และพนักงานของ กสท ให้ทราบถึงรายละเอียด จึงมีลักษณะคล้ายกับเผด็จการทางความคิด ส่งผลให้พนักงาน กสท เกิดข้อสงสัยว่า การปรับเปลี่ยนโครงสร้างครั้งนี้ จะเป็นการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจให้มีความแข็งแกร่ง หรืออ่อนแอลง โดยเฉพาะการเอาโครงสร้างหลักของประเทศ เช่น สายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงใต้น้ำ(เคเบิ้ลซัพมารีน) ของ กสท ออกไปอยู่กับบริษัทที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งยังไม่มีความมั่นใจว่าบริษัทนั้นๆ จะสามารถแข่งขันกับเอกชน และจะอยู่รอดได้หรือไม่
“ที่ผ่านมาไอซีทีไม่มีความชัดเจนการปรับโครงสร้างอะไรสักอย่าง ตอนนี้จึงไม่รู้ว่าพนักงานของ กสท ใครต้องโดนไปอยู่กับบริษัทใหม่บ้าง ไปแล้วจะมีความมั่นคงหรือไม่ สภาพการจ้างงานและสวัสดิการที่เคยได้รับจะเหมือนเดิมหรือไม่ เราจึงขอแสดงจุดยืนคัดค้านการร่วมหน่วยธุรกิจ ถ้าปรับแล้วไม่ดีกว่าก็ไม่เอา และ กสท ก็ไม่ควรร่วมกับ ทีโอที ซึ่งหาก ไอซีที อยากช่วย กสท จริง ควรเริ่มจากการแก้ไขกฎระเบียบให้ทำงานคล่องตัวขึ้น และเอาบอร์ดที่มีความสามารถมาให้เรา” นายสังวรณ์ กล่าว
นายสุรพันธ์ เมฆนาวิน กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า แนวคิดการตั้งบริษัทลูกตามมติของ คนร. เบื้องต้นทาง กสท เอง ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างที่ละเอียดชัดเจน ที่ผ่านมาได้มีการสอบถามไปคร่าวๆ พบว่าการปรับโครงสร้าง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการมากขึ้นกว่าการอยู่ในสถานะรัฐวิสาหกิจ ส่วนเรื่องสถานภาพของพนักงานยังคงได้รับสิทธิประโยชน์เท่าเดิม รวมถึงใครที่จะไปอยู่กับบริษัทใหม่จะมีการสอบถามตามความสมัครใจ ด้านความประสงค์ของสหภาพฯ ส่วนตัวเห็นว่าไม่สามารถคัดค้านได้ แต่จะนำความเห็นแจ้งยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป
“การแยกพนักงานบางส่วนออกไปอยู่กับบริษัทใหม่ จะดีขึ้นหรือแย่ลง ผมยังไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่การแยกบริษัทออกไปเชื่อได้ว่าไม่น่าจะใช่การทำลายล้างรัฐวิสาหกิจ หรือขายสมบัติของชาติอย่างแน่นอน ไม่น่าใช่เหตุผลในการจัดตั้งบริษัทใหม่อย่างแน่นอน” นายสุรพันธ์ กล่าวและว่า กรอบการทำงานตั้งบริษัทใหม่ บริษัท เคเบิ้ลใต้น้ำระหว่างประเทศ ทาง กสท จะใช้เวลา 3 เดือน ในการตั้งหรือจัดจ้างที่ปรึกษาขึ้นมาพิจารณา เริ่มการจัดตั้งบริษัทใหม่ภายใน 6 เดือน และโอนทรัพย์สินภายใน 1 ปี ส่วนบริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศ ให้จัดตั้งใน 16 เดือน และ บริษัท ศูนย์ข้อมูลอินเตอร์เน็ตจัดตั้งใน 12 เดือน
http://www.matichon.co.th/news/212382