
ต้องบอกเลยว่าที่รวมหนังของQuentin Tarantinoนี้เพราะว่าหนังเเต่ละเรื่องของเขามันแปลกแหวกแนว จากการสะสมประการณ์ในการเป็นพนักงานร้านเช่าวิดิโอจนมาเป็นผู้กำกับที่เล่าเรื่องได้เเยบยลซึ่งถ้าหากคุณคาดเดาทิศทางหนังจากโปสเตอร์ จากการอ่านเรื่องย่อหรือแม้ระหว่างดู ยังไงเสียคุณก็ต้องเดาผิดอยู่ดีหากนั่นเป็นหนังของ Quentin Tarantino ผมมองว่าหนังของเขาไม่ใช้หนังcult(หนังเฉพาะกลุ่ม)เเต่เป็นเพราะหนังแนวๆที่พวกคุณไม่เข้าใจกันต่างหาก เขาจะทำให้คุณคาดไม่ถึงด้วยบทและฉากที่กระเเทกใจ เพราะมันคือหนังที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะสไตล์ Quentin Tarantino! เชิญชมกันได้เลยครับ
ปล.ทั้งหมดนี้คือหนังที่Quentinเป็น Director เพียงคนเดียว(อ้างอิงจาก imdb)แต่ก็มีหนังเรื่องอื่นๆที่เเกรวมกำกับและเขียนบท เช่น Sin city , Natural Born Killer , From Dusk Till Dawn เป็นต้นรวมถึงบางตอนใน TV Series อย่าง CSI และ ER.
____________________________________________
#1 - Reservior Dogs(1992)

แค่ฉากโกดังเล็กๆก็สามารถระเบิดอารมณ์รุนเเรงออกมาได้อย่างบ้าคลั่ง
เมื่อผู้ชายหกคนถูกรวมตัวกันเพื่อภารกิจปล้นเพชรโดยเเต่ละคนมีชื่อเรียกเป็นสีต่างๆโดยมี Mr.White (Harvey Keitel), Mr.Brown (Quentin Tarantino), Mr.Orange (Tim Roth), Mr.Blue (Edward Bunker) และ Mr.Pink (Steve Buscemi)และ Mr.Blonde (Micheal Madsen) ทว่าระหว่างภารกิจจู่ๆตำรวจก็แห่มาทำให้ Mr.Orange ถูกยิง พวกเขาเลยรู้ว่าต้องมีใครคนหนึ่งเป็นสายให้ตำรวจเป็นเเน่!
ในตอนเเรกหนังเปิดด้วยฉากถกเถียงเรื่องการตีความหมายของเพลง Like a Virgin ของ Madonna ได้อย่างเเสบทรวง ทำเราถึงกับเหวอเหมือนกันว่าจริงๆมันหมายถึงอย่างงั้นจริงๆหรอวะเนี่ย!
จุดกำเนิดของสไตล์Quentinเลย หนังเล่าสลับไปสลับมาระหว่างเรื่องหลังจากภารกิจกับเรื่องปูมหลังของเเต่ละตัวละครก่อนภารกิจ จะบอกว่างงมั้ยก็คงไม่ หนังเล่าได้ดีเเต่ลำดับเรื่องแบบกวนๆ ให้เราปะติดปะต่อเอง จู่ๆจะเฉลยว่าใครเป็นสายก็เฉลยออกมาดื้อๆเลยเเม้ว่าเรากำลังค้างอยู่ในอีกอารมณ์หนึ่ง ซึ่งเหตุการณ์(ที่เป็นปัจจุบันในเรื่อง)ถูกจำกัดอยู่ในโกดังที่เป็นจุดนัดพบหลังจบภารกิจอัดเเน่นด้วยความตึงเครียดที่คุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ ตัวละครต่างๆเริ่มเข้ามาเพิ่มความกดดันให้กับคนดูราวกับว่าเรากำลังอยู่ในโกดังนั้นและพร้อมจะอาละวาดไปกับพวกเขา!
ประเด็นคือทำไมหนังถึงได้คะเเนนนิยมเยอะขนาดนั้นทั้งๆที่ลำดับเรื่องได้สับสนมาก พล็อตเรื่องก็ง่ายๆ แถมเป็นหนังเกี่ยวกับการปล้นที่ไม่มีฉากปล้นเลยแต่นั่นแหละคือสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังเรื่องนี้ฉากเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นแค่ในโกดังเล็กๆเเต่หนังกลับมีความดิบเถื่อนมาก(มีฉากตัดอวัยวะ) แถมหนังเสียดสีเรื่องสีผิวเยอะมาก หนังยังมีบทพล่ามที่เยอะมากๆเเต่ด้วยความที่หนังเป็นแบบนี้แหละถึงถูกใจคนดู เเต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ชอบเลยก็คือบางตัวละครแทบไม่ได้ถูกกล่าวถึงเลยอย่างMr.BlueและMr.Brown ซึ่งQuentinเเสดงเองซะด้วย
สิ่งหนึ่งที่ผมตีความได้จากหนังก็คือ ความเป็นมืออาชีพในวงการของตัวเอง ซึ่งทั้งเรื่องจะมีเเค่ Mr.Pink ที่คอยพูดว่าตัวเองเป็นมืออาชีพซึ่งเขาก็เป็นอาจแบบนั้นจริงๆหรือไม่ก็โชคช่วย หากความเป็นมืออาชีพของเราลดลงเเน่นอนว่าเราไม่อาจอยู่ในวงการต่อได้ดังเช่นสุดท้ายพวกโจรก็ต่างจับไม่ได้เลยว่าใครเป็นสายตำรวจกว่าจะรู้ก็สายไปเเล้ว สำหรับสายตำรวจก็สุดท้ายก็เผลอหลุดไม่เนียนสุดท้ายก็ไม่รอด ส่วนใครเป็นสายนั้นต้องดูเอาเองครับผม บอกเลยว่าพีคมากๆ
หนังเรื่องนี้กวาดOscarไปเรียบและQuentinใช้เวลาเขียนบทเพียงสามสัปดาห์ครึ่ง ถ่ายทำเพียงเเค่35วันเท่านั้น โอ้วเเม่เจ้า!
8/10
_______________________________________________
#2 - Pulp Fiction(1994)

เเม้ว่าGenreของหนังจะเป็นCrime/Dramaแต่ผมบอกเลยว่านี่มัน Crime/Comedy ชัดๆและมันช่างเป็นส่วนผสมที่เข้ากันได้อย่างลงตัว!
นี่เรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของQuentin หนังขึ้นหิ้งRanking ของ imdb แถมยังขนนักเเสดงชั้นเยี่ยมที่พูดชื่อคงคุ้นหูกันหมด ไม่ว่าจะเป็นJohn Travolta,Uma Thurman,Samuel L.Jackson,Bruce Willis,Tim Rothและอื่นอีกมากมาย
หนังเรื่องนี้ยังได้Oscarสาขา Best screenplay written directly on the screen หรือ บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม(ดั้งเดิมในที่นี้หมายถึงว่าไม่ได้ดัดแปลงมาจากที่อื่นเลย) และยังได้อีก53รางวัล เข้าชิงอีก60รางวัล!
Pulp Fiction เป็นเรื่องราวของ Vincent Vega (John Travolta)และ Jules Winnfield (Samuel L.Jackson) สองมือปืนที่ถูกมอบหมายจาก Masellus Wallace (Ving Rhames)ให้ไปนำของสำคัญของเขากลับมาจากกลุ่มเด็กวัยรุ่นเเละยังสั่งให้Vincentพาเมียของเขา Mia (Uma Thurman) ไปเที่ยวระหว่างที่เขาไม่อยู่ อีกด้านหนึ่ง Masellus จ้างให้นักมวยเเก่ Butch (Bruce Willis) ล้มมวยเเต่เขากลับทำคู่ชกจนตายและชวดเงินหนี
และในร้านอาหารเเห่งหนึ่งคู่ผัวเมีย (Tim Roth และ Amanda Plummer) เกิดมีความคิดเเผลงๆที่จะปล้นร้านนี้เเต่พวกเขาไม่รู้ซะเเล้วว่าใครนั่งอยู่ในร้านด้วย!
อ่านเรื่องย่อเเล้วอาจจะงงๆเพราะมันเหมือนมีหนังสั้นประมาน5เรื่องรวมกันแบบสะเปะสะปะแต่ก็รู้ได้เลยว่าความสนุกรออยู่เเน่นอนและในเเต่ละเส้นเรื่องก็มีความแปลกแหวกเเนวและยังโดดเด่นในตัวมันเอง ที่สำคัญมันมีเหตุการณ์พีคๆคาดไม่ถึงอยู่อีกด้วย!
บอกเลยว่าได้กิตติศัพท์ของหนังเรื่องนี้มามาก ไหนจะรางวัลออสการ์ คะแนนimdbกว่า8.9 และดาราอีกคับคั่งทำให้ผมคาดหวังว่าจะต้องได้อะไรดีๆจากหนังเรื่องนี้แน่นอน ตอนที่titleเรื่องกำลังขึ้นพร้อมกับเพลง Misirlou ความรู้สึกมันโคตรตื่นเต้นเหมือนกำลังจะได้เปิดประสบการณ์ใหม่จากการดูหนังดีๆแบบนี้
ตอนต้นเรื่องหนังให้ความหมายของคำว่า "Pulp" คือ 1.เนื้อเยื่อที่ชื้นและอ่อนนุ่ม 2.นิตยสารหรือหนังสือตื่นเต้นที่พิมพ์ลงกระดาษเนื้อหยาบ สำหรับผม Pulp Fictionจึงหมายถึงการรวบรวม fiction magazine หลายๆเรื่องให้ผู้อ่านปะติดปะต่อเอาเอง โดยหนังเล่าตัดไปตัดมา กระจัดกระจาย เเละใส่บทพูดฟังเพลินตลอดซึ่งด้วยเส้นเรื่องหลายเส้นมีตัวละครหลายตัวเเต่หนังกลับกระจายบทได้เเน่นมาก และเราจะได้นั่งดูบทสนทนายาวเหยียดแบบบ่นไรกันวะเนี่ย555 เเต่ก็ยอมรับว่าฟังเพลินดูเป็นธรรมชาติเหมือนดูคนเถียงกัน และมันยังเเสดงถึงความคิดของตัวละครออกมาได้ดีจริงๆ ต้องชื่นชมทั้งคนเขียนบทและนักเเสดงเลย หนังยังเเสดง pop culture ในยุคนั้นอีกด้วย ทั้งฉากการเต้นในผับของ Uma Thurman และ John Travolta รวมไปถึงการช่วยชีวิตจากการ overdose ยา
คุณอาจมองว่าเป็นหนังหักมุมเเต่จริงๆเเล้วเรื่องมันโคตรจะตรง เเต่ด้วยการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่เหมือนกับ Reservoir Dogs ที่ถูกอัพเกรดขึ้นแล้วฉีกเเนวทั้งบท ภาพ มุมกล้อง แถมด้วยมุขตลกแบบตลกร้ายซึ่งเเทรกอยู่ในทุกเส้นเรื่อง
ความเป็นเอกลักษณ์ของหนังเรื่องนี้ก็คือหนังมีหลายเส้นเรื่องแต่กลับเล่าแบบกระจัดกระจายซึ่งสุดท้ายทุกเส้นเรื่องกลับมีความเชื่อมโยงกันหมดและจบอย่างลงตัวแบบเเน่นๆ ซึ่งหนังเล่าทีละนิดละหน่อยให้เราตีความไปอีกแบบเเล้วค่อยมาเล่าต่อให้เราต้องร้อง เอ้า!แบบนี้ต่างหากหรอกเรอะ!
9.5/10
_______________________________________________
#3 - Four rooms (1995)

นี่คือผลงานComedyที่ไร้สาระจริงๆ
จริงๆไม่อยากจะรีวิวเรื่องนี้มากนักเพราะเป็นหนังที่ไม่ใช่เเกกำกับคนเดียวทั้งเรื่องเพราะเรื่องนี้มี4ตอนโดย4ผู้กำกับแต่ด้วยโทนหนังที่เป็น Comedy เลยเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าถ้าเป็นQuentinกำกับจะออกมาเป็นแบบใด
หนังได้1รางวัลด้วยคือ ตัวประกอบหญิงยอดเเย่(Worst Supporting Actress) คือMadonna รับบทเป็นหนึ่งในเเม่มดสาว(สงสารแทน555)แต่ไม่ได้อยู่ในพาร์ทของQuentinนะ และในเรื่องนี้Quentinก็เเสดงด้วยอีกเช่นเคย เขารับบทเป็น Chester Rush
เหตุการณ์ป่วนๆที่เกิดขึ้นในวันNew year's eveในโรงเเรมที่Ted(Tim Roth) เด็กยกกระเป๋าคนใหม่เพิ่งเข้ามาทำงาน ในคืนเเรกเขากลับต้องเจอเรื่องราวแสนจะปวดหัวและเขาต้องผ่านมันไปให้ได้
พาร์ทของQuentinเป็นพาร์ทสุดท้ายชื่อว่า "The Man from Hollywood" เกี่ยวกับ Chester Rush ผู้กำกับหนังHollywoodกับผองเพื่อนที่มาพักในโรงเเรมสั่งของบางอย่างกับพนักงานTed เมื่อนำมาให้เขาถูกบังคับให้ร่วมเกมที่เพื่อนคนหนึ่งของChester พนันว่าถ้าเขาสามารถจุดไฟเเช็กติดต่อกัน10ครั้งเขาจะได้รถสปอร์ตของChester แต่ถ้าไม่สำเร็จTedจะตัดนิ้วเขา
ต้องบอกเลยว่าหนังไร้สาระและล้างสมองสุดๆไม่ขอพูดอะไรมาก555 ถ้าจะบอกว่าห่วยเลยก็ไม่ขนาดนั้นเพราะนี่มันหนังตลกเราก็ไม่ควรจะไปจับผิดอะไรมัน เเค่ปล่อยใจรับอารมณ์ขันก็พอ เเต่เอาจริงๆเเล้วด้วยการที่หนังแบ่งเป็นสี่พาร์ทโดยสี่ผู้กำกับทำให้หนังค่อนออกทะเลเเละไปไม่สุดซักทางสุดท้ายเลยทำให้หนังอาจดูเละๆ ซึ่งพาร์ทของQuentinนั้นก็ยังคงคอนเซปของความเป็นQuentinอยู่คือบทสนทนาที่พูดไม่หยุดและความรุนเเรง แต่เรื่องนี้อาจดูไม่ค่อยมีเหตุผลนักเพราะเป็นหนังตลกนั่นเอง
6.5/10
_______________________________________________
#4 - Jackie Brown (1997)

เรื่องนี้Quentinสร้างจากนิยายของ Elmore Leonard เป็นเรื่องราวของแอร์โฮสเทสวัย 44 ปี Jackie Brown (Pam Grier) ถูกจับข้อหาลักลอบขนเงินของมาเฟียค้าปืนเถื่อน Ordell Robbie(Samuel L.Jackson) ซึ่งเป็นเจ้านายเธอ ทางตำรวจจึงให้เธอช่วยจับOrdellแลกกับการเป็นอิสระ เเต่ใครก็ตามที่หักหลังOrdell เขาพร้อมจะฆ่าทิ้งเสมอ
หากคาดหวังว่าจะเป็นแบบ Reservoir Dogs หรือ Pulp Fiction ก็อาจจะผิดหวังเเต่ Jackie Brown ก็ยังคงรักษามาตรฐานความเป็น Quentin ได้ดีด้วยเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับอาชญากรรมที่ใช้ลูกเล่นของบท เป็นการทรยศหักหลัง ความไว้เนื้อเชื่อใจ และเรื่องเงิน มาเป็นตัวเดินเรื่องให้เรื่องนี้สนุก และ Pam Grier สามารถตีบทเดินเรื่องได้ดีนอกจากนั้นยังมีนักเเสดงดังมากมายอย่าง Samuel L.Jackson พ่อค้าปืนเถื่อนที่เหมือนจะฉลาด , Robert Del Niro คู่หูเก่าของOrdellที่เพิ่งออกจากคุก , Robert Forster นายประกันใกล้เกษียณ และ สาวเซ็กซี่(ในตอนนั้น)อย่าง Briget Fonda นอกจากนี้ยังมึเพลงคุ้นหู อย่าง Didn't I (Blow your mind) ของ The Delfonics เป็นตัวสื่อความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องอีกด้วย
ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจจากเรื่องคือ การกลัวต่อการเปลื่ยนแปลงหรือเริ่มต้นใหม่ ในหนัง Jackie เป็นแอร์ที่บินมากว่า7ล้านไมล์และบริการบนเครื่องมากว่า 20ปี หลังจากที่เธอเคยถูกจับทำให้เธอต้องตกไปอยู่สายการบินชั้นต่ำและมีเงินเดือนปีละ16000 จนมาครั้งนี้ที่ถูกจับอีกครั้งเธอจึงกลัวที่จะต้องเสียอาชีพนี้ไป และเธอไม่มีอะไรจะไปเริ่มต้นใหม่อีกด้วยอายุกำลังมากขึ้น เธอกลับไม่มีความมั่นคงในชีวิต เเต่อย่างว่าชีวิตต้องมีขึ้นมีลง เมื่อชีวิตเราลงจนสุดมันก็ต้องถึงเวลาที่เราต้องเรียนรู้และทำชีวิตให้กลับมาดีอีกครั้งเพราะไม่ว่าอายุจะมากจะน้อยยังไงเราก็ยังไม่ตาย เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
ดูเพลินๆ คอยลุ้นเอาใจช่วยนางเอก และ มีเซอร์ไพร์สอีกหลายฉาก เดี๋ยวคนนี้ตาย เดี๋ยวคนนี้ไม่ตาย
7.5/10
_______________________________________________
ติดตามรีวิวหนังของเราต่อได้ที่ เพจ หนังเรื่องนี้ละครับจารย์
https://www.facebook.com/whataboutthismov/
[CR] รีวิวหนังที่กำกับโดย Quentin Tarantino
ต้องบอกเลยว่าที่รวมหนังของQuentin Tarantinoนี้เพราะว่าหนังเเต่ละเรื่องของเขามันแปลกแหวกแนว จากการสะสมประการณ์ในการเป็นพนักงานร้านเช่าวิดิโอจนมาเป็นผู้กำกับที่เล่าเรื่องได้เเยบยลซึ่งถ้าหากคุณคาดเดาทิศทางหนังจากโปสเตอร์ จากการอ่านเรื่องย่อหรือแม้ระหว่างดู ยังไงเสียคุณก็ต้องเดาผิดอยู่ดีหากนั่นเป็นหนังของ Quentin Tarantino ผมมองว่าหนังของเขาไม่ใช้หนังcult(หนังเฉพาะกลุ่ม)เเต่เป็นเพราะหนังแนวๆที่พวกคุณไม่เข้าใจกันต่างหาก เขาจะทำให้คุณคาดไม่ถึงด้วยบทและฉากที่กระเเทกใจ เพราะมันคือหนังที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะสไตล์ Quentin Tarantino! เชิญชมกันได้เลยครับ
ปล.ทั้งหมดนี้คือหนังที่Quentinเป็น Director เพียงคนเดียว(อ้างอิงจาก imdb)แต่ก็มีหนังเรื่องอื่นๆที่เเกรวมกำกับและเขียนบท เช่น Sin city , Natural Born Killer , From Dusk Till Dawn เป็นต้นรวมถึงบางตอนใน TV Series อย่าง CSI และ ER.
____________________________________________
#1 - Reservior Dogs(1992)
แค่ฉากโกดังเล็กๆก็สามารถระเบิดอารมณ์รุนเเรงออกมาได้อย่างบ้าคลั่ง
เมื่อผู้ชายหกคนถูกรวมตัวกันเพื่อภารกิจปล้นเพชรโดยเเต่ละคนมีชื่อเรียกเป็นสีต่างๆโดยมี Mr.White (Harvey Keitel), Mr.Brown (Quentin Tarantino), Mr.Orange (Tim Roth), Mr.Blue (Edward Bunker) และ Mr.Pink (Steve Buscemi)และ Mr.Blonde (Micheal Madsen) ทว่าระหว่างภารกิจจู่ๆตำรวจก็แห่มาทำให้ Mr.Orange ถูกยิง พวกเขาเลยรู้ว่าต้องมีใครคนหนึ่งเป็นสายให้ตำรวจเป็นเเน่!
ในตอนเเรกหนังเปิดด้วยฉากถกเถียงเรื่องการตีความหมายของเพลง Like a Virgin ของ Madonna ได้อย่างเเสบทรวง ทำเราถึงกับเหวอเหมือนกันว่าจริงๆมันหมายถึงอย่างงั้นจริงๆหรอวะเนี่ย!
จุดกำเนิดของสไตล์Quentinเลย หนังเล่าสลับไปสลับมาระหว่างเรื่องหลังจากภารกิจกับเรื่องปูมหลังของเเต่ละตัวละครก่อนภารกิจ จะบอกว่างงมั้ยก็คงไม่ หนังเล่าได้ดีเเต่ลำดับเรื่องแบบกวนๆ ให้เราปะติดปะต่อเอง จู่ๆจะเฉลยว่าใครเป็นสายก็เฉลยออกมาดื้อๆเลยเเม้ว่าเรากำลังค้างอยู่ในอีกอารมณ์หนึ่ง ซึ่งเหตุการณ์(ที่เป็นปัจจุบันในเรื่อง)ถูกจำกัดอยู่ในโกดังที่เป็นจุดนัดพบหลังจบภารกิจอัดเเน่นด้วยความตึงเครียดที่คุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ ตัวละครต่างๆเริ่มเข้ามาเพิ่มความกดดันให้กับคนดูราวกับว่าเรากำลังอยู่ในโกดังนั้นและพร้อมจะอาละวาดไปกับพวกเขา!
ประเด็นคือทำไมหนังถึงได้คะเเนนนิยมเยอะขนาดนั้นทั้งๆที่ลำดับเรื่องได้สับสนมาก พล็อตเรื่องก็ง่ายๆ แถมเป็นหนังเกี่ยวกับการปล้นที่ไม่มีฉากปล้นเลยแต่นั่นแหละคือสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังเรื่องนี้ฉากเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นแค่ในโกดังเล็กๆเเต่หนังกลับมีความดิบเถื่อนมาก(มีฉากตัดอวัยวะ) แถมหนังเสียดสีเรื่องสีผิวเยอะมาก หนังยังมีบทพล่ามที่เยอะมากๆเเต่ด้วยความที่หนังเป็นแบบนี้แหละถึงถูกใจคนดู เเต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ชอบเลยก็คือบางตัวละครแทบไม่ได้ถูกกล่าวถึงเลยอย่างMr.BlueและMr.Brown ซึ่งQuentinเเสดงเองซะด้วย
สิ่งหนึ่งที่ผมตีความได้จากหนังก็คือ ความเป็นมืออาชีพในวงการของตัวเอง ซึ่งทั้งเรื่องจะมีเเค่ Mr.Pink ที่คอยพูดว่าตัวเองเป็นมืออาชีพซึ่งเขาก็เป็นอาจแบบนั้นจริงๆหรือไม่ก็โชคช่วย หากความเป็นมืออาชีพของเราลดลงเเน่นอนว่าเราไม่อาจอยู่ในวงการต่อได้ดังเช่นสุดท้ายพวกโจรก็ต่างจับไม่ได้เลยว่าใครเป็นสายตำรวจกว่าจะรู้ก็สายไปเเล้ว สำหรับสายตำรวจก็สุดท้ายก็เผลอหลุดไม่เนียนสุดท้ายก็ไม่รอด ส่วนใครเป็นสายนั้นต้องดูเอาเองครับผม บอกเลยว่าพีคมากๆ
หนังเรื่องนี้กวาดOscarไปเรียบและQuentinใช้เวลาเขียนบทเพียงสามสัปดาห์ครึ่ง ถ่ายทำเพียงเเค่35วันเท่านั้น โอ้วเเม่เจ้า!
8/10
_______________________________________________
#2 - Pulp Fiction(1994)
เเม้ว่าGenreของหนังจะเป็นCrime/Dramaแต่ผมบอกเลยว่านี่มัน Crime/Comedy ชัดๆและมันช่างเป็นส่วนผสมที่เข้ากันได้อย่างลงตัว!
นี่เรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของQuentin หนังขึ้นหิ้งRanking ของ imdb แถมยังขนนักเเสดงชั้นเยี่ยมที่พูดชื่อคงคุ้นหูกันหมด ไม่ว่าจะเป็นJohn Travolta,Uma Thurman,Samuel L.Jackson,Bruce Willis,Tim Rothและอื่นอีกมากมาย
หนังเรื่องนี้ยังได้Oscarสาขา Best screenplay written directly on the screen หรือ บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม(ดั้งเดิมในที่นี้หมายถึงว่าไม่ได้ดัดแปลงมาจากที่อื่นเลย) และยังได้อีก53รางวัล เข้าชิงอีก60รางวัล!
Pulp Fiction เป็นเรื่องราวของ Vincent Vega (John Travolta)และ Jules Winnfield (Samuel L.Jackson) สองมือปืนที่ถูกมอบหมายจาก Masellus Wallace (Ving Rhames)ให้ไปนำของสำคัญของเขากลับมาจากกลุ่มเด็กวัยรุ่นเเละยังสั่งให้Vincentพาเมียของเขา Mia (Uma Thurman) ไปเที่ยวระหว่างที่เขาไม่อยู่ อีกด้านหนึ่ง Masellus จ้างให้นักมวยเเก่ Butch (Bruce Willis) ล้มมวยเเต่เขากลับทำคู่ชกจนตายและชวดเงินหนี
และในร้านอาหารเเห่งหนึ่งคู่ผัวเมีย (Tim Roth และ Amanda Plummer) เกิดมีความคิดเเผลงๆที่จะปล้นร้านนี้เเต่พวกเขาไม่รู้ซะเเล้วว่าใครนั่งอยู่ในร้านด้วย!
อ่านเรื่องย่อเเล้วอาจจะงงๆเพราะมันเหมือนมีหนังสั้นประมาน5เรื่องรวมกันแบบสะเปะสะปะแต่ก็รู้ได้เลยว่าความสนุกรออยู่เเน่นอนและในเเต่ละเส้นเรื่องก็มีความแปลกแหวกเเนวและยังโดดเด่นในตัวมันเอง ที่สำคัญมันมีเหตุการณ์พีคๆคาดไม่ถึงอยู่อีกด้วย!
บอกเลยว่าได้กิตติศัพท์ของหนังเรื่องนี้มามาก ไหนจะรางวัลออสการ์ คะแนนimdbกว่า8.9 และดาราอีกคับคั่งทำให้ผมคาดหวังว่าจะต้องได้อะไรดีๆจากหนังเรื่องนี้แน่นอน ตอนที่titleเรื่องกำลังขึ้นพร้อมกับเพลง Misirlou ความรู้สึกมันโคตรตื่นเต้นเหมือนกำลังจะได้เปิดประสบการณ์ใหม่จากการดูหนังดีๆแบบนี้
ตอนต้นเรื่องหนังให้ความหมายของคำว่า "Pulp" คือ 1.เนื้อเยื่อที่ชื้นและอ่อนนุ่ม 2.นิตยสารหรือหนังสือตื่นเต้นที่พิมพ์ลงกระดาษเนื้อหยาบ สำหรับผม Pulp Fictionจึงหมายถึงการรวบรวม fiction magazine หลายๆเรื่องให้ผู้อ่านปะติดปะต่อเอาเอง โดยหนังเล่าตัดไปตัดมา กระจัดกระจาย เเละใส่บทพูดฟังเพลินตลอดซึ่งด้วยเส้นเรื่องหลายเส้นมีตัวละครหลายตัวเเต่หนังกลับกระจายบทได้เเน่นมาก และเราจะได้นั่งดูบทสนทนายาวเหยียดแบบบ่นไรกันวะเนี่ย555 เเต่ก็ยอมรับว่าฟังเพลินดูเป็นธรรมชาติเหมือนดูคนเถียงกัน และมันยังเเสดงถึงความคิดของตัวละครออกมาได้ดีจริงๆ ต้องชื่นชมทั้งคนเขียนบทและนักเเสดงเลย หนังยังเเสดง pop culture ในยุคนั้นอีกด้วย ทั้งฉากการเต้นในผับของ Uma Thurman และ John Travolta รวมไปถึงการช่วยชีวิตจากการ overdose ยา
คุณอาจมองว่าเป็นหนังหักมุมเเต่จริงๆเเล้วเรื่องมันโคตรจะตรง เเต่ด้วยการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่เหมือนกับ Reservoir Dogs ที่ถูกอัพเกรดขึ้นแล้วฉีกเเนวทั้งบท ภาพ มุมกล้อง แถมด้วยมุขตลกแบบตลกร้ายซึ่งเเทรกอยู่ในทุกเส้นเรื่อง
ความเป็นเอกลักษณ์ของหนังเรื่องนี้ก็คือหนังมีหลายเส้นเรื่องแต่กลับเล่าแบบกระจัดกระจายซึ่งสุดท้ายทุกเส้นเรื่องกลับมีความเชื่อมโยงกันหมดและจบอย่างลงตัวแบบเเน่นๆ ซึ่งหนังเล่าทีละนิดละหน่อยให้เราตีความไปอีกแบบเเล้วค่อยมาเล่าต่อให้เราต้องร้อง เอ้า!แบบนี้ต่างหากหรอกเรอะ!
9.5/10
_______________________________________________
#3 - Four rooms (1995)
นี่คือผลงานComedyที่ไร้สาระจริงๆ
จริงๆไม่อยากจะรีวิวเรื่องนี้มากนักเพราะเป็นหนังที่ไม่ใช่เเกกำกับคนเดียวทั้งเรื่องเพราะเรื่องนี้มี4ตอนโดย4ผู้กำกับแต่ด้วยโทนหนังที่เป็น Comedy เลยเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าถ้าเป็นQuentinกำกับจะออกมาเป็นแบบใด
หนังได้1รางวัลด้วยคือ ตัวประกอบหญิงยอดเเย่(Worst Supporting Actress) คือMadonna รับบทเป็นหนึ่งในเเม่มดสาว(สงสารแทน555)แต่ไม่ได้อยู่ในพาร์ทของQuentinนะ และในเรื่องนี้Quentinก็เเสดงด้วยอีกเช่นเคย เขารับบทเป็น Chester Rush
เหตุการณ์ป่วนๆที่เกิดขึ้นในวันNew year's eveในโรงเเรมที่Ted(Tim Roth) เด็กยกกระเป๋าคนใหม่เพิ่งเข้ามาทำงาน ในคืนเเรกเขากลับต้องเจอเรื่องราวแสนจะปวดหัวและเขาต้องผ่านมันไปให้ได้
พาร์ทของQuentinเป็นพาร์ทสุดท้ายชื่อว่า "The Man from Hollywood" เกี่ยวกับ Chester Rush ผู้กำกับหนังHollywoodกับผองเพื่อนที่มาพักในโรงเเรมสั่งของบางอย่างกับพนักงานTed เมื่อนำมาให้เขาถูกบังคับให้ร่วมเกมที่เพื่อนคนหนึ่งของChester พนันว่าถ้าเขาสามารถจุดไฟเเช็กติดต่อกัน10ครั้งเขาจะได้รถสปอร์ตของChester แต่ถ้าไม่สำเร็จTedจะตัดนิ้วเขา
ต้องบอกเลยว่าหนังไร้สาระและล้างสมองสุดๆไม่ขอพูดอะไรมาก555 ถ้าจะบอกว่าห่วยเลยก็ไม่ขนาดนั้นเพราะนี่มันหนังตลกเราก็ไม่ควรจะไปจับผิดอะไรมัน เเค่ปล่อยใจรับอารมณ์ขันก็พอ เเต่เอาจริงๆเเล้วด้วยการที่หนังแบ่งเป็นสี่พาร์ทโดยสี่ผู้กำกับทำให้หนังค่อนออกทะเลเเละไปไม่สุดซักทางสุดท้ายเลยทำให้หนังอาจดูเละๆ ซึ่งพาร์ทของQuentinนั้นก็ยังคงคอนเซปของความเป็นQuentinอยู่คือบทสนทนาที่พูดไม่หยุดและความรุนเเรง แต่เรื่องนี้อาจดูไม่ค่อยมีเหตุผลนักเพราะเป็นหนังตลกนั่นเอง
6.5/10
_______________________________________________
#4 - Jackie Brown (1997)
เรื่องนี้Quentinสร้างจากนิยายของ Elmore Leonard เป็นเรื่องราวของแอร์โฮสเทสวัย 44 ปี Jackie Brown (Pam Grier) ถูกจับข้อหาลักลอบขนเงินของมาเฟียค้าปืนเถื่อน Ordell Robbie(Samuel L.Jackson) ซึ่งเป็นเจ้านายเธอ ทางตำรวจจึงให้เธอช่วยจับOrdellแลกกับการเป็นอิสระ เเต่ใครก็ตามที่หักหลังOrdell เขาพร้อมจะฆ่าทิ้งเสมอ
หากคาดหวังว่าจะเป็นแบบ Reservoir Dogs หรือ Pulp Fiction ก็อาจจะผิดหวังเเต่ Jackie Brown ก็ยังคงรักษามาตรฐานความเป็น Quentin ได้ดีด้วยเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับอาชญากรรมที่ใช้ลูกเล่นของบท เป็นการทรยศหักหลัง ความไว้เนื้อเชื่อใจ และเรื่องเงิน มาเป็นตัวเดินเรื่องให้เรื่องนี้สนุก และ Pam Grier สามารถตีบทเดินเรื่องได้ดีนอกจากนั้นยังมีนักเเสดงดังมากมายอย่าง Samuel L.Jackson พ่อค้าปืนเถื่อนที่เหมือนจะฉลาด , Robert Del Niro คู่หูเก่าของOrdellที่เพิ่งออกจากคุก , Robert Forster นายประกันใกล้เกษียณ และ สาวเซ็กซี่(ในตอนนั้น)อย่าง Briget Fonda นอกจากนี้ยังมึเพลงคุ้นหู อย่าง Didn't I (Blow your mind) ของ The Delfonics เป็นตัวสื่อความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องอีกด้วย
ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจจากเรื่องคือ การกลัวต่อการเปลื่ยนแปลงหรือเริ่มต้นใหม่ ในหนัง Jackie เป็นแอร์ที่บินมากว่า7ล้านไมล์และบริการบนเครื่องมากว่า 20ปี หลังจากที่เธอเคยถูกจับทำให้เธอต้องตกไปอยู่สายการบินชั้นต่ำและมีเงินเดือนปีละ16000 จนมาครั้งนี้ที่ถูกจับอีกครั้งเธอจึงกลัวที่จะต้องเสียอาชีพนี้ไป และเธอไม่มีอะไรจะไปเริ่มต้นใหม่อีกด้วยอายุกำลังมากขึ้น เธอกลับไม่มีความมั่นคงในชีวิต เเต่อย่างว่าชีวิตต้องมีขึ้นมีลง เมื่อชีวิตเราลงจนสุดมันก็ต้องถึงเวลาที่เราต้องเรียนรู้และทำชีวิตให้กลับมาดีอีกครั้งเพราะไม่ว่าอายุจะมากจะน้อยยังไงเราก็ยังไม่ตาย เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
ดูเพลินๆ คอยลุ้นเอาใจช่วยนางเอก และ มีเซอร์ไพร์สอีกหลายฉาก เดี๋ยวคนนี้ตาย เดี๋ยวคนนี้ไม่ตาย
7.5/10
_______________________________________________
ติดตามรีวิวหนังของเราต่อได้ที่ เพจ หนังเรื่องนี้ละครับจารย์
https://www.facebook.com/whataboutthismov/