บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : ARROW แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 18.00 บาท
วันที่ 8 กรกฎาคม 2559
ท่อ RTRC จะเป็นความหวังของการเติบโตที่เร่งตัวต่อไป
บริษัทตัดสินใจลงทุนโรงงานผลิตท่อ RTRC หรือท่ออีพ็อกซีเรซินเสริมใยแก้วแห่งใหม่ เป็นท่อสำหรับร้อยสายไฟที่ใช้ในรถไฟฟ้า/โครงการสายไฟลงดิน และ งานสุวรรณภูมิเฟส 2 โดยบริษัทมีการผลิตและขายท่อ RTRC อยู่แล้ว แต่ไม่ได้เป็นสัดส่วนที่สูงนักประมาณ 7% ของรายได้รวม แต่ด้วยภาวะการลงทุนภาครัฐมีต่อเนื่องและความต้องการใช้ท่อ RTRC นี้สูงในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ จากทั้งงานรถไฟฟ้า งานนำสายไฟลงดินที่จะเร่งรัดจาก 10 ปีเหลือ 5 ปี และสุวรรณภูมิเฟส 2 ทำให้บริษัทตัดสินใจลงทุนขยายการผลิตสร้างโรงงานดังกล่าวเพิ่มอีก 1 แห่ง ซึ่งโดยปกติผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีอัตรากำไรที่สูงกว่าผลิตภัณฑ์เดิมของบริษัทประมาณ 3%-5% และคาดว่าโรงงานแห่งใหม่นี้จะสร้างรายได้ในเบื้องต้นเพิ่มขึ้นอีก 120-150 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นรายได้เพิ่มขึ้น 8%-10% โดยคาดว่าจะดำเนินการผลิตได้ในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
อัตรากำไรขั้นต้นที่ทรงตัวในระดับสูงเป็นที่คาใจของตลาดว่ายังจะทรงตัวได้หรือไม่ โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ประโยชน์ต่อเนื่องจากราคาเหล็กทั้งในช่วงขาขึ้นและในช่วงขาลง และไม่ใช่ระดับราคาเหล็กเพียงอย่างเดียวที่ส่งผลให้อัตรากำไรเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งที่อัตรากำไรขั้นต้นยังสามารถทรงตัวในระดับสูงได้ เป็นผลจากส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการประหยัดจากขนาดและการปรับปรุงประสิทธิภาพ นอกจากนี้ผลกระทบจากความผันผวนของราคาเหล็กจะลดลงจากการปรับราคาขายขึ้น 1%-3% โดยเราประเมินอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3 และ 4 คาดว่าจะมีช่วงชะลอตัวลงจากไตรมาส 1 ที่ 36.18% โดยจะอยู่ในช่วง 33%-30% ซึ่งลดลงไม่มากนัก ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2 ประเมินไว้ที่ 35% โดยรวมบริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี ซึ่งที่ผ่านมาทั้งราคาเหล็กช่วงที่ขึ้นและลงผันผวนรุนแรง แต่การบริหารจัดการก็ส่งผลให้กำไรขั้นต้นยังสามารถทรงตัวในระดับสูงได้ต่อเนื่อง
เป้ารายได้ที่ 1,400 ล้านบาทในปีนี้ และ 1,600 ล้านบาทในปี 2017 ยังไม่ได้รวมรายไดจ้ ากท่อ RTRC ไปทั้งหมด การเพิ่มขึ้นของรายได้ในปีหน้าบริษัทตั้งเป้าไว้รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากงานรับเหมาก่อสร้างเป็นส่วนใหญ่ในขณะที่การรับรู้รายได้ในส่วนของท่อ RTRC ยังไม่ได้รวมในประมาณการรายได้ทั้งหมด ซึ่งตัวแปรหลักของรายได้อยู่ที่การประมูลงานสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 จาก ITD ซึ่งหากได้งานนี้จะส่งผลให้กำไรเติบโตกว่าที่ประมาณการไว้ที่มีนัยสำคัญ
อัตราส่วนทางการเงินดี ความสามารถในการทำกำไรยังค่อนข้างดี ROE เฉลี่ย 24.29% และมีสถานะเงินสดสุทธิประมาณ 200 ล้านบาท ไม่มีหนี้ที่มีนัยสำคัญ มี D/E เพียง 0.134 เท่า โดยรวมมีเงินสดสุทธิต่อหุ้นประมาณ 0.80 บาทต่อหุ้น และเป็นผู้นำในตลาดท่อร้อยสายไฟด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 60% ซื้อขายที่ P/E 13.36 เท่า
เรายังคงคำแนะนำซื้อ ด้วยราคาเป้าหมาย P/E 15 เท่า ได้ราคาเป้าหมายปี 60 ที่ 18 บาท ซึ่งยังไม่รวมงานสุวรรณภูมิเฟส 2 แม้ว่าราคาจะปรับตัวขึ้นมานับตั้งแต่บทวิเคราะห์สัปดาห์ก่อน แต่เชื่อว่าบริษัทยังมีโอกาสที่จะมีรายได้เพิ่มจากโรงงานแห่งใหม่ รวมถึงการเก็งกำไรในการเปิดประมูลนำสายไฟลงดินโครงการช่องนนทรีวันที่ 21 ก.ค. นี้
ARROW ถ้าทำได้จริง อนาคตไกล
วันที่ 8 กรกฎาคม 2559
ท่อ RTRC จะเป็นความหวังของการเติบโตที่เร่งตัวต่อไป
บริษัทตัดสินใจลงทุนโรงงานผลิตท่อ RTRC หรือท่ออีพ็อกซีเรซินเสริมใยแก้วแห่งใหม่ เป็นท่อสำหรับร้อยสายไฟที่ใช้ในรถไฟฟ้า/โครงการสายไฟลงดิน และ งานสุวรรณภูมิเฟส 2 โดยบริษัทมีการผลิตและขายท่อ RTRC อยู่แล้ว แต่ไม่ได้เป็นสัดส่วนที่สูงนักประมาณ 7% ของรายได้รวม แต่ด้วยภาวะการลงทุนภาครัฐมีต่อเนื่องและความต้องการใช้ท่อ RTRC นี้สูงในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ จากทั้งงานรถไฟฟ้า งานนำสายไฟลงดินที่จะเร่งรัดจาก 10 ปีเหลือ 5 ปี และสุวรรณภูมิเฟส 2 ทำให้บริษัทตัดสินใจลงทุนขยายการผลิตสร้างโรงงานดังกล่าวเพิ่มอีก 1 แห่ง ซึ่งโดยปกติผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีอัตรากำไรที่สูงกว่าผลิตภัณฑ์เดิมของบริษัทประมาณ 3%-5% และคาดว่าโรงงานแห่งใหม่นี้จะสร้างรายได้ในเบื้องต้นเพิ่มขึ้นอีก 120-150 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นรายได้เพิ่มขึ้น 8%-10% โดยคาดว่าจะดำเนินการผลิตได้ในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
อัตรากำไรขั้นต้นที่ทรงตัวในระดับสูงเป็นที่คาใจของตลาดว่ายังจะทรงตัวได้หรือไม่ โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ประโยชน์ต่อเนื่องจากราคาเหล็กทั้งในช่วงขาขึ้นและในช่วงขาลง และไม่ใช่ระดับราคาเหล็กเพียงอย่างเดียวที่ส่งผลให้อัตรากำไรเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งที่อัตรากำไรขั้นต้นยังสามารถทรงตัวในระดับสูงได้ เป็นผลจากส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการประหยัดจากขนาดและการปรับปรุงประสิทธิภาพ นอกจากนี้ผลกระทบจากความผันผวนของราคาเหล็กจะลดลงจากการปรับราคาขายขึ้น 1%-3% โดยเราประเมินอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3 และ 4 คาดว่าจะมีช่วงชะลอตัวลงจากไตรมาส 1 ที่ 36.18% โดยจะอยู่ในช่วง 33%-30% ซึ่งลดลงไม่มากนัก ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2 ประเมินไว้ที่ 35% โดยรวมบริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี ซึ่งที่ผ่านมาทั้งราคาเหล็กช่วงที่ขึ้นและลงผันผวนรุนแรง แต่การบริหารจัดการก็ส่งผลให้กำไรขั้นต้นยังสามารถทรงตัวในระดับสูงได้ต่อเนื่อง
เป้ารายได้ที่ 1,400 ล้านบาทในปีนี้ และ 1,600 ล้านบาทในปี 2017 ยังไม่ได้รวมรายไดจ้ ากท่อ RTRC ไปทั้งหมด การเพิ่มขึ้นของรายได้ในปีหน้าบริษัทตั้งเป้าไว้รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากงานรับเหมาก่อสร้างเป็นส่วนใหญ่ในขณะที่การรับรู้รายได้ในส่วนของท่อ RTRC ยังไม่ได้รวมในประมาณการรายได้ทั้งหมด ซึ่งตัวแปรหลักของรายได้อยู่ที่การประมูลงานสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 จาก ITD ซึ่งหากได้งานนี้จะส่งผลให้กำไรเติบโตกว่าที่ประมาณการไว้ที่มีนัยสำคัญ
อัตราส่วนทางการเงินดี ความสามารถในการทำกำไรยังค่อนข้างดี ROE เฉลี่ย 24.29% และมีสถานะเงินสดสุทธิประมาณ 200 ล้านบาท ไม่มีหนี้ที่มีนัยสำคัญ มี D/E เพียง 0.134 เท่า โดยรวมมีเงินสดสุทธิต่อหุ้นประมาณ 0.80 บาทต่อหุ้น และเป็นผู้นำในตลาดท่อร้อยสายไฟด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 60% ซื้อขายที่ P/E 13.36 เท่า
เรายังคงคำแนะนำซื้อ ด้วยราคาเป้าหมาย P/E 15 เท่า ได้ราคาเป้าหมายปี 60 ที่ 18 บาท ซึ่งยังไม่รวมงานสุวรรณภูมิเฟส 2 แม้ว่าราคาจะปรับตัวขึ้นมานับตั้งแต่บทวิเคราะห์สัปดาห์ก่อน แต่เชื่อว่าบริษัทยังมีโอกาสที่จะมีรายได้เพิ่มจากโรงงานแห่งใหม่ รวมถึงการเก็งกำไรในการเปิดประมูลนำสายไฟลงดินโครงการช่องนนทรีวันที่ 21 ก.ค. นี้