1.
“set” เป็นคำที่มีคำจำกัดความมากที่สุดในภาษาอังกฤษ (464 ความหมาย)
- “Run” ตามมาเป็นอันดับ 2 (396 ความหมาย)
- “Go” ตามมาเป็นอับดับ 3 (368 ความหมาย)
2.
ในปี 1923 รัฐอิลลินอยส์ (รัฐหนึ่งในสหรัฐอเมริกา) ออกกฎหมายห้ามพูดภาษาอังกฤษ โดยให้พลเมืองพูดภาษา “อเมริกัน” แทน
- กฎหมายนี้ถูกกำหนดขึ้นในปี 1923 เพื่อเป็นประท้วงและต่อต้านชาวบริทิช (สหราชอาณาจักร)
- แต่มาในปี 1969 กฎหมายนี้ก็ถูกปรับเปลี่ยน (แบบลับ ๆ) ให้กลับมาใช้ “ภาษาอังกฤษ” เป็นภาษาราชการเหมือนเดิม
3.
คำว่า “ Indivisibility” (ความไม่สามารถที่จะแบ่งแยกได้) มีสระเดียวที่ถูกใช้ถึงห้าครั้ง
4.
คำศัพท์ที่ยาวที่สุดในภาษาอังกฤษ (45 ตัวอักษร) คือคำว่า “pneumonoultramicroscopicsilicovolcanokoniosis” แปลว่า “โรคมะเร็งปอดชนิดหนึ่งที่มีสาเหตุจากการสูดดมขี้เถ้าและฝุ่นทราย”
- คำนี้ถูกคิดค้นโดย เอฟเร็ตต์ เอ็ม. สมิธ ประธานสมาคมนักแก้ปัญหาแห่งชาติ ในการประชุมประจำปี ค.ศ. 1935 คำนี้ปรากฏบนพาดหัวของบทความในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กเฮรัลด์ทริบูน ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1935
5.
ประโยค “The quick brown fox jumps over the lazy dog.” (หมาป่าที่ว่องไวตัวหนึ่งกระโดดข้ามเจ้าหมาขี้เกียจ) เป็นประโยคที่มีพยัญชนะภาษาอังกฤษครบทุกตัว
- เราเรียกประโยคแบบนี้ว่า ‘Pangram’
6.
การเว้นช่องว่างระหว่างคำในภาษาอังกฤษเพิ่งถูกคิดค้นขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
อาจจะเป็นเรื่องยากที่คุณจะทำใจเชื่อ แต่ถ้าคุณลองหาหนังสือที่เขียนก่อนปี 1914 คุณจะพบว่าหนังสือเหล่านั้นถูกเขียนขึ้นโดยไม่มีการเว้นช่องว่างระหว่างคำ! (เว้นเสียแต่ว่าหนังสือเหล่านั้นได้ถูกนำเอามาปรับปรุงเพิ่มช่องว่างระหว่างคำเข้าไปเพื่อให้นักอ่านในยุคหลัง ๆ อ่านได้เข้าใจง่ายขึ้น)
เหตุผลที่ไม่มีการเว้นช่องว่างระหว่างคำก็เพราะว่า กระดาษในยุคนั้นแพงมาก ทำให้นักเขียนต้องประหยัดพื้นที่ให้ได้มากที่สุดเวลาจะพิมพ์หนังสือ โดยนักเขียนจะได้รับอนุญาตให้เว้นช่องว่างเพียงหนึ่งบรรทัดเพื่อขึ้นบทใหม่เท่านั้น (ซึ่งต้องเสียเงิน 1 เซนต์ ต่อการเคาะหนึ่งครั้ง)
แต่เมื่อโลกเข้าสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 การเว้นช่องว่างระหว่างคำก็ได้ถือกำเนิดขึ้น เหตุก็เพราะว่าทหารแนวหน้ามีความจำเป็นที่จะต้องอ่านข่าวสารที่ส่งมาอย่างรวดเร็วและถูกต้องชัดเจน การเว้นช่องว่างระหว่างจึงถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อให้ทหารอ่านได้ง่ายขึ้น พอสงครามจบ นักเขียนที่เคยเป็นทหารก็ได้นำเอาวิธีการนี้มาปรับเข้ากับการเขียนหนังสือในชีวิตประจำวัน ไม่กี่ปีต่อมามันก็ได้กลายเป็นมาตรฐานในการเขียนหนังสือ
8.
“Rhythms” คือคำที่ไม่มีสระที่ยาวที่สุดในภาษาอังกฤษ
9.
คำว่า “French kiss” ในภาษาอังกฤษนั้นถูกเรียกว่า “English kiss” ในภาษาฝรั่งเศส
10.
คุณสามารถพิมพ์คำว่า “Typewriter” โดยใช้แค่คีย์บอร์ดแถวแรก (ไม่นับแถวที่เป็นเลขนะ ลองดู)
11.
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการแห่งท้องฟ้า (Official Language of Skies)
- ไม่ว่าจะมาจากประเทศไหน นักบินทุกคนจะต้องสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษในเที่ยวบินนานาชาติ
12.
มีเพียงสองคำในภาษาอังกฤษที่ลงท้ายด้วย –gry ได้แก่ Angry และ hungry แต่ถ้าใครทั้ง angry และ hungry ในเวลาเดียวกัน... แปลว่าเขากำลัง HANGRY อยู่ (ใครชอบมีอาการนี้ยอมรับมาซะดี ๆ)
13.
ประโยคที่สั้นที่สุดในภาษาอังกฤษคือ “Go!” (ไม่เชื่อก็ลองหาที่สั้นกว่านี้ดู)
14.
มีดาวดวงหนึ่งที่ไม่ใช่ถูกเรียกตามชื่อเทพเจ้าโรมัน ได้แก่.... Earth นั่นเอง นอกนั้นได้แก่ (เรียงตามลำดับ) the Sun, Mercury, Venus, (Earth), Mars, Jupiter, Saturn, Uranus, Neptune
15.
เกือบทุกประเทศในแถบเอเชียมีภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับในหลักสูตรการเรียน (อันนี้คงรู้กันดี)
16.
ทุก ๆ สองชั่วโมง (ประมาณ 98 นาทีโดยเฉลี่ย) จะมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพิ่มเข้าไปในดิกชั่นนารีหนึ่งคำ
17.
1 ใน 5 ของประชากรโลกพูดภาษาอังกฤษ
18.
กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของข้อมูลที่ถูกเก็บในคอมพิวเตอร์ทั่วโลกถูกเขียนเป็นภาษาอังกฤษ
19.
90 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อหาในภาษาอังกฤษมาจากคำศัพท์เพียง 1000 คำ
20.
ถ้าเขียนเลขเป็นตัวอักษรจาก 0 (zero) ถึง 999 (Nine-hundred ninety nine) จะไม่เจอพยัญชนะตัว A เลย และกว่าจะเจอตัว B ก็ต้องหากันไปถึง 1,000,000,000 (Billion) ถึงจะเจอ (ไม่เชื่อลองหาดูดิ)
21.
คำศัพท์ที่ยาวที่สุดโดยที่ไม่มีพยัญชนะตัวไหนในคำนั้นที่ซ้ำกันคือคำว่า Uncopyrightable แปลว่า ซึ่งสงวนลิขสิทธิ์
22.
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของ 67 ประเทศทั่วโลก
23.
คำว่า “Goodbye” มีต้นกำเนิดมาจากภาษาอังกฤษโบราณซึ่งมีความหมายว่า “God be with you.” (ขอพระเจ้าจงสถิตอยู่กับท่าน)
24.
คำว่า ‘Bride’ (เจ้าสาว) มีที่มาจากภาษาเยอรมันโบราณซึ่งมีความหมายว่า “ทำอาหาร”
25.
มีคนพูดภาษาอังกฤษในประเทศ ไนจีเรีย มากกว่าคนที่พูดภาษาอังกฤษในสหราชอาณาจักร
26.
ภาษาอังกฤษถูกแบ่งออกเป็น 24 สำเนียงในสหรัฐอเมริกา
27.
ก่อนศตวรรษที่ 19 คำศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับคำว่า “Actor” (ดารา, นักแสดง) คือคำว่า “Hypocrite” (นักเสแสร้ง)
28.
คำตรงข้ามของ déjà-vu คือคำว่า jamais-vu (ฌาแม-วู) เป็นอาการตรงกันข้ามกับเดฌา-วูว์ คือ เคยพบเจอเหตุการณ์นั้นมาแล้ว แต่จำไม่ได้
29.
ในสมัยก่อนคำว่า ‘Girl’ ใช้เรียกทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง
30.
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่คนพูดมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก (อันดับหนึ่งคือ ภาษาจีน และอันดับสองคือ ภาษาสเปน)
31.
ตัวอักษรที่ใช้บ่อยที่สุดในภาษาอังกฤษคือ E และตัวอักษรที่ถูกใช้น้อยที่สุดคือ Z
32.
ภาษาอังกฤษมีคำที่ขึ้นต้นด้วยตัว S มากที่สุด
อย่าลืมเข้าไปไลค์เพจเพื่อติดตามอัพเดตความรู้ภาษาอังกฤษน้าา
https://www.facebook.com/MyFathersAnEnglishMan/
ความจริงเกี่ยวกับภาษาอังกฤษที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน!!
- “Run” ตามมาเป็นอันดับ 2 (396 ความหมาย)
- “Go” ตามมาเป็นอับดับ 3 (368 ความหมาย)
2. ในปี 1923 รัฐอิลลินอยส์ (รัฐหนึ่งในสหรัฐอเมริกา) ออกกฎหมายห้ามพูดภาษาอังกฤษ โดยให้พลเมืองพูดภาษา “อเมริกัน” แทน
- กฎหมายนี้ถูกกำหนดขึ้นในปี 1923 เพื่อเป็นประท้วงและต่อต้านชาวบริทิช (สหราชอาณาจักร)
- แต่มาในปี 1969 กฎหมายนี้ก็ถูกปรับเปลี่ยน (แบบลับ ๆ) ให้กลับมาใช้ “ภาษาอังกฤษ” เป็นภาษาราชการเหมือนเดิม
3. คำว่า “ Indivisibility” (ความไม่สามารถที่จะแบ่งแยกได้) มีสระเดียวที่ถูกใช้ถึงห้าครั้ง
4. คำศัพท์ที่ยาวที่สุดในภาษาอังกฤษ (45 ตัวอักษร) คือคำว่า “pneumonoultramicroscopicsilicovolcanokoniosis” แปลว่า “โรคมะเร็งปอดชนิดหนึ่งที่มีสาเหตุจากการสูดดมขี้เถ้าและฝุ่นทราย”
- คำนี้ถูกคิดค้นโดย เอฟเร็ตต์ เอ็ม. สมิธ ประธานสมาคมนักแก้ปัญหาแห่งชาติ ในการประชุมประจำปี ค.ศ. 1935 คำนี้ปรากฏบนพาดหัวของบทความในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กเฮรัลด์ทริบูน ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1935
5. ประโยค “The quick brown fox jumps over the lazy dog.” (หมาป่าที่ว่องไวตัวหนึ่งกระโดดข้ามเจ้าหมาขี้เกียจ) เป็นประโยคที่มีพยัญชนะภาษาอังกฤษครบทุกตัว
- เราเรียกประโยคแบบนี้ว่า ‘Pangram’
6. การเว้นช่องว่างระหว่างคำในภาษาอังกฤษเพิ่งถูกคิดค้นขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
อาจจะเป็นเรื่องยากที่คุณจะทำใจเชื่อ แต่ถ้าคุณลองหาหนังสือที่เขียนก่อนปี 1914 คุณจะพบว่าหนังสือเหล่านั้นถูกเขียนขึ้นโดยไม่มีการเว้นช่องว่างระหว่างคำ! (เว้นเสียแต่ว่าหนังสือเหล่านั้นได้ถูกนำเอามาปรับปรุงเพิ่มช่องว่างระหว่างคำเข้าไปเพื่อให้นักอ่านในยุคหลัง ๆ อ่านได้เข้าใจง่ายขึ้น)
เหตุผลที่ไม่มีการเว้นช่องว่างระหว่างคำก็เพราะว่า กระดาษในยุคนั้นแพงมาก ทำให้นักเขียนต้องประหยัดพื้นที่ให้ได้มากที่สุดเวลาจะพิมพ์หนังสือ โดยนักเขียนจะได้รับอนุญาตให้เว้นช่องว่างเพียงหนึ่งบรรทัดเพื่อขึ้นบทใหม่เท่านั้น (ซึ่งต้องเสียเงิน 1 เซนต์ ต่อการเคาะหนึ่งครั้ง)
แต่เมื่อโลกเข้าสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 การเว้นช่องว่างระหว่างคำก็ได้ถือกำเนิดขึ้น เหตุก็เพราะว่าทหารแนวหน้ามีความจำเป็นที่จะต้องอ่านข่าวสารที่ส่งมาอย่างรวดเร็วและถูกต้องชัดเจน การเว้นช่องว่างระหว่างจึงถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อให้ทหารอ่านได้ง่ายขึ้น พอสงครามจบ นักเขียนที่เคยเป็นทหารก็ได้นำเอาวิธีการนี้มาปรับเข้ากับการเขียนหนังสือในชีวิตประจำวัน ไม่กี่ปีต่อมามันก็ได้กลายเป็นมาตรฐานในการเขียนหนังสือ
8. “Rhythms” คือคำที่ไม่มีสระที่ยาวที่สุดในภาษาอังกฤษ
9. คำว่า “French kiss” ในภาษาอังกฤษนั้นถูกเรียกว่า “English kiss” ในภาษาฝรั่งเศส
10. คุณสามารถพิมพ์คำว่า “Typewriter” โดยใช้แค่คีย์บอร์ดแถวแรก (ไม่นับแถวที่เป็นเลขนะ ลองดู)
11. ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการแห่งท้องฟ้า (Official Language of Skies)
- ไม่ว่าจะมาจากประเทศไหน นักบินทุกคนจะต้องสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษในเที่ยวบินนานาชาติ
12. มีเพียงสองคำในภาษาอังกฤษที่ลงท้ายด้วย –gry ได้แก่ Angry และ hungry แต่ถ้าใครทั้ง angry และ hungry ในเวลาเดียวกัน... แปลว่าเขากำลัง HANGRY อยู่ (ใครชอบมีอาการนี้ยอมรับมาซะดี ๆ)
13. ประโยคที่สั้นที่สุดในภาษาอังกฤษคือ “Go!” (ไม่เชื่อก็ลองหาที่สั้นกว่านี้ดู)
14. มีดาวดวงหนึ่งที่ไม่ใช่ถูกเรียกตามชื่อเทพเจ้าโรมัน ได้แก่.... Earth นั่นเอง นอกนั้นได้แก่ (เรียงตามลำดับ) the Sun, Mercury, Venus, (Earth), Mars, Jupiter, Saturn, Uranus, Neptune
15. เกือบทุกประเทศในแถบเอเชียมีภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับในหลักสูตรการเรียน (อันนี้คงรู้กันดี)
16. ทุก ๆ สองชั่วโมง (ประมาณ 98 นาทีโดยเฉลี่ย) จะมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพิ่มเข้าไปในดิกชั่นนารีหนึ่งคำ
17. 1 ใน 5 ของประชากรโลกพูดภาษาอังกฤษ
18. กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของข้อมูลที่ถูกเก็บในคอมพิวเตอร์ทั่วโลกถูกเขียนเป็นภาษาอังกฤษ
19. 90 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อหาในภาษาอังกฤษมาจากคำศัพท์เพียง 1000 คำ
20. ถ้าเขียนเลขเป็นตัวอักษรจาก 0 (zero) ถึง 999 (Nine-hundred ninety nine) จะไม่เจอพยัญชนะตัว A เลย และกว่าจะเจอตัว B ก็ต้องหากันไปถึง 1,000,000,000 (Billion) ถึงจะเจอ (ไม่เชื่อลองหาดูดิ)
21. คำศัพท์ที่ยาวที่สุดโดยที่ไม่มีพยัญชนะตัวไหนในคำนั้นที่ซ้ำกันคือคำว่า Uncopyrightable แปลว่า ซึ่งสงวนลิขสิทธิ์
22. ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของ 67 ประเทศทั่วโลก
23. คำว่า “Goodbye” มีต้นกำเนิดมาจากภาษาอังกฤษโบราณซึ่งมีความหมายว่า “God be with you.” (ขอพระเจ้าจงสถิตอยู่กับท่าน)
24. คำว่า ‘Bride’ (เจ้าสาว) มีที่มาจากภาษาเยอรมันโบราณซึ่งมีความหมายว่า “ทำอาหาร”
25. มีคนพูดภาษาอังกฤษในประเทศ ไนจีเรีย มากกว่าคนที่พูดภาษาอังกฤษในสหราชอาณาจักร
26. ภาษาอังกฤษถูกแบ่งออกเป็น 24 สำเนียงในสหรัฐอเมริกา
27. ก่อนศตวรรษที่ 19 คำศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับคำว่า “Actor” (ดารา, นักแสดง) คือคำว่า “Hypocrite” (นักเสแสร้ง)
28. คำตรงข้ามของ déjà-vu คือคำว่า jamais-vu (ฌาแม-วู) เป็นอาการตรงกันข้ามกับเดฌา-วูว์ คือ เคยพบเจอเหตุการณ์นั้นมาแล้ว แต่จำไม่ได้
29. ในสมัยก่อนคำว่า ‘Girl’ ใช้เรียกทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง
30. ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่คนพูดมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก (อันดับหนึ่งคือ ภาษาจีน และอันดับสองคือ ภาษาสเปน)
31. ตัวอักษรที่ใช้บ่อยที่สุดในภาษาอังกฤษคือ E และตัวอักษรที่ถูกใช้น้อยที่สุดคือ Z
32. ภาษาอังกฤษมีคำที่ขึ้นต้นด้วยตัว S มากที่สุด
อย่าลืมเข้าไปไลค์เพจเพื่อติดตามอัพเดตความรู้ภาษาอังกฤษน้าา
https://www.facebook.com/MyFathersAnEnglishMan/