Lita's Diary ตอนที่ 1..วินาทีเมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็ง

สวัสดีค่ะ...ปกติลิต้า จะรีวิวเป็นเรื่องท่องเที่ยว ซึ่งการท่องเที่ยวทำให้ลิต้าค้นพบค่ะว่าความสุขคืออะไร  เพราะครั้งหนึ่งที่ทำให้เราเกิดจุดเปลี่ยนคือความเครียด ซึ่งเราอาจมีทั้งเครียดรู้ตัวและไม่รู้ตัว มันสะสมจนมาถึงวันหนึ่งที่มะเร็งมาทักทาย จุดนั้นรู้สึกแย่ที่เรายังไม่ได้ทำอะไรหลายๆอย่างอีกมากมาย ลูกก็ยังเล็กมากๆ  วันนี้เลยขอมาแชร์ประสบการณ์ที่ครั้งหนึ่งที่ต้องต่อสู้กับมะเร็ง เพื่อข้ามผ่านมาถึงวันนี้  จึงขอย้อนไปถึงไดอรี่ที่ลิต้าเขียนไว้เมื่อ 6 ปีก่อนนะคะ หวังว่าอย่างน้อยขอเป็นหนึ่งในกำลังแก่ผู้ป่วยท่านอื่นๆ และมีข้อมูลในการดูแลตัวเองมาฝาก เพื่อให้ผู้ป่วยทุกท่านข้ามผ่านวันคืนอันโหดร้ายนี้ไปค่ะ

เมื่อเอ่ยถึง “โรคมะเร็ง” คงเป็นหนึ่งในโรคร้ายที่หลายคนหวาดกลัว ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นที่กลัวโรคนี้เช่นกัน แต่ด้วยวัยเพียง 35 ปีและก็ดูแลตัวเองดีระดับหนึ่ง ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ จึงไม่คิดว่าโรคนี้จะใกล้ตัวมากนัก แต่แล้ววันหนึ่งฉันก็พบสิ่งผิดปกติขึ้นที่เต้านมข้างซ้าย มันมีลักษณะเป็นก้อนแข็งขนาดไม่ใหญ่นัก ในตอนแรกก็ยังไม่ได้ตกใจอะไร แต่เมื่อผ่านไปประมาณสามสัปดาห์ซึ่งสังเกตดูแล้วว่าหลังหมดประจำเดือนเจ้าก้อนนี้ก็ยังอยู่ จึงตัดสินใจไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งแพทย์ยืนยันแน่นอนว่าเป็นเนื้องอก แต่จะเนื้อดีหรือร้ายต้องผ่าตัดแล้วเอามาตรวจกันต่อไป วินาทีนั้นน้ำตาแห่งความหวาดกลัวไหลเอ่อท้นออกมาอย่างสับสนไปหมด ความกลัวตายบังเกิดขึ้นในทันที่เมื่อนึกถึงลูกชายวัย 2 ขวบ แต่ก็พยายามตั้งสติว่าอะไรจะเกิดก็เกิด และคิดว่าหากชะตากรรมเราต้องประสบเคราะห์ร้ายเช่นนั้นเราจะทำเช่นไรต่อไป ดิฉันจึงค่อยๆคิดหาทางออก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่และสามีเป็นคู่คิดและกำลังใจที่ดีมาก ดิฉันจึงได้ตัดสินใจไปสถาบันมะเร็งแห่งชาติเพื่อตรวจอีกครั้ง ที่นั่นแพทย์ได้ใช้วิธีการเจาะเซลล์ไปตรวจและฟังผลการตรวจในสัปดาห์ถัดไป

เมื่อถึงวันนัดได้มีพยาบาลเรียกไปพบและให้ข้อมูลบางอย่างซึ่งทำให้ฉันรู้สึกสังหรณ์แล้วว่าคงต้องเป็นมะเร็งแน่นอน พยาบาลได้ให้ข้อคิดและพูดกลางๆว่า มะเร็งเป็นโรคที่มีโอกาสรักษาได้แต่ผู้ป่วยต้องมีกำลังใจที่จะสู้ ถึงแม้ฉันจะทำใจสู้มาแต่น้ำตามันไหลออกมาอาบแก้มอย่างไม่อาจทัดทานได้ ฉันพยายามรวบรวมสติอีกครั้งว่าชีวิตเราผ่านอะไรมามากมาย และได้สัญญากับลูกไว้แล้วว่ายังไงก็จะสู้ให้มีชีวิตเพื่อดูแลเขาให้นานที่สุด สติกลับคืนมาอีกครั้งเมื่อแพทย์ได้บอกผลการตรวจเซลล์ว่าเป็นมะเร็งระยะ 1-2 ขนาด 2 เซนติเมตร มีวิธีการผ่าตัด 3 แบบให้ตัดสินใจ ดิฉันตัดสินใจโดยความเห็นพ้องกับสามีเลือกวิธีการผ่าตัดแบบทำศัลยกรรมเสริมเต้า โดยใช้ไขมันหน้าท้องเอามาทำเต้าเสริม ซึ่งได้คิวผ่าตัดในอีก 1 เดือนถัดไป ช่วงเวลา 1 เดือนในการรอคอยที่จะเข้าผ่าตัด ฉันได้ศึกษาข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งเต้านม เพราะมีคำถามมากมายที่ต้องหาคำตอบ คำถามแรกฉันเป็นโรคนี้ได้อย่างไร? และฉันต้องดูแลตัวเองอย่างไรนับจากนี้

โดยปกติฉันชอบรับประทานผักและผลไม้ต่างๆ โดยเฉพาะอาหารที่เป็น antioxidant อยู่แล้วแต่อาจเป็นเพราะฉันชอบทานเนื้อสัตว์มากเกินไปจึงเป็นสาเหตุของโรค นี่คือคำสันนิษฐานเบื้องต้นจากการที่จบการศึกษาด้านอาหารและโภชนาการและได้ศึกษาถึงโภชนบำบัดผู้ป่วยโรคต่างๆ รวมถึงโรคมะเร็ง แต่พอมาป่วยเองแล้วได้เข้ามาศึกษาอย่างลึกซึ้งขึ้น ทำให้ได้ทราบว่าความรู้ของเราก่อนหน้านี้ช่างน้อยนิดนัก สาเหตุของมะเร็งเต้านมไม่มีข้อมูลระบุแน่ชัด ซึ่งอาจพอระบุได้เพียงความเสี่ยงได้แก่ กรรมพันธุ์ (ฉันไม่มีกรรมพันธุ์ที่เป็นมะเร็งเต้านม มีเพียงคุณยายที่ป่วยมะเร็งตับและเสียชีวิตตอนอายุ 88 ปี) อายุ ยิ่งมากยิ่งเสี่ยง (แต่ก็พบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมอายุ 20 ปีต้นๆ) การมีบุตรเมื่ออายุเกิน 30 ปี (ข้อนี้ฉันก็กลุ่มเสี่ยงเพราะ มีบุตรตอนอายุ 33 ปี แต่ก็พบว่ามีผู้ป่วยที่แต่งงานวัยเหมาะสมคือช่วง 20 ปีเป็นมะเร็งเต้านม) ไม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ (ข้อนี้ฉันก็เสี่ยง เพราะไม่มีน้ำนมให้ลูกเลยจึงต้องเลี้ยงลูกด้วยนมผง แต่ก็พบผู้ป่วยที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ป่วยเป็นโรคนี้หลายคน) ทั้งนี้ฉันจึงพอจะสรุปได้ว่า สาเหตุของมะเร็งเต้านมยังไม่ระบุแน่ชัด ซึ่งผู้หญิงทุกคนมีโอกาสเป็นได้ แล้วการป้องกันล่ะ เมื่อสาเหตุยังไม่พบแน่ชัดทางการแพทย์ก็ยังหาวิธีป้องกันไม่ได้ ทุกวันนี้ทำได้แค่เพียงค้นพบเจอให้เร็วที่สุดเพื่อที่การรักษามีโอกาสหายมากที่สุด ฟังดูแล้วชีวิตสตรีนี่ช่างน่าอาภัพนัก

ในความคิดฉันคิดว่าสาเหตุของมะเร็งเต้านมเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของเอสโตรเจนหรือฮอร์โมนเพศหญิง ความเครียด และการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษอย่างในปัจจุบัน ฉันมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า เซลล์มะเร็งเกิดขึ้นได้เองในร่างกาย ก็น่าจะหายไปได้โดยการทำลายของเม็ดเลือดขาวในร่างกายเราเอง เพราะโดยปกติร่างกายเกิดเซลล์มะเร็งขึ้นในร่างกายของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว แต่มันจะถูกทำลายโดยเม็ดเลือดขาว ซึ่งถือเป็นผู้พิทักษ์ร่างกายของเรา คอยทำลายสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคต่างๆให้กับเรา แต่เมื่อร่างกายเกิดเซลล์มะเร็งขึ้นมากจนเม็ดเลือดขาวไม่อาจสู้ได้ผู้นั้นก็จะป่วยเป็นมะเร็ง เป็นการชี้ว่าเราใช้ร่างกายของเราหนักเกินไปจนเกิดความบกพร่องของร่างกายขึ้น เมื่อทราบเช่นนี้แล้วฉันเริ่มศึกษาแนวธรรมชาติบำบัดในการรักษามะเร็ง ได้พบหลายทฤษฎีที่น่าเชื่อถือและเป็นไปได้ แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือการดูแลตัวเองโดยวิธีธรรมชาติบำบัดต้องมีวินัย อดทนและใช้เวลานานในการที่จะสู้กับมัะเร็ง ซึ่งหลายคนก็คงถอดใจไปก่อน

ตอนหน้าฉันจะมาเล่าถึงทางเลือกในการรับประทานอาหารเมื่อพบว่าตนเองเป็นมะเร็งนะคะ ติดตามกันต่อไปนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่