ทำอย่างไรเมื่อผู้ชายถูก 'ข่มขืน'

ประเด็นการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติประมวลกฎหมายอาญา ลักษณะ 9 ความผิดเกี่ยวกับเพศ มาตรา 276-277 จากร่างเดิมที่ระบุว่า "ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้หญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของตน มีความผิดตามและต้องระวางโทษ....." เป็น "ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น มีความผิดตามและต้องระวางโทษ....."ร่างกฎหมายนี้นอกจากจะครอบคลุมไปถึงกระเทย หรือเกย์ด้วยแล้ว ยังครอบคลุมถึงกรณีผู้หญิงข่มขืนผู้ชายด้วย กรณีนี้กลายเป็นข้อถกเถียงของสังคมว่าเหมาะสมหรือไม่ และจะพิสูจน์อย่างไรว่า ผู้ชายถูกข่มขืน
       
       ผู้หญิงข่มขืนผู้ชายได้จริงหรือ
       
       หลายคนยืนยันขันแข็งว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผู้หญิงจะข่มขืนผู้ชาย เพราะนอกจากผู้หญิงจะอ่อนแอและบอบบางกว่าแล้ว โดยธรรมชาติแล้วหากผู้ชายไม่มีอารมณ์ร่วม 'ความเป็นชาย' ของเขาย่อมไม่ตื่นตัวจึงไม่สามารถปฏิบัติการได้
       
       นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ สูตินารีแพทย์ และวิทยากรดังจากรายการชูรักชูรส ให้ความกระจ่างในเรื่องดังกล่าวว่า
       
       " ผู้หญิงสามารถข่มขืนผู้ชายได้จริงๆครับ เนื่องจากอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้ชายถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติ เมื่อประสาทถูกกระต้นด้วยรูป รส กลิ่น เสียง หรือสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นทางตา ลิ้น จมูก หู หรือผิวหนัง ก็จะส่งสัญญาณไปที่ต่อม 'ไฮโปทารามัส' ซึ่งอยู่ภายในสมอง ต่อมนี้ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังประสาทไขสันหลังกลางลำตัว และส่งไปยังอวัยวะเพศ ส่งผลให้มีเลือดมาคั่งและเกิดการแข็งตัว หรือในกรณีที่มีการสัมผัสกับอวัยวะเพศโดยตรงก็จะส่งสัญญาณไปยังปมประสาทไขสันหลัง ทำให้เลือดมาคั่งและเกิดการแข็งตัวเช่นกัน
       
       ดังนั้นหากผู้หญิงช่วยกันจับผู้ชายขึงพืด แล้วทำการเล้าโลม แม้ฝ่ายชายจะไม่ได้เต็มใจแต่ร่างกายก็สามารถตอบสนองได้ หรือกรณีที่ถูกมอมเหล้าจนมึนและไม่สามารถควบคุมสติได้ แล้วถูกผู้หญิงเล้าโลม ผู้ชายก็จะตอบสนองเนื่องจากไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ซึ่งในกรณีนี้ก็ถือเป็นการข่มขืนเช่นกัน เพราะการข่มขืนหมายถึงการกระทำชำเราโดยใช้กำลังขู่เข็ญ หรือกระทำในขณะที่อีกฝ่ายไม่อยู่ในภาวะที่สามารถขัดขืนได้ แต่ปัจจุบันผู้ชายที่ถูกข่มขืนไม่สามารถฟ้องร้องเอาผิดใครได้เพราะกฎหมายของไทยเรื่องการข่มขืนยังไม่ครอบคลุมถึงผู้ถูกกระทำที่เป็นผู้ชาย"
       
       ความจริงแล้วคดีผู้ชายถูกข่มขืนเคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศไทย โดยมีข่าวตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ว่ามีคนงานหญิงในโรงงานแห่งหนึ่งแถวๆ สมุทรสงคราม ประมาณ 10 กว่าคน รุมโทรมชายหนุ่มซึ่งชอบฟันพวกเธอแล้วทิ้ง โดยจัดการขึงพืดแล้วใช้มือกระตุ้นปลุกส่วนนั้นให้ลุกขึ้นมาทำงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนหนำใจแล้วก็จัดการรูดเจ้าน้องชายของหนุ่มเคราะห์ร้ายคนนั้นด้วยใบข่อยจนใช้การไม่ได้ และก่อนหน้านั้นยังมีข่าวซึ่งเกิดขึ้นทางภาคอีสานว่าหนุ่มใหญ่ไปหลอกฟันสาวๆในหมู่บ้านแห่งหนึ่งแล้วทิ้งไปมีใหม่ พร้อมทั้งนำเรื่องที่มีความสัมพันธ์กับหญิงสาวไปคุยโอ้อวด สาวที่ตกเป็นเหยื่อจึงมาดักและรุมข่มขืนในลักษณะเดียวกัน
       
       นอกจากนั้นประเด็นหนึ่งที่น่าตกใจในปัจจุบัน ก็คือกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีกลุ่มเด็กสาว 'ล่าผู้ชาย' เพื่อทำแต้ม โดยมีกฎว่าหากสมาชิกในกลุ่มคนไหนสามารถมีเพศสัมพันธ์กับชายหนุ่ม เพื่อนๆก็จะให้คะแนนแล้วแต่จะกำหนด ใครทำแต้มได้มากก็จะถือว่าแน่ และยิ่งได้รับการยอมรับนับถือจากสมาชิกในกลุ่ม จากเดิมที่เด็กนิยมอ่อยเหยื่อล่อให้ผู้ชายมานอนด้วยก็เริ่มไม่ทันใจ อยากได้แต้มเร็วๆ เด็กสาวเหล่านี้จึงยกพวกกันไปหลายๆคนแล้วทำการฉุดคร่าเด็กหนุ่มที่เดินตามท้องถนนเพื่อไปทำการข่มขืนสะสมแต้ม
       
       วันชัย สอนศิริ ทนายความชื่อดัง และวิทยากรรายการกฎหมายซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์หลายแห่ง แสดงความห่วงใยเกี่ยวกับค่านิยมดังกล่าวว่า
       
       " มันเป็นความอัปยศของสังคม เด็กผู้หญิง 3-4 คนพากันไปจับผู้ชายมาขึงพืด ถึงผู้ชายจะไม่ยอมเขาก็มีวิธี อาจจะใช้การออรัลเซ็กซ์ หรือปั่นให้อวัยวะของฝ่ายชายแข็งตัว เด็กเขากล้าทำเพราะคิดว่าเท่ แล้วก็ไม่มีความผิดทางกฎหมาย เพราะเด็กผู้ชายก็อายไม่กล้าไปแจ้งความ ถึงจะแจ้งความก็อาจเป็นเรื่องทำร้ายร่างกาย เพราะกฎหมายไม่ครอบคลุมถึงผู้ชายที่ถูกข่มขืน"
       
       'เกย์' เป้าหมายของสาวใจเปลี่ยว
       
       นอกจากนั้น ในปัจจุบันได้เกิดกระแส 'สาวรักเกย์' แพร่หลายไปทั่ว ทำให้คุณสาวๆหาทางมีความสัมพันธ์กับหนุ่มเกย์ที่ตนหลงรักเพื่อผูกมัดให้พวกเขารับผิดชอบ ซึ่งประเด็นนี้กำลังเป็นที่หนักใจของบรรดาเกย์ทั้งหลาย เพราะแม้พวกเขาไม่ได้รังเกียจที่จะคบหาและไปเที่ยวกับเหล่าสาวๆหน้าใส แต่ก็ทำใจไม่ได้หากจะต้องมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งหรือถึงกับต้องแต่งงานเพื่อรับผิดชอบต่อตัวเธอหรือลูกในท้องที่เกิดขึ้นเพราะความมึนเมา
       
       นที ธีระโรจนพงษ์ ประธานกลุ่มเกย์การเมือง บอกเล่าถึงปรากฏการณ์หญิงรักเกย์ให้ฟังอย่างน่าสนใจ ว่า
       
       " เดี๋ยวนี้มีผู้หญิงเยอะมากที่อยากมีสามีเป็นเกย์ เพราะมองว่าเป็นผู้ชายที่สะอาดสะอ้าน แต่งตัวดีมีบุคลิก มีความละเอียดอ่อน เข้าใจผู้หญิง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่มีในผู้ชายปกติทั่วไป แล้วผู้หญิงพวกนี้ก็จะพยายามจะมีอะไรกับเกย์ โดยอาจจะเข้ามาตีสนิท ชวนไปเที่ยว ชวนไปกินเหล้า มอมเหล้าจนเมาแล้วก็หิ้วไปนอนด้วย พอตื่นเช้ามาเกย์ตกใจว่าชั้นมีอะไรกับผู้หญิงหรือนี่ คือถ้าปกติก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะมันไม่มีใจให้ แต่ช่วงเมาๆกึ่มๆนี่มันจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ร่างกายมันก็ตอบสนองไปตามธรรมชาติ
       
       ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเราชาวเกย์กำลังกลัวกันมาก เดี๋ยวนี้มีผู้หญิงมาชวนไปเที่ยวไหนนี่คิดแล้วคิดอีก กลัวจะถูกหลอกไปฟัน (หัวเราะ) เพราะมันไม่ใช่แค่อาจต้องตกกระไดพลอยโจรรับผิดชอบผู้หญิงอย่างเดียว ถ้ามีลูกขึ้นมาเราก็ต้องรับเป็นพ่อ ซึ่งการมีลูกกับผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งที่เกย์เกลียดกลัวมาก"
       
       ลัก กุ๊กหนุ่มผิวขาว หน้าตาดี ก็เป็นหนึ่งในหนุ่มเกย์ที่พลาดพลั้งต้องพลีกายให้หญิงสาวโดยไม่เต็มใจ เขาบอกว่าด้วยความที่เป็นคนอ่อนโยนและมีมนุษยสัมพันธ์ดีทำให้มีสาวๆมาแอบชอบหลายคน ทั้งที่เขาเองก็ประกาศตัวชัดเจนว่าเป็นชายสีม่วงที่อยากมีเพื่อนใจเป็นชายหล่อล่ำ
       
       " ผมเจอผู้หญิงปล้ำบ่อยมาก (หัวเราะ) ส่วนใหญ่ก็มาในลักษณะเป็นเพื่อน อย่างรายหนึ่งก็ไปเที่ยวกลางคืนกัน พอผับเลิกเขาก็บอกไม่ต้องกลับบ้านหรอก ลำบากเปล่าๆ ไปค้างบ้านเขานี่แหล่ะ เราก็ไม่คิดอะไรเพราะคิดว่าเขาคงมองเราเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ก็นอนเตียงเดียวกัน จู่ๆเขาก็มากอด เราก็มึนๆ คิดว่าเขาคงเมามั้ง แต่ไม่เท่านั้นสิ มือไม้หยุบหยับไปหมด สุดท้ายก็เสร็จ อีกรายหนึ่งขึ้นลิฟต์ไปด้วยกัน พอลิฟต์ปิดเข้ามากอดมาฟัดเราใหญ่เลย เราก็ตกใจ เขาบอกแอบชอบเรามานานแล้ว เราก็บอกเฮ้ย.. เราไม่ชอบผู้หญิง เป็นเพื่อนกันดีกว่า บางคนเจอในผับ มาขอชนแก้ว แล้วก็หอมฟอดเข้าให้ เขาบอกพี่สเปกหนูเลย (หัวเราะ)
       
       ผู้ชายก็มีมาปล้ำเหมือนกัน วันนั้นดื่มเหล้าแล้วก็ไปนอนห้องเพื่อน ก็นอนกันหลายคน นอนๆอยู่ผู้ชายคนนี้ก็เข้ามาปล้ำ ด้วยความเมาเราขัดขืนไม่ไหว ก็เลยตามเลย แต่โชคดีอย่างคือไม่เคยมีใครมาใช้กำลังรุนแรง แล้วเราเป็นผู้ชายก็เลยไม่ถือสาอะไร คิดในแง่ดีว่าเขาเข้ามาอย่างนี้ก็คงเพราะชอบเรา มีคนรักก็ยังดีกว่าคนเกลียด ผมเลยไม่ซีเรียส"
       
       กะเทยถูกโทรม สังคมว่า'สมยอม'
       
       นอกจากบรรดาชายหนุ่มและกลุ่มเกย์แล้ว กลุ่มหนึ่งที่มักตกเป็นเหยื่อของการถูกข่มขืนก็คือสาวประเภทสอง หรือกะเทย ด้วยเธอเหล่านี้มีสรีระคล้ายผู้หญิง ซึ่งแม้จุดประสงค์หนึ่งที่พวกเธอลงทุนผ่าและเฉาะให้รูปร่างหน้าตาและองค์ประกอบต่างๆเหมือนผู้หญิงจะเป็นไปเพื่อดึงดูดชายหนุ่มให้มาลุ่มหลง แต่พวกเธอต่างยืนยันว่าความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับผู้ชายสักคนนั้นต้องเป็นไปด้วยความยินยอมพร้อมใจ ซึ่งจะเกิดกับชายที่เธอชอบพอเท่านั้น ไม่ใช่ 'ใครก็ได้' อย่างที่สังคมตราหน้าตั้งคำนิยามให้ ดังนั้นหากมีผู้ชายที่เธอไม่รู้สึกเสน่หามารวบรัดใช้กำลังหักหาญน้ำใจก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกข่มขืน
       
       เชอร์รี่ นางโชว์วัย 23 ปี ดาวเด่นในสถานบันเทิงย่านเชียงใหม่ เล่าถึงความเจ็บช้ำน้ำใจที่ถูกผู้ชายใจโฉดฉุดคร่าไปข่มขืนว่า
       
       " วันนั้นหนูไปเที่ยวผับกับเพื่อน ก็มีผู้ชาย 2-3 คนมาแซวหยาบๆคายๆ ประมาณว่านมโตอย่างนี้ไปทำมาเท่าไหร่ อยากไปนอนด้วยกันไหม หนูก็เลยด่าไป พวกนี้ก็เลยโกรธว่านึกว่าสวยนักเหรออีกะเทย ทำเป็นหยิ่ง หนูก็นึกว่าจบแค่นั้น พอผับเลิก หนูก็แยกกับเพื่อน ต่างคนต่างกลับ ก็เจอผู้ชายกลุ่มที่ว่าขับรถมาจอดแล้วฉุดหนูขึ้นรถ มันเขวี้ยงกระเป๋าหนูกระจัดกระจายหมด จำได้ว่าคนหนึ่งเป็นคนขับ อีกคนที่นั่งข้างๆคอยระวังรถที่สวนไปมา ส่วนอีกคนจับหนูขึงพืดกับนั่งเบาะหลัง แล้วก็ฉีกเสื้อผ้าหนู ร้องเท่าไรก็ไม่มีใครได้ยิน
       
       มันก็ทำทั้งข้างหน้า ข้างหลัง หนูเจ็บมาก...ร้องขอว่าพอหรือยัง มันบอกว่าให้กูเสร็จก่อนถึงไปได้ อีกคนบอกว่าเสร็จแล้วขอมันต่อ ไอ้นี่ก็บอกว่าได้ แต่ไม่มีถุงยางนะ มันเองก็ไม่ได้ใส่ ไอ้คนนั้นก็เลยไม่เอา จากนั้นมันก็เอาหนูไปโยนทิ้งไว้ข้างถนน ดีว่ามันไม่ได้เอาเงินกับโทรศัพท์มือถือไป หนูเลยโทร.ให้เพื่อนมารับ นั่งร้องไห้อยู่หลายวัน แต่ก็ไม่ได้ไปแจ้งความ เพราะคิดว่าไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าไปแจ้งความนอกจากตำรวจจะเห็นเป็นเรื่องตลกแล้วอาจจะหาว่าหนูสมยอมเองก็ได้ ก็เลยนึกซะว่าทำทาน" เชอร์รี่ เล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
       
       แก้กฎหมายยังไงให้สมบูรณ์
       
       เมื่อปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ว่าจะเป็น ผู้หญิง ผู้ชาย เกย์ หรือ กะเทย ก็ล้วนอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการถูกข่มขืนกระทำชำเรา ด้วยพฤติกรรมทางเพศของบางคนที่มุ่งแต่จะแสวงหาความสุขใส่ตัวโดยไม่คำนึงว่าจะสร้างความเจ็บช้ำให้ใครบ้าง บรรดานักวิชาการจึงได้มีแนวคิดที่จะแก้ไขร่างพระราชบัญญัติประมวลกฎหมายอาญา ลักษณะ 9 ความผิดเกี่ยวกับเพศ มาตรา 276-277 จากร่างเดิมที่ระบุว่า "ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้หญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของตน มีความผิดตามและต้องระวางโทษ....." เป็น "ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น มีความผิดตามและต้องระวางโทษ....." ซึ่งจะหมายรวมถึงคนทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง หญิงที่มีใจเป็นชาย เด็ก ผู้ชาย รวมทั้งผู้ชายที่ผ่านการแปลงเพศ ทั้งนี้เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ทุกคนโดยเสมอภาค โดยร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าวนั้นยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
       
       ซึ่งเรื่องนี้ ประธานกลุ่มเกย์การเมือง มองว่า เนื่องจากปัจจุบันวิธีการในการร่วมเพศมีความหลากหลายและแตกต่างจากแต่ก่อน ดังนั้นการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวนั้นนอกจากจะแก้ไขในเรื่องของเพศซึ่งเดิมระบุว่า การข่มขืนคือการกระทำของชายต่อหญิงเท่านั้น แก้ไขเป็นการกระทำของบุคคลต่อบุคคล เพื่อให้คุ้มครองคนทุกเพศแล้ว ควรจะมีการแก้ไขนิยามของคำว่า 'กระทำชำเรา' ซึ่งเดิมหมายถึง การที่อวัยวะของฝ่ายชายล่วงเข้าไปในอวัยวะของฝ่ายหญิง 1 องคุลี แก้เป็น การกระทำใดๆเพื่อสำเร็จความใคร่ ไม่ว่าจะเป็นโดยการล่วงล้ำอวัยวะเพศชาย-หญิง ทวารหนัก รวมทั้งปากด้วย เพื่อให้ครอบคลุมถึงการล่วงละเมิดทางเพศในทุกกรณี
       
       " ส่วนใหญ่ผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก เกย์ หรือกะเทย จะถูกข่มขืน 2 ทาง คือ ทางทวารหนัก และทางปาก ซึ่งกฎหมายเดิมไม่ได้ระบุตรงนี้ไว้เพราะแต่ก่อนพฤติกรรมทางเพศในลักษณะนี้มันยังไม่มี พอผู้ชายหรือกะเทยถูกบังคับขืนใจในลักษณะนี้ก็เลยเป็นแค่การทำร้ายร่างกาย ซึ่งโทษต่างกันมาก เชื่อว่าถ้ามีการแก้กฎหมายให้ครอบคลุมทุกด้าน คดีข่มขืนน่าจะน้อยลง โดยเฉพาะเกย์และกะเทยก็จะอุ่นใจขึ้นว่าเขาก็ได้รับความคุ้มครองเหมือนกัน"
       
       พิสูจน์อย่างไรว่าชายถูกข่มขืน
       
       อย่างไรก็ดี ยังมีความเคลือบแคลงใจอยู่ว่าถึงจะมีการแก้กฎหมายให้ครอบคลุมในทุกด้าน แต่การจะพิสูจน์ว่า 'ชาย' คนนั้นถูกข่มขืนดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องด้วยสรีระของผู้ชายและผู้หญิงนั้นแตกต่างกันมาก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่