ลงทุนอย่างไร เมื่อเกิด Brexit

กระทู้สนทนา


        เหตุการณ์ช็อกโลกในช่วงที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นผลการลงประชามติของสหราชอาณาจักร (UK) ที่ต้องการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งหลังจากที่ทั่วโลกทราบผลการลงประชามติในวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง เพราะนักลงทุนกังวลว่า การแยกตัวของสหราชอาณาจักรจะกระทบกับเศรษฐกิจทั่วโลก K-Expert จะมาเล่าให้ฟังครับว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลัง Brexit มีอะไรบ้าง และเราควรปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร เพื่อรับมือกับ Brexit กันครับ

อะไรจะเกิดขึ้นหลัง Brexit
              หลังผลการลงประชามติที่พลเมืองกว่า 17 ล้านคน สนับสนุนให้ UK ออกจาก EU แต่ก็มีประชาชนกว่า 3 ล้านคน ลงชื่อให้มีการลงประชามติใหม่ ซึ่งต้องติดตามกันว่า รัฐสภาอังกฤษจะรับคำร้องดังกล่าวหรือไม่ หาก UK ยังคงยึดผลการลงประชามติเดิม การดำเนินการตามกฎหมายในการออกจาก EU ของ UK จะมีขึ้นหลังจากนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งนายบอริส จอห์นสัน เป็นตัวเต็งที่จะรับตำแหน่งดังกล่าวต่อจากนายเดวิด คาเมรอน ซึ่งลาออกไป โดยคาดว่าจะเข้ารับตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2559
             
                รูปแบบการแยกตัวของ UK เป็นสิ่งที่เราต้องติดตามกัน เพราะจะมีผลกับเศรษฐกิจของ UK ค่อนข้างมาก โดยสามารถเป็นได้ 3 รูปแบบ ดังนี้ครับ
                1. UK ยังอยู่ในเขตเศรษฐกิจยุโรป (European Economic Area: EEA) รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด โดยยังคงสถานะเป็นตลาดร่วมคือ ไม่มีกำแพงภาษีระหว่าง EU และ UK โดยยังคงมีการเคลื่อนย้ายสินค้า เงินทุน และแรงงาน อย่างอิสระ แต่ UK จะไม่มีสิทธิในการออกความเห็นด้านเศรษฐกิจและนโยบายต่างๆ ของ EU
                2. UK มีความสัมพันธ์ด้านทวิภาคีกับ EU สำหรับรูปแบบนี้ UK จะไม่สามารถให้บริการทางการเงินอย่างเสรีกับ EU ทำให้ต้นทุนในการทำธุรกรรมทางการเงินกับประเทศใน EU สูงขึ้น โดยจะมีการเจรจากับ EU เพื่อมีความสัมพันธ์ในแต่ละด้านแบบทวิภาคี ซึ่งการเจรจาดังกล่าวอาจใช้เวลานาน ทำให้รูปแบบการแยกตัวแบบทวิภาคีจะเสียประโยชน์มากกว่าแบบ EEA
                3. UK เป็นเพียงสมาชิก WTO การลดสถานะของอังกฤษมาเป็นเพียงสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) เป็นรูปแบบที่กระทบกับเศรษฐกิจของ UK มากที่สุด เพราะเป็นการถอนตัวออกจาก EU แบบสมบูรณ์ ทำให้ UK ไม่มีความสัมพันธ์ทางการค้าเสรี หรือได้รับสิทธิประโยชน์จาก EU เลย

                นอกเหนือจากผลกระทบที่เกิดกับ UK แล้ว ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ EU ก็เป็นสิ่งที่เราต้องจับตามอง โดยเฉพาะความต้องการแยกตัวออกจาก EU ของหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกรีซ สเปน หรือเนเธอร์แลนด์ ว่าจะมีการแยกตัวตาม UK ได้สำเร็จหรือไม่ ซึ่งจะกระทบกับการรวมตัวกันของ EU รวมทั้งเศรษฐกิจของยุโรปค่อนข้างมาก

ปรับพอร์ตอย่างไรหลัง Brexit
                หลังจากที่นักลงทุนทั่วโลกทราบผลของ Brexit ทำให้มีแรงขายเกิดขึ้นในตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะกังวลถึงความไม่แน่นอนและความผันผวนที่เกิดขึ้นในยุโรป อย่างไรก็ตามสำหรับตลาดหุ้นไทยนั้นได้รับผลกระทบจาก Brexit ไม่มากนัก เพราะเศรษฐกิจไทยมีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจของ UK ในสัดส่วนไม่สูง อีกทั้งการเกิด Brexit ทำให้ธนาคารกลางของยุโรปและอังกฤษมีโอกาสใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น รวมถึงสหรัฐฯ ซึ่งเดิมในปีนี้มีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (Fed fund rate) ก็มีโอกาสที่จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยบวกสำหรับตลาดหุ้นไทย โดยบล.กสิกรไทยแนะนำว่า ดัชนีบริเวณ 1,350-1,400 จุด เป็นระดับที่น่าสนใจที่จะซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว ส่วนเป้าหมายดัชนีช่วงสิ้นปีนี้ให้ไว้ที่ 1,530 จุดครับ
     
                ในส่วนของการลงทุนในหุ้นยุโรปนั้น อาจเรียกได้ว่า เป็นหนังคนละม้วนกับตลาดหุ้นไทย เพราะ Brexit ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปมีความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หรือความเสี่ยงที่ประเทศอื่นๆ ใน EU จะขอแยกตัวออกไป ดังนั้นแม้ว่าราคาหุ้นยุโรปปรับตัวลงมาค่อนข้างแรงในช่วงที่ผ่านมา ก็ยังไม่แนะนำให้เข้าลงทุนนะ ส่วนคนที่ลงทุนหุ้นยุโรปผ่านกองทุนรวมอยู่แล้ว คงต้องไปดูก่อนว่า กองทุนมีการลงทุนในหุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจอะไร หากกองทุนเน้นลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจส่งออกหรือมีรายได้จากนอกภูมิภาคยุโรป ก็ยังสามารถถือลงทุนต่อได้ เพราะการอ่อนค่าของค่าเงินปอนด์และยูโรจะช่วยให้บริษัทเหล่านี้มีรายได้ที่สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นบวกกับราคาหุ้นในช่วงต่อไปได้ครับ

                 ทองคำจัดได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นในช่วงที่ผล Brexit ประกาศออกมา โดยราคาทองคำปรับขึ้นไปอย่างแรงไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ $1,324 ต่อออนซ์ จากที่ก่อนจะทราบผล Brexit ราคาทองคำเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับประมาณ $1,260 ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นมาแรง ถือเป็นโอกาสดีที่จะขายทำกำไรสำหรับคนที่ซื้อเก็งกำไรในช่วงที่ผ่านมา เพราะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากค่าเงินยูโรและปอนด์ที่อ่อนค่าลง จะส่งผลลบกับราคาทองคำได้ในอนาคต โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและราคาทองคำมักเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกัน

                 สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนสามารถเรียนรู้ได้จากเหตุการณ์ Brexit คือ การกระจายการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากเรามีการกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้ หุ้น และทองคำ ก็จะได้รับผลกระทบทางลบที่น้อยกว่าคนที่ลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว ดังนั้นการลงทุนโดยมีการจัดพอร์ตตามระดับความเสี่ยง จึงเป็นวิธีที่ช่วยให้เราสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนได้ครับ

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม ได้ที่ http://k-expert.askkbank.com/KnowledgeResources/Articles/Pages/Home.aspx
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่