ท้าลองของ..สยอง 4 ด่าน

สวัสดีครับ.. #Hellblazer เจ้าเดิมหลังจากประเดิมกระทู้เล่าเรื่องสยองประสบการณ์ตรงไปแล้วกับ “เรียกมันว่า..น้องPOP” วันนี้จะขอกลับมาเล่าอีก 1 ประสบการณ์การผจญภัยเล็กๆ ของคนสัมผัสผีคนนึง ซึ่งเรียกได้ว่า “เกือบไม่รอด” อีกเช่นกันครับ และเช่นเคยนะครับ เรื่องแบบนี้ คนที่เชื่อก็มีมาก คนไม่เชื่อก็มากมี อย่าลืมใช้จักรยานในการอ่านกันนะครับ ^^

    เรื่องนี้เกิดในระหว่างที่ผมได้ไปร่วมงานบวชเพื่อนคนหนึ่งที่จังหวัดชัยภูมิ โดยงานบวชนี้จัดขึ้นในบ้านหลังหนึ่งครับ เป็นการเชิญสารพัดญาติๆ มาร่วมพิธีปลงผมให้กับเพื่อนผมคนนี้ในวันเสาร์ ส่วนพิธีอุปสมบทจะจัดในวันอาทิตย์ครับ

    ผมเดินทางจากกรุงเทพฯ มากับเพื่อนๆ อีก 8 คน โดยมีว่าที่หลวงเพื่อนมารอรับที่ขนส่งอำเภอบัวใหญ่ เราถึงบ้านหลังนั้นช่วงบ่าย 3 กว่าๆ พอลงจากรถเสร็จ ก็แยกย้ายกันเอาสัมภาระไปเก็บ ระหว่างเก็บสัมภาระ พวกเราได้พบกับเพื่อนร่วมสาขาของว่าที่หลวงเพื่อน (ส่วนพวกเราเป็นเพื่อนตั้งแต่ม.ต้นครับ) หลังจากนั้นผมกับเพื่อนอีก 2 คนก็ทำการสำรวจบริเวณรอบๆ บ้านหลังนั้นครับ..

    บ้านหลังนี้ล้อมรั้วเหล็กไว้รอบๆ มีทางเข้า 2 จุดคือด้านหน้า กับด้านหลัง พวกผมเข้ามาทางข้างหน้ากัน ส่วนด้านหลัง เมื่อผมเดินไปดูก็พบกับทางดินแดงทอดยาวไปใช้ทะลุออกถนนใหญ่ได้ โดยที่ปากทางที่เชื่อมกับถนนใหญ่นั้นเป็นทางสามแพร่ง ส่วนถนนใหญ่นั้นตัดขึ้นเป็นสะพานข้ามคลองน้ำดำคลองหนึ่ง โดยคลองที่ว่า ลากยาวจากถนนลงมาขนานกับทางดินแดงหลังบ้านหลังนี้ในทางซ้ายมือ หากเราหันหน้าออกไปทางถนนใหญ่ ส่วนทางขวามือของผมเป็นบ้านไม้ยกระดับมีใต้ถุนเพื่อเลี้ยงไก่ในเล้า หรือแขวนเปลเชือกตามแบบฉบับอีสานออริจินัลนั่นล่ะครับ ส่วนถัดไปจากบ้านไม้หลังนั้นทางขวามือไปอีก คือโกดังร้างหลังหนึ่งครับ และที่ตั้งตระหง่านอยู่ลานหน้าโกดังก่อนออกสู่ถนนใหญ่ คือต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง เมื่อผมมองไปที่พื้นดินใต้ต้นโพธิ์นั้น ก็ได้เห็นธูปปักอยู่รอบๆ รวมไปถึงแถบผ้าสามสีที่ซีดเก่าจนรู้ได้ว่าไม่มีใครแวะเวียนมาเปลี่ยนให้เป็นเวลานานแสนนาน

    “ไงล่ะ.. เจอใครมั้ย?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังผม เมื่อหันไปตามเสียงทัก ว่าที่หลวงเพื่อนของผมพาร่างที่มีน้ำหนักร่วมร้อยโลเดินมาถึงจุดที่ผมกับเพื่อนอีก 2 คนยืนอยู่
    ผมรู้ได้ทันทีว่าทำไมมันถึงทักขึ้นแบบนั้น.. เพราะทั้งผมและมันต่างก็มีสัมผัสกับ “อะไรบางอย่าง” ได้เหมือนกัน โดยตัวผมนั้นมีสัมผัสด้านการได้ยิน ได้กลิ่น สัมผัสทางผิวหนัง และรู้ถึงตำแหน่งที่ตั้งของ “อะไรบางอย่าง” โดยที่ไม่ต้องมองด้วยตาเปล่า (คล้ายๆ โซนาร์เรือดำน้ำนั่นล่ะครับ) ส่วนเรื่องการสื่อสารกับ “อะไรบางอย่าง” นั้น ผมสามารถรับสาสน์จากทางนั้นได้ แต่ตอบกลับไม่ได้ ทำได้แค่บอกต่อคนกันเองเฉยๆ เหมือนเป็นวิทยุทางเดียว ส่วนว่าที่หลวงเพื่อนนั้นมีเหมือนกันเกือบทุกอย่างครับ แต่เปลี่ยนจากการรู้ตำแหน่งที่ตั้ง เป็นการมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แถมสื่อสารได้ทั้งสองทาง คือรับและตอบกลับได้..ว่ากันง่ายๆ ครับ งานนี้มีการจับเอา “ญาณสัมผัส” กับ “ญาณตาทิพย์” มาเจอกัน
    “เจอใคร..หรือเจออะไร? กูไม่ถือว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตนะ” ผมตอบกลับอย่างรู้ทันคนมีญาณด้วยกันเอง
    “เฮ้ย! อย่าทำเป็นปากดีไป เห็นบ้านไม้นี้มั้ย?” ผมมองขึ้นไปบนบ้านหลังนั้น แล้วผงกหัวเบาๆ “อืม?”
    “ญาติทางแม่กูคนนึงเขาเสียบนบ้านหลังนี้เลย ทุกวันนี้วันดีคืนดี ใครผ่านมาทางนี้ยังเห็นเขาเดินไปเดินมาในบ้านอยู่เลย ขนลุกกันเป็นแถบ” ว่าที่หลวงเพื่อนเล่า
    “อ่ะเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก ต้องโดนรับน้องแล้วล่ะมั้ง” เพื่อนผมคนหนึ่งพูดขึ้น “ปลายปีที่แล้วอ่ะไม่ได้มากับพวกกู หลังกลับจากภูทับเบิกก็แวะมานี่ ตอนดึกๆ กูนี่มานั่งแกะกุ้งผ่าปลาหมึกตรงหัวบันไดนู่น ขนาดกูไม่เจอแบบนะ นั่งๆ ไปนี่ยังขนลุกเลย เดี๋ยวคืนนี้เซนส์ดีอย่างอ่ะแหละต้องมาผ่าปลาหมึกแทนพวกกู 55555” ไอ้ยิ้ม.. ทำอย่างกับผมรับรู้อะไรพวกนี้ได้แล้วอยากเจอมันมากกก -*-

    การสำรวจรอบบ้านยังไม่จบแค่ตรงนี้ครับ เราเดินกลับมา แต่เลี่ยงไปอีกทางนึง ยังไม่เข้าบ้าน พวกเรา 4 คนเดินมาถึงทางดินแดงอีกเส้นหนึ่งที่ตัดผ่านฝั่งหน้าบ้าน มองไปตามทางดินแดงเส้นนั้น ผมได้เห็นลานรกร้างแห่งหนึ่ง ตรงลานนั้นมีบ้านไม้คล้ายๆ กับหลังเมื่อกี๊ตั้งอยู่ แต่ที่ต่างออกไปคือ หลังนี้มีคลองตัดผ่านหลังบ้าน ถัดจากคลองนั้นข้ามไปเป็นฝั่งตรงข้ามกับบ้านหลังนั้น คือดงต้นไม้ที่ขึ้นสูงจนเป็นป่า ส่วนข้างๆ บ้านหลังนั้น ต้นตาลต้นหนึ่งสูงตระหง่านขึ้นมา
    “บรรยากาศแบบนี้..เป๊ะเลย” เพื่อนผมอีกคนพูดขึ้น แล้วมันก็หยิบโทรศัพท์ของมันขึ้นมาเสิร์ชหาคลิปหนึ่งใน YouTube แล้วชูขึ้นมาตรงหน้าผม ทำให้ผมได้เห็นคลิปในนั้นกำลังเล่นอยู่ข้างๆ ต้นตาลพอดี..
    นั่นแหละครับ.. คลิปนั้นคือไตเติ้ลเพลงเปิดละคร “เปรตวัดสุทัศน์” ซึ่งมันกดหยุดตรงฉากที่แสงจากฟ้าแลบ เผยให้เห็นร่างของเปรตที่ยืนอยู่หลังต้นตาลพอดี..
    “ตอนเด็กๆ เคยดูมั้ย?” เพื่อนผมถามขึ้น
    “เคยดิวะ หลอนยิ้ม ขนาด CG ตัวเปรตยังแบนๆ เหมือนเสือ.GIFF ในละครของฉลองนะน่ะ”
    อันที่จริงส่วนตัวผมอาจจะเจอผีมาเยอะ ผมกลับไม่เคยเจอผีเปรต แถมไม่เชื่อด้วยว่าเปรตมีอยู่จริงๆ เพราะเรื่องเล่าแต่ละเรื่องของผีเปรตโดยส่วนมากจะหนักไปทางชีวิตดราม่าของคนบาปคนหนึ่ง ซึ่งลงท้ายที่สุดแล้วเขาจะไปเกิดใหม่ในนรกเป็น “สัตว์นรก” หรือที่รู้จักกันในวงกว้าด้วยชื่อ “เปรต” เรื่องแล้วเรื่องเล่ามันเหมือนเป็นเรื่องเล่าจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อสอนลูกหลานไม่ให้ก่อบาปทำผิดศีลเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปเกิดใหม่เป็นเปรต แต่ไม่รู้ทำไม ผมกลับกลัวมันยิ่งกว่า “น้องPOP” อีกนะ

    แล้วเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงครับ.. พิธีปลงผมนาคผ่านไปได้ด้วยดีท่ามกลางเสียงแห่งความยินดีสนุกสนานเฮฮา จากพ่อแม่ญาติพี่น้องก็ดี หรือเพื่อนกันก็ดี
    จนมาถึงยามค่ำ..
    หมูกระทะ 2 เตาสำหรับพวกผมเพื่อนสมัยมัธยม และเพื่อนรุ่นมหา’ลัยของว่าที่หลวงพี่ผู้ตอนนี้กลายเป็น ‘นาค’ ไปเรียบร้อย โดยที่เนื้อหมูในเตาถูกคีบออกชนิดความไวเป็นของปีศาจ และในระหว่างที่กินอยู่..
    “เฮ้ย! ไปบ้านไม้ข้างหลังกะน้องกูหน่อย ไปเอาน้ำเปล่าแช่เย็นมาซัก 4-5 ขวด” นาคตะโกนเรียกผม ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นน้ำเปล่าที่อยู่ในบ้านไม้ข้างหลังนั้น ทั้งที่ในครัวมันก็มีตู้เย็นอยู่..
    “ตู้นี้มันไม่ค่อยเย็น ตู้นั้นเย็นกว่า” เหมือนจะรู้..
    “ไปบ้านไม้นี่มันเย็นจนหนาวแน่ๆ”
    “โดนแน่ๆ ” เพื่อนผมคนที่เคยไปหั่นปลาหมึกที่บ้านหลังนั้นพูดขึ้น

    ผมกับน้องชายของนาคเดินออกประตูหลังแล้วเดินมาถึงบ้านไม้ เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากความเก่าของไม้กระดานดังขึ้นเมื่อเท้าของผมและน้องชายของนาคเหยียบลงแล้วเดินไปรอบๆ โดยที่ในบ้านนั้นไม่มีใครอยู่ ทำให้ไฟบ้านนั้นปิดไว้ ผมพอมองเห็นตู้เย็นเป็นโครงรางๆ ในความมืดที่ตั้งอยู่แถวๆ ระเบียงบ้าน ส่วนไฟบ้านน่ะเหรอ..อยู่ในตัวบ้าน ยังไม่ทันได้เข้าไปถึงส่วนไหนของบ้านมากมายก็ขนลุกเบาๆ แล้ว ก็เลยจำยอมไม่เข้าไปเปิดดีกว่า ใช้เปิดแสงแฟลชจากมือถือเอา
    “เชี่ย!!” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อแสงแฟลชของผมสาดไปกระทบกับใบหน้าของหญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งที่สวมชุดไทยแบบชุดผ้าไหมในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนปลาย
    แต่เมื่อผมดูดีๆ ก็พบว่ามันเป็นเพียงรูปภาพของเจ้าของบ้านที่เสียไปแล้วนั่นล่ะครับ
    “มาแค่รูปกูยังหลอนเลย 555” โคตรตลกตัวเองที่ตอนนั้นเป็นคนที่ชินกับเรื่องผีๆ แต่ขี้ตกใจสุดๆ เพราะตอนเด็กๆ โดนทั้งเพื่อน ทั้งพ่อแม่ญาติพี่น้องแกล้งให้ตกใจบ่อยๆ เมื่อเจ้าน้องชายของนาคหยิบน้ำเปล่าเสร็จเราก็ลงมาจากบ้านหลังนั้น
    “เจอไรมั้ยครับ?” เพื่อนผมคนหนึ่งทักขึ้น
    “ไม่เจออ่ะ..แต่มีจังหวะสาดแฟลชไปเจอรูปเค้า สะดุ้ง ยิ้มๆ” ผมตอบพลางหัวเราะเบาๆ
เมื่อกินเสร็จ..
    “เฮ้ย! อยากเล่นอะไรหนุกๆ ป่าว” นาคถามขึ้นท่ามกลางวงของเพื่อนๆ “แถวนี้น่ะ ประวัติมันเยอะ อยากเจอซักทีมั้ยล่ะ?”
    ไหนๆ ก็ไหนๆ เพื่อนผมก็กลายเป็นนาคไปเรียบร้อยแล้ว ใจนึงก็อยากให้มันสนุกให้เต็มที่ก่อนที่วันรุ่งขึ้นมันจะต้องไปเคร่งศีลในวัดป่านั่นล่ะครับ
    “ไหนๆ ทั้งทั้งนาคก็อยู่ด้วยกันละ ทดสอบเซนส์พวกไปเลยดีกว่า” เพื่อนผมคนหนึ่งเริ่มท้าทาย
    อันที่จริง ผมก็ไม่ค่อยชอบให้ใครมาถามซ่อกแซ่กอะไรมากมายหรอกครับ.. ในแต่ละครั้งที่ผมเจออะไรพวกนี้ ผมมักจะโดนเพื่อนรุมถามประจำ ‘เห็นยังไงวะ?’ ‘เขามาแบบไหนวะ?’ ‘น่ากลัวป่ะ?’ ‘น่าสนุกว่ะ’ ..ไม่สนุกเลยว่ะจริงๆ ถ้าเขาเป็นผีทั่วๆ ไป ผมก็ปล่อยผ่าน เหมือนกับเราเจอหมาข้างถนนนั่นล่ะครับ ถ้ามาร้ายผมก็จะเตือนคนรอบข้างเองว่ามาร้ายแล้วต้องการอะไร แต่บางทีผมก็อยากพามันไปโรงพยาบาลแล้วผ่าตัดแลกลูกตากันไปเลย อยากรู้มากก็จะเอาให้สติแตกกันไปข้างนึง
    “เห็นแก่วันนี้มีเพื่อนบวชนาคนะ..กูถอดพระเล่นเลยก็ได้” ปกติผมจะห้อยพระหลวงปู่ทวดไว้ด้านหน้า ส่วนด้านหลังเป็นพระปิดตาหลวงปู่ทิม แต่วันนี้มันเป็นวันของเพื่อนผม ผมจะถือว่าผมมีโอกาสได้เล่นกีฬา Extreme ประเภทหนึ่ง ก็ต้องให้มันสุดๆ ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกว่า..มีอะไรบางอย่างรอผมอยู่ข้างนอกนั่น..มากกว่า 1
    “เกมคืออย่างนี้..กูขอเรียกมันเป็นเกมเลยละกัน ง่ายๆ” นาคประกาศขึ้นให้ทุกคนฟัง ก่อนจะชี้มาทางพวกผม กลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมที่มีผมเป็นตัวหลักสำหรับคนมีเซนส์ “พวก 9 คน แบ่งกันเป็น 2 กลุ่มย่อย แต่กลุ่มนึงจะมี 5 คน..”
    “งั้นกูไปทั้ง 2 รอบก็ได้” เพื่อนของผมคนหนึ่งเสนอตัวขึ้น ซึ่งทุกคนก็โอเค เพราะเจ้าคนนี้ทั้งกลุ่มยอมรับว่า มันมีความเป็นผู้ใหญ่สุด นั่นทำให้มันสามารถคุมสติตัวเองเพื่อช่วยคนอื่นได้ดีกว่าใคร จากอุบัติเหตุครั้งหนึ่งที่เราประสบมาด้วยกันแล้วมันคนนี้แหละ ที่ช่วยเหลือทุกคนในกลุ่ม ณ ตอนนั้น
    “ชัวร์นะ?” นาคถามย้ำอีกที
    “ได้แหละ..ไม่มีปัญหาอะไร” มันยืนยัน
    “ถ้างั้นก็ไปเอาว.มา 2 ตัว” รุ่นน้องผมที่มาร่วมงานครั้งนี้ด้วยวิ่งไปหยิบ เมื่อว.ทั้ง 2 ตัวมาถึงมือนาคแล้ว นาคก็โยนให้พวกผม 1 ตัว โดยที่นาคถือไว้อีก 1 ตัว “กูจะนั่งเป็นศูนย์ให้ แล้วบอกให้พวกไปตามทางที่กูบอก”

“แล้วจำไว้นะ..ถ้าเกิดอะไรขึ้น อย่าวิ่ง..เดี๋ยวทีมงานจะเข้าไปรับนะครับ”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่