คอร์ติซอล (cortisol) เคมีแห่งปัญหา ฮอร์โมนแห่งความกดดัน

เคยไหม ที่คุณเครียด และรู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง


บางคนก็ซึมเศร้า  แยกตัวจากผู้คน
บางคนก็ระบายอารมณ์กับสิ่งต่างๆ
บ้างคะนองขึ้นมา อาจจะทำร้ายตัวเอง
และที่แย่กว่านั้น บางคนถึงขั้น ทำร้ายคนอื่น กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ทีเดียว  

ตามหน้าหนังสือพิมพ์ เรามักจะเห็นคดีหรือเหตการณ์ ที่ก่อเกิดจากความเครียด ความผิดหวัง มากมาย  จริงๆแล้วมันก็ไม่เยอะหรอก ถัาเทียบกับเรื่องในชีวิต  แต่อย่างว่าแหละ

"ก็มันขายได้นี่ " ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ไม่เคยพูด  

แล้วทำไม แค่ความคิดแค่นี้  ถึงกับเปลี่ยนคนเราได้เลยเหรอ
สิ่งที่เปลี่ยนไปในหัวนั้น ไม่ใช่แค่สัญญาณไฟฟ้าที่คอยคิดเท่านั้น มันมีสิ่งกระตุ้น นั่นคือ ฮอร์โมนที่มีชื่อยังกะยาแก้ไอ  คอร์ติซอล ครับ

  
อะไรคือคอร์ติซอล
เมื่อร่างกายเราประสบกับภาวะตึงเครียด  เช่น ได้รับความกดดันต่างๆ เจอกับสถานการณ์ยากๆ หรือแม้แต่ผิดหวังอย่างแรง  ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมา  ซึ่งผลกระทบกับร่างกายก็คือ
-ปรับระดับภูมิคุ้มกันร่างกาย
-ควบคุมอินซูลีนในเลือด รักษาระดับและการใช้พลังงานจากกลูโคสในร่างกาย
-ควบคุมความดันโลหิต
-ร่างกายปรับสภาพ เตรียมรับมือกับความกดดัน
รวมๆแล้ว  ฮอร์โมนนี้  จะทำให้เราอยู่ในลักษณะพร้อมรบนั่นเอง

สภาพร่างกายเมื่อมีคอร์ติซอลเต็มเปี่ยม

นั่นแหละคือเหตผล ที่ทำไมเวลาเรากดดัน หรือเครียดมาก เราจะหงุดหงิดได้ง่าย ร่างกายเราจะกล้าทำเรื่องที่รุนแรงขึ้น โดยปกติแล้วถ้ามีพอดีๆ ก็จะทำให้คนเรารับมือกับความเครียดได้ และผ่านไปซักพักก็จะลดลงเอง

แต่ไม่ใช่ทุกคน...
ถ้ามากเกินไป  ร่างกายเราก็ยิ่งรู้สึกเกรี้ยวกราด  อยากทำอะไรซักอย่างเพื่อปลดปล่อยออกมา  ซึ่งส่งผลหลายอย่างครับ ทั้งอย่างเบาะๆ คือ ร้องออกมา  น้ำเสียงเปลี่ยนไป หงุดหงิด  คิดไม่หยุด บางคนถึงขั้นทำร้ายร่างกายได้เลยทีเดียว ถ้าน้อยเกินไป เราก็จะรับมือกับปัญหานั้นไม่ได้  ไม่มีพลังที่จะทำอะไรต่อไป อาจจะทำให้คิดสั้นได้

ฮอร์โมนนี้เอาเข้าจริงเป็นที่รู้จักดีในหมู่นักกีฬาหรือผู้ลดน้ำหนักโดยการควบคุมน้ำตาล  เนื่องจากการที่ทำให้ร่างกายเราพร้อมสู้  เราเลยต้องกายพลังงาน และพลังงานถ้ามีไม่พอ  มันก็จะไปดึงจากร่างกาย จากกล้ามเนื้อต่างๆ ทำให้มวลกล้ามเนื้อเราลดลง  และเนื้องจากต้องการพลังงาน ทำให้เราอยากอาหารมากขึเนโดยเฉพาะของหวานๆ  ส่งผลทางอ้อมทำให้เราดูอ้วนขึ้นได้ง่าย และเนืองจากกล้ามเนื้อหาย รอยเหี่ยวย่นก็ย่อมตามมา สาวๆก็อย่าเครียดมากนะแจ๊ะ

แล้วมันมีประโยชน์หรือ
มีสิครับ  ไม่งั้นร่างกายเราจะสร้างมาทำไม อย่างที่บอกไป  ฮอร์โมนนี้จะไปเร่งให้ร่างกายพร้อม ทำให้เรามีพลังมากพอที่จะผ่านปัญหานั้นไปได้  เราไม่มี  เราก็อาจจะซึมจนผ่านปัญหาไม่ไหว


แล้วจะลดได้ยังไง
ไม่ยาก อย่างแรก  พักผ่อนให้เพียงพอ  ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย ไม่ออกกำลังหนักๆ  รับประทานคารโบไฮเดรตให้พอ
ง่ายสินะ
แล้วทำไม   บางคนมันลดไม่ได้ล่ะ.....


หมายเหต ข้อมูลใน spoil ผิดนะครับ..
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ขั้วตรงข้ามความกดดัน นั่นคือ ความผูกพัน


เพื่อให้ร่างกายเราพร้อมลุย  ร่างกายเราจะเฟ้นหาเก็บรายละเอียดสิ่งรอบตัวให้มากขึ้น นั่นทำให้ระดับนอเอพิเนฟรินลดลง และคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น  ในสภาวะนี้  คนนั้นจะถือว่า มีความเครียดอย่างมากกกกกก
การที่จะลดความเครียดลงได้ด้วยตัวเองนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย  เพราะคอร์ติซอลมันเพิ่มขึ้นมาเสริมเรื่อยๆ   เลยทำให้หยุดคิด ลืมเรื่องต่างๆ ไม่ได้
หนทางช่วยเหลือก็ไม่ยาก  นั่นคือ เติมเต็มเขา ให้เขารู้สึกว่าไม่ได้สู้ตามลำพัง  ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน เป็นแฟน หรืออะไรก็ตาม เวลาเห็นคนที่ผิดหวัง การที่เราเข้าไปอยู่ข้างๆ ทำให้เขาไม่รู้สึกว่าอยู่เดียวดาย ก็พอช่วยได้ไม่มากก็น้อย
ดังนั้นในพลอตหนัง  เวลาคนอกหักแล้วมีเพศตรงข้ามมาปลอบ   ตัวละครนั้นเลยตกหลุมรักได้ง่ายๆ นั่นเอง เพื่อเคลียร์ความเครียดนั้น  เป็นระบบป้องกันตัวเองแบบอัตโนมัติของร่างกายอย่างหนึ่งครับ

แต่สำหรับคนที่ไม่มีใคร  การจะทำแบบนี้ได้ด้วยตนเองนั้นไม่ง่ายทีเดียว

เช่น คู่สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันมานาน มีกันอยู่  2 คน วันหนึ่ง  มีเหตให้ต้องจากกันไป  ระดับความเครียดนี้จะสูงเป็นพิเศษ    คนข้างตัวหายไปแล้วก็เหมือนโลกทั้งใบหายไปด้วย

หรือธุรกิจที่เราทุ่มทุกอย่างในชีวิตเพื่อสร้างมันขึ้นมา อนาคตฝากไว้กับสิ่งนี้ ปรากฏว่ามันล้มลงแบบไม่มีวันกู้กลับได้

ถ้าเราปล่อยให้คนเหล่านี้อยู่คนเดียว   ผลกระทบจะรุนแรงมาก ความคิดไม่ต้องพูดถึง  หยุดไม่ได้หรอก ร่างกายใช้พลังงานอย่างหนัก คอร์ติซอลสูงทำให้พักผ่อนได้ยาก   ระดับนี้เลยทำให้เกิดเรื่องเป็นข่าวอยู่หลายๆข่าวครับ ทางแก้ด้วยตัวคนเดียวนั้นไม่ง่ายเลย อาจจะต้องใช้ยาระงับอาการ ยังไงก็ตาม นี่ไม่ใช่วิธีที่ดี ไม่ควรทำเป็นเวลานาน

การที่คนเครียดนั้น คำพูดที่บอกให้ปล่อยวาง  ลืมๆมันไป อาจจะใช้ไม่ได้ผลกับทุกคน  เพราะระดับเคมีในร่างกายยังไม่ลดลง คนนั้นก็ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ดี  สิ่งที่ควรทำคือให้ความเข้าใจ  ให้เขาไม่รู้สึกเดียวดาย การกระทำนี้จะช่วยเปลี่ยนปริมาณสารเคมีเหล่านี้ และเยียวยาได้ในที่สุดครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่