รีวิว : The Legend Of Tarzan [ เรื่องที่ 61/59 ] ไม่มีสปอย | รีวิว By : อีผักคะน้า
- คะแนนคิดเป็นเปอร์เซ็นนะครับดูตรงข้างๆถังป๊อปคอร์นเลย -
ระดับความอร่อย : ป๊อปคอร์น 3 ถัง
"การกลังมาแบบไม่ค่อยสมศีกดิ์ศรีเท่าที่ควรของทาร์ซาน สนุกแค่ในระดับนึง"
.
หนังเล่าถึงความเป็นมาแรกเริ่มเดิมทีของ ทาร์ซาน กับคำถามที่ว่า ทำไมเขาถึงกลายเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่เติบโตมาในป่า ไปจนถึงช่วงเวลาหลายปี ให้หลังจากการออกจากป่าแอฟริกาเข้าสู่เมืองในฐานะของ “จอห์น เคลย์ตันที่ 3″ หรือ “ลอร์ด เกรย์สโตก” ร่วมกับ เจน ภรรยาสาวคนสวยที่เป็นที่รัก แต่แล้วด้วยแผนการแก้แค้นของ ลีออน รอม กัปตันชาวเบลเยียมจอมโลภ ก็ได้สร้างแผนลวงให้ทาร์ซานกลับมาที่คองโกอีกครั้ง เพื่อทำหน้าที่เป็นฑูตพาณิชย์แห่งรัฐสภา โดยที่ทาร์ซานไม่รู้เลยว่า เรื่องราวทั้งหมดคือการวางแผนก่อเหตุฆาตกรรม…
.
บอกเลยว่า ณ ตอนที่ตีตั๋วเข้าไปเรื่องนี้ไม่ได้พกความคาดหวังเข้าไปด้วยเลยซักนิด เพราะคิดว่ายังไงทาร์ซาน มันก็คือทาร์ซาน มันคงไม่มีอะไรให้เรารู้สึกว่ามันควรจะดีไปกว่านี้แล้วแหละ สรุปแล้วตอนออกโรงนี่ออกมาแบบสบายใจครับ คุมค่าแล้วจริงๆที่เราไม่ได้ให้ความหวังกับมันไว้มาก
.
คะน้าขอพูดข้อดีของมันก่อนเพราะเท่าที่จับได้ข้อดีมันน้อยกว่าข้อเสียจริงๆ ข้อดีอย่างแรกเท่าที่เห็นคือการแสดง Samuel L. Jackson ที่ช่วยดึงหนังด้วยเรื่องนี้ไว้ได้เป็นอย่างดี บอกเลยว่าถ้าขาดเขาไปก็เตรียมตัวหาวแหละครับ กับงาน CGI ที่สวยสดุดตามากแม้จะมีลอยๆไปบ้างแต่ก็ไม่เลวร้ายไปซะทีเดียว และอย่าคิดจะเอาเรื่อง CGI ไปเทียบกับ Jungle Book กระดูกคนละเบอร์มาก ส่วนอีกข้อคิดว่าน่าจะถูกใจพวกสาวๆมสกกว่าสำหรับกล้ามกับซิกแพคแบบเน้นๆของตัวเอกอย่าง Alexander Skarsgard ที่ถอดโชว์หุ่นล่ำๆของแกซะตลอดเกือบทั้งเรื่อง เอาเถอะครับมาถึง ณ จุดๆนี้คน้าหาข้อมาพูดแล้วไม่ได้จริงๆ เพราะนอกจากที่ว่ามานี้แล้วจะตรงไหนๆก็มีแต่ข้อเสียเต็มไปหมด
.
ตั้งแต่เนื้อเรื่องที่แลดูกลวงๆ แถมยังพยามจะขมวดปมหลายๆปมเข้ามาตลอด 110 นาทีของหนังทั้งเรื่อง ดราม่า, โรแมนติก, แอ็คชั่น, ความโหดร้ายของมนุษย์หรือการชวนชวนให้หันมา ระลึกชาติ หันมารักป่ามากขึ้น แต่หนังกลับไม่ถ่ายทอดออกมาให้สุด แทนที่จะใช้จุดแข็งของบทตรงนี้มาขยี้ให้มันสุด แต่กลับถ่ายทอดออกมาได้แบบไร้ชั้นเชิง น่าเบื่อหน่ายกลายเป็นหนังเชิญชวนให้มาระลึกชาติแบบโง่ๆไปเลย ที่สำคัญหนังยังชวนงงด้วบการเล่าเรื่องปัจจุบันกับ Flashback เรียงเป็น 3,1,2,4 อีก
.
บอกตรงๆเลยว่าถ้า ผกก. อยากจะยัดประเด็นหลายๆประเด็นเข้ามาในหนังไม่ถึง 2 ชม. เรื่องนี้มันไม่ได้ทำให้หนังดีขึ้นเลยครับ มีแต่จะทำร้ายหนังให้แย่ลงๆเท่านั้นอาจเป็นเพราะ ผกก. David Yates แกอาจจะชินกับการทำหนัง Harry Potter ที่มีการยัดหลายๆประเด็นเข้ามาในเรื่องเดียวมากเกินไปแต่เพราะไอพ่อมดแว่นมันมีความยาวมากกว่า 2 ชม. พอมาทำหนังที่มีเวลาแค่ 110 นาทีฝีมือแกเลยดูดร็อปลงทันตา
.
การกลับมาครั้งใหม่ของ ทาร์ซาน ครั้งนี้บอกเลยว่าทำลายความคลาสสิคของตัวทาร์ซานไปแบบไม่เหลือชิ้นดีแม่หนังจะอิงตามต้นฉบับแต่หนังเลือกที่จะใส่อย่างอื่นเข้ามาจนความคลาสสิคหายไปจนสิ้นโดยเฉพาะ ทาร์ซาน ที่โม้ไปทั่วป่าว่า เก่งนู่น เก่งนี่ เก่งนั่น แต่เอาจริงๆตัวทาร์ซานไม่มีดีอะไรซักอย่าง ทำตัวโง่ๆ สู้กับใครก็แพ้ ที่สำคัญตัวทาร์ซานดันขาดเสน่ห์แถมยังไร้มิติเอามากๆ นี่หรือวะทาร์ซานในวัยเด็กที่กูรู้จัก ไม่สมกับชื่อของเรื่องที่ใช้คำว่า "เดอะ ลีเจ้น" เลยซักนิด
.
การแสดงหรือไดอาล็อกนี่ผ่านๆไปเถอะครับ ไม่มีอะไรที่มันดีหรือว่าน่าจดจำซักอย่างโดยเฉพาะ Alexander Skarsgard นี่นอกจากกล้ามกับซิกแพ็กแล้วไม่มีห่าไรดีซักอย่าง ไม่โอเคกับแกในบททาร์ซานมากๆ ไร้สีหน้า ไร้อารมณ์ Margot Robbie แม้คะน้าจะหวังมาดูบทเด่นๆและน่าตาน่ารักๆของเธอมากแค่ไหน แต่เธอกลับไม่ฉายแววอย่างที่คิดมีเพียงตัวฮา Samuel L. Jackson ที่ช่วยพยุงหนังไว้ได้จริงๆ
.
สรุปแล้วหนัง The Legend Of Tarzan นั้นแทบจะไม่ทีความดีงามอยู่ในหนังเลยซักนิด เห็นดีเห็นงามก็มีแต่เพียง CGI กับการเดินเรื่องที่ค่อนข้างจะสนุกเท่านั้น เห็นคะแนนมะเขือเน่าต่ำแค่ไหนก็ต้องเชื่อครับเพราะหนังมันมีข้อเสียเยอะกว่าที่คาดไว้มาก เอาเป็นว่ารอวันพุทธเถอะครับค่อยตีตั๋วไปเลย หรือถ้าให้ดีกว่านั้นรอแผ่นดีกว่าครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาในชีวิต ว่างๆคุณค่อยดูดีกว่าครับ
#Popcorn_Review #Action #Adventure
เหมือนเดิมครับขอฝากเพจหนังของคะน้าด้วยครับ
ปล.รีวิวนี้คะน้าเขียนขึ้นในเพจนะครับ
และสามารถเข้าไปแลกเปลี่ยน คห. หรือพูดคุยเกี่ยวกับข่าวสารของวงการภาพยนต์ได้ที่นี่
https://m.facebook.com/nonpopcorn/
รีวิว : The Legend Of Tarzan ไม่มีสปอย By : อีผักคะน้า การกลับมาแบบไม่สมศักดิ์ศรีเท่าที่ควรของทาร์ซาน
รีวิว : The Legend Of Tarzan [ เรื่องที่ 61/59 ] ไม่มีสปอย | รีวิว By : อีผักคะน้า
- คะแนนคิดเป็นเปอร์เซ็นนะครับดูตรงข้างๆถังป๊อปคอร์นเลย -
ระดับความอร่อย : ป๊อปคอร์น 3 ถัง
"การกลังมาแบบไม่ค่อยสมศีกดิ์ศรีเท่าที่ควรของทาร์ซาน สนุกแค่ในระดับนึง"
.
หนังเล่าถึงความเป็นมาแรกเริ่มเดิมทีของ ทาร์ซาน กับคำถามที่ว่า ทำไมเขาถึงกลายเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่เติบโตมาในป่า ไปจนถึงช่วงเวลาหลายปี ให้หลังจากการออกจากป่าแอฟริกาเข้าสู่เมืองในฐานะของ “จอห์น เคลย์ตันที่ 3″ หรือ “ลอร์ด เกรย์สโตก” ร่วมกับ เจน ภรรยาสาวคนสวยที่เป็นที่รัก แต่แล้วด้วยแผนการแก้แค้นของ ลีออน รอม กัปตันชาวเบลเยียมจอมโลภ ก็ได้สร้างแผนลวงให้ทาร์ซานกลับมาที่คองโกอีกครั้ง เพื่อทำหน้าที่เป็นฑูตพาณิชย์แห่งรัฐสภา โดยที่ทาร์ซานไม่รู้เลยว่า เรื่องราวทั้งหมดคือการวางแผนก่อเหตุฆาตกรรม…
.
บอกเลยว่า ณ ตอนที่ตีตั๋วเข้าไปเรื่องนี้ไม่ได้พกความคาดหวังเข้าไปด้วยเลยซักนิด เพราะคิดว่ายังไงทาร์ซาน มันก็คือทาร์ซาน มันคงไม่มีอะไรให้เรารู้สึกว่ามันควรจะดีไปกว่านี้แล้วแหละ สรุปแล้วตอนออกโรงนี่ออกมาแบบสบายใจครับ คุมค่าแล้วจริงๆที่เราไม่ได้ให้ความหวังกับมันไว้มาก
.
คะน้าขอพูดข้อดีของมันก่อนเพราะเท่าที่จับได้ข้อดีมันน้อยกว่าข้อเสียจริงๆ ข้อดีอย่างแรกเท่าที่เห็นคือการแสดง Samuel L. Jackson ที่ช่วยดึงหนังด้วยเรื่องนี้ไว้ได้เป็นอย่างดี บอกเลยว่าถ้าขาดเขาไปก็เตรียมตัวหาวแหละครับ กับงาน CGI ที่สวยสดุดตามากแม้จะมีลอยๆไปบ้างแต่ก็ไม่เลวร้ายไปซะทีเดียว และอย่าคิดจะเอาเรื่อง CGI ไปเทียบกับ Jungle Book กระดูกคนละเบอร์มาก ส่วนอีกข้อคิดว่าน่าจะถูกใจพวกสาวๆมสกกว่าสำหรับกล้ามกับซิกแพคแบบเน้นๆของตัวเอกอย่าง Alexander Skarsgard ที่ถอดโชว์หุ่นล่ำๆของแกซะตลอดเกือบทั้งเรื่อง เอาเถอะครับมาถึง ณ จุดๆนี้คน้าหาข้อมาพูดแล้วไม่ได้จริงๆ เพราะนอกจากที่ว่ามานี้แล้วจะตรงไหนๆก็มีแต่ข้อเสียเต็มไปหมด
.
ตั้งแต่เนื้อเรื่องที่แลดูกลวงๆ แถมยังพยามจะขมวดปมหลายๆปมเข้ามาตลอด 110 นาทีของหนังทั้งเรื่อง ดราม่า, โรแมนติก, แอ็คชั่น, ความโหดร้ายของมนุษย์หรือการชวนชวนให้หันมา ระลึกชาติ หันมารักป่ามากขึ้น แต่หนังกลับไม่ถ่ายทอดออกมาให้สุด แทนที่จะใช้จุดแข็งของบทตรงนี้มาขยี้ให้มันสุด แต่กลับถ่ายทอดออกมาได้แบบไร้ชั้นเชิง น่าเบื่อหน่ายกลายเป็นหนังเชิญชวนให้มาระลึกชาติแบบโง่ๆไปเลย ที่สำคัญหนังยังชวนงงด้วบการเล่าเรื่องปัจจุบันกับ Flashback เรียงเป็น 3,1,2,4 อีก
.
บอกตรงๆเลยว่าถ้า ผกก. อยากจะยัดประเด็นหลายๆประเด็นเข้ามาในหนังไม่ถึง 2 ชม. เรื่องนี้มันไม่ได้ทำให้หนังดีขึ้นเลยครับ มีแต่จะทำร้ายหนังให้แย่ลงๆเท่านั้นอาจเป็นเพราะ ผกก. David Yates แกอาจจะชินกับการทำหนัง Harry Potter ที่มีการยัดหลายๆประเด็นเข้ามาในเรื่องเดียวมากเกินไปแต่เพราะไอพ่อมดแว่นมันมีความยาวมากกว่า 2 ชม. พอมาทำหนังที่มีเวลาแค่ 110 นาทีฝีมือแกเลยดูดร็อปลงทันตา
.
การกลับมาครั้งใหม่ของ ทาร์ซาน ครั้งนี้บอกเลยว่าทำลายความคลาสสิคของตัวทาร์ซานไปแบบไม่เหลือชิ้นดีแม่หนังจะอิงตามต้นฉบับแต่หนังเลือกที่จะใส่อย่างอื่นเข้ามาจนความคลาสสิคหายไปจนสิ้นโดยเฉพาะ ทาร์ซาน ที่โม้ไปทั่วป่าว่า เก่งนู่น เก่งนี่ เก่งนั่น แต่เอาจริงๆตัวทาร์ซานไม่มีดีอะไรซักอย่าง ทำตัวโง่ๆ สู้กับใครก็แพ้ ที่สำคัญตัวทาร์ซานดันขาดเสน่ห์แถมยังไร้มิติเอามากๆ นี่หรือวะทาร์ซานในวัยเด็กที่กูรู้จัก ไม่สมกับชื่อของเรื่องที่ใช้คำว่า "เดอะ ลีเจ้น" เลยซักนิด
.
การแสดงหรือไดอาล็อกนี่ผ่านๆไปเถอะครับ ไม่มีอะไรที่มันดีหรือว่าน่าจดจำซักอย่างโดยเฉพาะ Alexander Skarsgard นี่นอกจากกล้ามกับซิกแพ็กแล้วไม่มีห่าไรดีซักอย่าง ไม่โอเคกับแกในบททาร์ซานมากๆ ไร้สีหน้า ไร้อารมณ์ Margot Robbie แม้คะน้าจะหวังมาดูบทเด่นๆและน่าตาน่ารักๆของเธอมากแค่ไหน แต่เธอกลับไม่ฉายแววอย่างที่คิดมีเพียงตัวฮา Samuel L. Jackson ที่ช่วยพยุงหนังไว้ได้จริงๆ
.
สรุปแล้วหนัง The Legend Of Tarzan นั้นแทบจะไม่ทีความดีงามอยู่ในหนังเลยซักนิด เห็นดีเห็นงามก็มีแต่เพียง CGI กับการเดินเรื่องที่ค่อนข้างจะสนุกเท่านั้น เห็นคะแนนมะเขือเน่าต่ำแค่ไหนก็ต้องเชื่อครับเพราะหนังมันมีข้อเสียเยอะกว่าที่คาดไว้มาก เอาเป็นว่ารอวันพุทธเถอะครับค่อยตีตั๋วไปเลย หรือถ้าให้ดีกว่านั้นรอแผ่นดีกว่าครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาในชีวิต ว่างๆคุณค่อยดูดีกว่าครับ
#Popcorn_Review #Action #Adventure
เหมือนเดิมครับขอฝากเพจหนังของคะน้าด้วยครับ
ปล.รีวิวนี้คะน้าเขียนขึ้นในเพจนะครับ
และสามารถเข้าไปแลกเปลี่ยน คห. หรือพูดคุยเกี่ยวกับข่าวสารของวงการภาพยนต์ได้ที่นี่
https://m.facebook.com/nonpopcorn/