สวัสดีค่ะ ไม่ได้ตั้งกระทู้นานมาก วันนี้มีข้อสงสัยที่คิดไม่ตกมาถามเพื่อนสมาชิกพันทิปหน่อยค่ะ
คือเราค่อนข้างเริ่มทำงานช้าด้วยเหตุผลทางบ้าน จึงเริ่มทำงานแรกด้วยวัย 26 ปี
สายงานที่เราเรียนจบมาและทำอยู่ในปัจจุบันค่อนข้างเน้นประสบการณ์ เราจึงเริ่มต้นการทำงานด้วยเงินเดินไม่สูงมากนักเพราะไม่มีประสบการณ์
งานที่ทำ เดินทางค่อนข้างบ่อย เกือบทุกวันต้องออกออฟฟิศ ไม่ใช่เซล์หรือพนักงานขายนะคะ
บริษัทเป็นบริษัทขนาดเล็กมีพนักงาน 10 กว่าคนไม่ถึง 20 ที่ทำงานไม่มีนโยบายให้ใช้รถส่วนตัวในการทำงาน
เวลาเดินทางไปทำงานข้างนอกสามารถเบิกได้ตามอัตรารถโดยสารสาธารณะ BTS MRT รถตู้ วิน และรถแทกซี่ได้เมื่อจำเป็น
ส่วนตัวเราใช้รถส่วนตัวค่ะ เป็นรถเก่าของที่บ้าน ก็รับได้กับกฎบริษัทเพราะเค้าแจ้งตั้งแต่แรก เข้าเนื้อแต่พอยอมรับได้แลกกับความสะดวก
แต่...
ตอนนี้เราทำงานได้ครึ่งปีแล้วค่ะ ระยะหลังมานี้มีปัญหาเรื่องการเบิกเงินค่าเดินทางมาก คือบางจุดการรอรถประจำทางคือใช้เวลานานมาก
ต่อให้เราเดินทางด้วยรถประจำทางจริงบางส่วนเราก็ต้องทุ่นเวลาเดินทางด้วยวินมอเตอร์ไซต์
หรือใช้วิธีนั่งรถหลายต่อเพื่อให้ถึงที่หมายในเวลาที่กำหนด เช่นรถตู้ต่อใต้ดิน แต่กลายเป็นว่าจะให้เบิกได้แต่ค่ารถเมล์
บังคับแบบตัวเลขเป๊ะเลยว่าไปที่นั่นที่นี่ต้องกี่บาท ไม่ให้นั่งรถแอร์
อันนี้ยังไม่เจอกับตัวค่ะ แต่พนักงานหลายคนโดนกันแล้ว และก็เผื่อแผ่คำเตือนมาถึงเรา
อีกอย่างคือเรื่องเงินเดือน คุยกันไว้ที่ระยะทดลองงาน 4 เดือน ครบกำหนดจะปรับเพิ่มให้ ไม่ได้คุยถึงตัวเลขอย่างละเอียด แต่เค้าก็ประมาณให้ฟัง
ซึ่งตอนนี้ทำงานมาครึ่งปีแล้วเงินเดือนยังเท่าเดิมเป๊ะ อันนี้เคยทักท้วงแล้ว แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ
เราไม่มีประสบการณ์มาก่อนก็จริงค่ะ แต่ตอนนี้ก็ทำงานได้แทบไม่ต่างกับพนักงานคนอื่นแล้ว
และวุฒิสำหรับตำแหน่งนี้สูงกว่าปริญญาตรีปกติ แต่เงินเดือน หมื่นกลาง...
ทำงานเกินเวลาไม่มีโอที ถือเป็นงานติดพัน และยกเว้นจะดึกเกิน สี่ทุ่มขึ้นไปถึงคิดให้ ซึ่งปกติก็ไม่ได้และถ้าทำก็เลิกราวสองทุ่ม ทำงานฟรีวนไปค่ะ
บอกตามตรงว่าสังคมดี เพื่อนร่วมงานดี เอ็นดูเราดี และการจ่ายงานก็ดี แต่เรื่องการเงินนี่เราค่อนข้างรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบค่ะ
พอรู้สึกเช่นนั้นเราก็เริ่มสมัครงานใหม่ ก็เลือกไปหนึ่งที่ เป็นงานภายในมหาวิทยาลัย เงินเดือนมากขึ้นเกือบเท่าตัว
ผ่านสัมภาษณ์รอบสุดท้ายแล้วกำลังรอรายงานตัว... เราเลยสับสนว่าควรจะทำอย่างไรดี
เพราะ
1. งานใหม่เติบโตได้ยาก หรือไม่ได้เลย
2. งานที่ทำอยู่ปัจจุบันสามารถพัฒนาตัวเองได้มากกว่า และยิ่งประสบการณ์สูงเงินเดือนจะยิ่งสูงตาม (ถ้าย้ายบริษัท)
3. สังคมการทำงานที่ปัจจุบันไม่มีการเมืองภายใน ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวเกินความจำเป็น ส่วนตัวเราชอบ แต่ถ้าที่ใหม่จะเป็นคนละลักษณะเลย
4. เรื่องเงิน ที่ทำงานปัจจุบัน เงินเดือนแต่ละเดือนแทบไม่เหลือเก็บ เพราะรายจ่ายไปกับค่าเดินทางเยอะ เบิกได้แต่เข้าเนื้อ ที่ทำงานใหม่จะเป็นลักษณะนั่งโต๊ะ ไม่ได้ออกไปไหนเลย อาจจะน่าเบื่อบ้างถ้าเทียบกับงานเก่า แต่คิดว่าคงเซฟค่าใช้จ่ายได้เยอะกว่านี้ และเงินเดือนมากขึ้นด้วย
5. เรื่องสุดท้ายคือ เราไม่ชอบการเงินที่ทำงานปัจจุบัน เค้าบีบคอเรามากเกินไป เรารู้สึกว่าเราถูกเอาเปรียบตลอดเวลา เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับเราเพราะมันเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่ทำให้เราออกหางานใหม่
ส่วนตัวเราเข้าใจและยอมรับได้ การใช้รถยนต์ส่วนตัวทำงานคือเข้าเนื้ออยู่แล้ว แต่การทอนการเบิกค่าเดินทางซึ่งเรามั่นใจนะว่าเราไม่ได้เบิกเยอะเกินไปหรือเกินความเป็นจริง เพราะเราก็คิดตามค่าเดินทางปกติ พอเจออย่างงี้แล้วเราบอกตามตรงว่าไม่อยากทำงานที่นี่ต่อเลยค่ะ ฮือ
ที่ทำงานเก่าที่ดีเกือบทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องเงิน กับที่ใหม่ที่ยังไม่รู้ชะตากรรม
คือเราค่อนข้างเริ่มทำงานช้าด้วยเหตุผลทางบ้าน จึงเริ่มทำงานแรกด้วยวัย 26 ปี
สายงานที่เราเรียนจบมาและทำอยู่ในปัจจุบันค่อนข้างเน้นประสบการณ์ เราจึงเริ่มต้นการทำงานด้วยเงินเดินไม่สูงมากนักเพราะไม่มีประสบการณ์
งานที่ทำ เดินทางค่อนข้างบ่อย เกือบทุกวันต้องออกออฟฟิศ ไม่ใช่เซล์หรือพนักงานขายนะคะ
บริษัทเป็นบริษัทขนาดเล็กมีพนักงาน 10 กว่าคนไม่ถึง 20 ที่ทำงานไม่มีนโยบายให้ใช้รถส่วนตัวในการทำงาน
เวลาเดินทางไปทำงานข้างนอกสามารถเบิกได้ตามอัตรารถโดยสารสาธารณะ BTS MRT รถตู้ วิน และรถแทกซี่ได้เมื่อจำเป็น
ส่วนตัวเราใช้รถส่วนตัวค่ะ เป็นรถเก่าของที่บ้าน ก็รับได้กับกฎบริษัทเพราะเค้าแจ้งตั้งแต่แรก เข้าเนื้อแต่พอยอมรับได้แลกกับความสะดวก
แต่...
ตอนนี้เราทำงานได้ครึ่งปีแล้วค่ะ ระยะหลังมานี้มีปัญหาเรื่องการเบิกเงินค่าเดินทางมาก คือบางจุดการรอรถประจำทางคือใช้เวลานานมาก
ต่อให้เราเดินทางด้วยรถประจำทางจริงบางส่วนเราก็ต้องทุ่นเวลาเดินทางด้วยวินมอเตอร์ไซต์
หรือใช้วิธีนั่งรถหลายต่อเพื่อให้ถึงที่หมายในเวลาที่กำหนด เช่นรถตู้ต่อใต้ดิน แต่กลายเป็นว่าจะให้เบิกได้แต่ค่ารถเมล์
บังคับแบบตัวเลขเป๊ะเลยว่าไปที่นั่นที่นี่ต้องกี่บาท ไม่ให้นั่งรถแอร์
อันนี้ยังไม่เจอกับตัวค่ะ แต่พนักงานหลายคนโดนกันแล้ว และก็เผื่อแผ่คำเตือนมาถึงเรา
อีกอย่างคือเรื่องเงินเดือน คุยกันไว้ที่ระยะทดลองงาน 4 เดือน ครบกำหนดจะปรับเพิ่มให้ ไม่ได้คุยถึงตัวเลขอย่างละเอียด แต่เค้าก็ประมาณให้ฟัง
ซึ่งตอนนี้ทำงานมาครึ่งปีแล้วเงินเดือนยังเท่าเดิมเป๊ะ อันนี้เคยทักท้วงแล้ว แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ
เราไม่มีประสบการณ์มาก่อนก็จริงค่ะ แต่ตอนนี้ก็ทำงานได้แทบไม่ต่างกับพนักงานคนอื่นแล้ว
และวุฒิสำหรับตำแหน่งนี้สูงกว่าปริญญาตรีปกติ แต่เงินเดือน หมื่นกลาง...
ทำงานเกินเวลาไม่มีโอที ถือเป็นงานติดพัน และยกเว้นจะดึกเกิน สี่ทุ่มขึ้นไปถึงคิดให้ ซึ่งปกติก็ไม่ได้และถ้าทำก็เลิกราวสองทุ่ม ทำงานฟรีวนไปค่ะ
บอกตามตรงว่าสังคมดี เพื่อนร่วมงานดี เอ็นดูเราดี และการจ่ายงานก็ดี แต่เรื่องการเงินนี่เราค่อนข้างรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบค่ะ
พอรู้สึกเช่นนั้นเราก็เริ่มสมัครงานใหม่ ก็เลือกไปหนึ่งที่ เป็นงานภายในมหาวิทยาลัย เงินเดือนมากขึ้นเกือบเท่าตัว
ผ่านสัมภาษณ์รอบสุดท้ายแล้วกำลังรอรายงานตัว... เราเลยสับสนว่าควรจะทำอย่างไรดี
เพราะ
1. งานใหม่เติบโตได้ยาก หรือไม่ได้เลย
2. งานที่ทำอยู่ปัจจุบันสามารถพัฒนาตัวเองได้มากกว่า และยิ่งประสบการณ์สูงเงินเดือนจะยิ่งสูงตาม (ถ้าย้ายบริษัท)
3. สังคมการทำงานที่ปัจจุบันไม่มีการเมืองภายใน ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวเกินความจำเป็น ส่วนตัวเราชอบ แต่ถ้าที่ใหม่จะเป็นคนละลักษณะเลย
4. เรื่องเงิน ที่ทำงานปัจจุบัน เงินเดือนแต่ละเดือนแทบไม่เหลือเก็บ เพราะรายจ่ายไปกับค่าเดินทางเยอะ เบิกได้แต่เข้าเนื้อ ที่ทำงานใหม่จะเป็นลักษณะนั่งโต๊ะ ไม่ได้ออกไปไหนเลย อาจจะน่าเบื่อบ้างถ้าเทียบกับงานเก่า แต่คิดว่าคงเซฟค่าใช้จ่ายได้เยอะกว่านี้ และเงินเดือนมากขึ้นด้วย
5. เรื่องสุดท้ายคือ เราไม่ชอบการเงินที่ทำงานปัจจุบัน เค้าบีบคอเรามากเกินไป เรารู้สึกว่าเราถูกเอาเปรียบตลอดเวลา เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับเราเพราะมันเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่ทำให้เราออกหางานใหม่
ส่วนตัวเราเข้าใจและยอมรับได้ การใช้รถยนต์ส่วนตัวทำงานคือเข้าเนื้ออยู่แล้ว แต่การทอนการเบิกค่าเดินทางซึ่งเรามั่นใจนะว่าเราไม่ได้เบิกเยอะเกินไปหรือเกินความเป็นจริง เพราะเราก็คิดตามค่าเดินทางปกติ พอเจออย่างงี้แล้วเราบอกตามตรงว่าไม่อยากทำงานที่นี่ต่อเลยค่ะ ฮือ