สวัสดีค่ะ เนื่องจากได้มีโอกาสไปเที่ยวโอซาก้ามาเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และแม้ว่าช่วงที่ไปจะเป็นช่วง Low Season ของญี่ปุ่น หมายถึง ไม่มีหิมะให้ฟิน ไม่มีซากุระบานให้ชื่นชม หรือใดๆก็ตาม แต่นักท่องเที่ยวก็ยังเยอะ และญี่ปุ่นก็ยังมีเสน่ห์อยู่เสมอ เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์จากการไปเที่ยวครั้งนี้ ตั้งแต่การเตรียมตัว การเดินทาง ค่าใช้จ่าย ที่พัก อย่างละเอียด รวมถึงที่ท่องเที่ยวต่างๆ สำหรับคนที่ยังไม่เคยไปญี่ปุ่นกันค่ะ เพราะว่าบอกตามตรงว่าตอนแพลนทริปญี่ปุ่นนี่ก็หาข้อมูลจากพันทิปซะส่วนใหญ่เลยซึ่งเป็นประโยชน์มากๆ เลยอยากมาแบ่งปันประสบการณ์ที่น่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยกับคนที่กำลังจะไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองแบบไม่ง้อทัวร์ค่ะ ภาพในกระทู้นี้ส่วนใหญ่ผ่านการแต่งโดย Lightroomแบบงงๆ และมีความ #ไม่คุมโทนอะไรทั้งนั้น สูงมากค่ะ หวังว่าจะมีประโยชน์และชอบกันนะค้าา
ภาคแรก Day1-Day2 http://pantip.com/topic/35326900
ภาคต่อ Day3-Day6 ตามได้ที่กระทู้นี้นะค้าา http://pantip.com/topic/35390767
ปล. ในช่วงแรกจะเป็นการบอกรายละเอียดการเตรียมตัวไปเที่ยวตั้งแต่เรื่อง ตั๋วเครื่องบิน ที่พัก การเดินทางอย่างละเอียด สำหรับคนที่กำลังหาข้อมูลไปเที่ยวด้วยตนเองเลยนะคะ อาจจะดูลายตาไปหน่อย แต่สำหรับคนที่อยากชมภาพดูที่เที่ยวแบบชิวๆ ไม่เครียด เลื่อนลงไปข้างล่างได้เลยค่าาา
สำหรับทริปนี้เราออกเดินทางกันตามแผนการคร่าวๆดังนี้ค่ะ
Day1 พุธ 25 พ.ค. - ออกเดินทางจากดอนเมือง ลงสนามบิน Kansai ถึงเวลาประมาณ 5 โมงเย็น เข้าที่พัก
Day2 พฤหัส 26 พ.ค. - Universal Studio Japan
Day3 ศุกร์ 27 พ.ค. - Osaka
Day4 เสาร์ 28 พ.ค. - Kyoto
Day5 อาทิตย์ 29 พ.ค. - Kobe
Day6 จันทร์ 30 พ.ค. - Nara ออกจากสนามบิน Kansai ประมาณเที่ยงคืน กลับถึงไทยประมาณตี4
จะขอเริ่มเล่าตั้งแต่การเตรียมตัวก่อนเลยนะค้า
1.ตั๋วเครื่องบิน
สำหรับทริปนี้เริ่มต้นขึ้นจากเราได้จองตั๋วไปญี่ปุ่นในราคาที่คิดว่า ก็คงถูกมั้งนะนั่นก็คือ
-ขาไป Scoot ราคา 4,053
-ขากลับ Air Asia ราคา 4,600
รวมตั๋วไปกลับ ต่อคน คนละ 8,653 โดยราคานี้รวม ซื้อโหลดกระเป๋า 20 KG. แล้วนะค้า
2.ที่พัก
ที่พักสำหรับทริปนี้เราจองผ่าน Airbnb ค่ะ ซึ่งสำหรับคนที่งงไม่รุ้ว่ามันคืออะไร Airbnb ก็คือเว็บจองที่พักคล้ายๆ Agoda ที่เรารู้จักกันแต่ว่าที่พักของเว็บนี้จะค่อนข้างราคาถูกกว่าโรงแรมทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเหมือนคอนโด อพาร์ตเมนท์ที่เจ้าของมาปล่อยให้เช่าผ่านเว็บ ทำให้เราสามารถเซฟค่าใช้จ่ายค่าที่พัก ด้วยการพักที่พักจากAirbnb ได้ แทนที่จะไปพักโรงแรมซึ่งราคาแพงกว่าค่ะ ซึ่งบางคนอาจจะเคยได้ยินกระแสว่าโดนโกงผ่าน Airbnb จ่ายไปแล้วไม่ได้พัก หรือบลาๆ ซึ่งตอนเราจองเราก็กังวลเหมือนกันค่ะ แต่พอหาข้อมูลก็ได้ความว่า เราจะไม่โดนโกงตราบใดที่เราติดต่อกับเจ้าของห้องผ่านหน้าเว็บไซต์และแอพพลิเคชันของ Airbnb คือไม่ควรติดต่อเองทางเมลหรืออะไรแบบนี้ค่ะ คือให้คุยกันผ่านเว็บเลย เวลาจองก็คือกรอกหักบัตรผ่านเว็บ ไม่ไปติดต่อกันเองค่ะ เพราะจะทำให้เว็บไม่มีหลักฐานหรือการันตีความปลอดภัยได้ การจองก็สปีคอิงลิชกันไปค่ะ พอโอเคพอใจก็กรอกบัตรหักเงิน แล้วเจ้าของห้องจะส่งคู่มือการเข้าพักมาให้ค่ะ เช่น เอากุญแจจากล็อคเกอร์ไหน กฎต่างๆ อะไรประมาณนี้ค่ะ
หลังจากเลือกไปเลือกมาเป็นเวลายาวนานมาก เพราะว่าอยากได้ห้องนอน 4 คน ซึ่งใกล้สถานีรถไฟ ที่ผ่านไปได้หลายสถานี และอยากได้ราคาไม่แพงด้วย และแล้วเราก็ได้ห้องพักในราคาประมาณคืนละ 3,932 บาท ตกต่อหัวก็ประมาณคนละ 1,000 บาท ซึ่งราคานี้ถือว่าค่อนข้างถูกนะคะ แต่ห้องก็ไม่ได้หรูหรา เป็นไปตามราคาเลยค่ะ แต่อยู่สบายก็โอเค เดินไม่ไกลสถานีรถไฟ ร้านอาหารเยอะ เดี๋ยวห้องจะมาโพสต์ให้ดูทีหลังนะค้า
3. ตั๋ว Universal Studio
ตั๋วUniversal จะแบ่งเป็น 2 อันนะค้า คือ
-ตั๋ว One Day Pass ราคา 7,400 เยน ซึ่งใครจะเข้าก็ต้องซื้อตั๋วนี้ทุกคนนะคะ ใช้สำหรับอยุ่ในนั้นได้ทั้งวัน เล่นเครื่องเล่นใดๆก็ได้ในนั้น
-ตั๋ว Express Pass มีแบบ 4 เครื่องเล่น(ราคา 4,500 เยน) และ 7 เครื่องเล่น(6,900เยน) ซึ่งคือเหมือนตั๋วเบ่งที่จะเพิ่มสิทธิพิเศษให้เราไม่ต้องไปต่อคิวรอเล่นเครื่องเล่นฮอตฮิตที่ตั๋วปกติต้องรอหลายชั่วโมง ถ้าเรามีตั๋วนี้เราก็จะสามารถเดินเข้าไปสวยๆแบบไม่ต้องเสียเวลาเลยค่ะ
สำหรับคนที่สงสัยว่าแล้วจำเป็นไหมว่าต้องซื้อตั๋ว Express เพราะราคาก็สูงเหมือนกัน ก็ต้องบอกเลยว่าจริงๆถ้าไม่ซีเรียสเรื่องต้องเล่นเครื่องเล่นฮอตฮิต ก็ไม่ต้องก็ได้ค่ะ แต่ให้เลือกไปเที่ยววันธรรมดาซึ่งคนจะน้อยกว่าวันหยุด (แต่ก็เยอะอยู่ดี) แล้วก็เมื่อไปถึงให้พุ่งตรงไปที่โซน Harry ก่อนเลยค่ะ เพระเป็นโซนฮอตฮิตมาก ก็สามารถเล่นเครื่องเล่นได้ไม่นานเท่าไร เดี๋ยวจะบอกรายละเอียอีกทีค่า แต่สำหรับเราซื้อOne Day Pass + Express Pass แบบ 4 รวมแล้วราคา ตกคนละ ประมาณ 3,873 บาทเลยนะคะ นี่ก็ยังสงสัยเหมือนกันว่าตั๋วเครื่องเล่นต้องราคาแพงเบอร์นี้เลยหรอ หมดตูดกันเลยทีเดียว
สำหรับการซื้อนะคะก็ซื้อได้ผ่านเอเจนซี่ในไทย เช่น HIS, Quality Express หรืออื่นๆได้ค่ะ ก็คือเอเจนซี่จะทำการจองตั๋วผ่านเว็บให้ และคิดค่าบริการเราอีกนิดหน่อยค่ะ ประมาณหลักร้อย
แต่ถ้าเราอยากงก แบบว่าค่าบริการหรออย่าหวังจะได้จากฉัน จองเองก็ได้ ก็สามารถค่ะ เราสามารถจองตั๋วผ่านเว็บ USJ ได้เลย แต่ว่าในการจองจะต้องจองผ่านหน้าเว็บภาษาญี่ปุ่น ซึ่งสิ่งที่จะช่วยเราได้ก็คือ
http://pantip.com/topic/33072704 กระทู้พลีชีพซื้อตั๋วผ่านเว็บนี้ หรือเราอาจจะให้เพื่อนที่อ่านภาษาญี่ปุ่นออกช่วยจองก็ได้ค่ะ สำหรับเราก็เพื่อนสวยเพื่อนเก่งให้เพื่อนช่วยจองจัดไปค่ะ เมื่อเราจองแล้วกรอกบัตรหักเงินแล้ว เราก็จะสามารถเข้าไปดู QR Code ซึ่งสามารถใช้แทนตั๋วเข้าได้เลยค่ะ ไม่ต้องไปแลกตั๋วแล้วก็ได้ เราแค่ปริ้น หรือ เซฟรูปQR Code ตั๋วของแต่ละคนไว้ แล้วพอถึงประตูเข้าเจ้าหน้าที่ก็จะสแกนเข้าได้เลยค่ะ โดย QR Code ก็จะแยกเป็นตั๋วOne Day Pass กับ ตั๋ว Express นะคะ
4.การเดินทาง
การเดินทางในทริปนี้ เราจะเดินทางด้วยรถไฟเป็นส่วนใหญ่ แซมด้วยรถเมล์บ้างในเมืองเกียวโต โกเบ นาราค่ะ แต่หลักๆคือเราควรรู้ว่าเราต้องนั่งรถไฟอะไรบ้าง โดยรถไฟของญี่ปุ่น ก็จะแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ JR หรือ Japan Rail ซึ่งจะเป็นเป็นรถไฟสายหลักซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของญี่ปุ่น ดำเนินการโดยรัฐบาล กะอีกประเภทคือ Private Line คือรถไฟที่เอาไว้เสริมรถไฟJR ตามเมืองหรือบางที่ที่ JR ไปไม่ถึง ซึ่งก็จะมีรถไฟของหลายบริษัทมากๆ ซึ่งทั้ง 2 สายนี้ก็จะเชื่อมกันบางสถานี อารมณ์เหมือน BTS กับ MRT ที่มีบางสถานีเชื่อมกันประมาณนี้ค่ะ
ซึ่งสำหรับบัตรโดยสาร ก็มีทั้งแบบเติมเงินใช้เท่าไรจ่ายเท่านั้น หรือบัตรเหมากี่วันๆว่าไปเลย ซึ่งถ้าเราเดินทางหลายที่ใน1วัน การซื้อบัตรเหมาก็จะคุ้มกว่า ซึ่งมีหลายบัตรมหาศาลล้านแตก แถมยังมีบัตรรวมที่เที่ยวอะไรอีกมากมาย ซึ่งก่อนเราจะซื้อ Pass อะไร เราก็ควรวางแผนการเดินทางให้เรียบร้อยก่อนว่า เราจะไปที่ไหนบ้างใน 1 วัน โดยสามารถหารอบรถไฟ ตามวันและเวลาที่เราต้องการไปได้เลยจาก เว็บ
http://www.hyperdia.com/en/ เราแค่กรอกสถานีเริ่มต้นกับสถานีปลายทาง ก็จะขึ้นมาเลยว่าในเวลาใกล้เคียงที่เราต้องการมีรถไฟสายไหนบ้าง แต่ละขบวนเป็น JR หรือเป็น Subway หรือว่าอะไร ราคาค่าโดยสารเท่าไรต้องเปลี่ยนสายไหม(ถ้ามีลูกศร>> คล้ายๆแบบนี้แปลว่า ไม่ต้องเปลี่ยนสาย นั่งต่อไปได้เลย) การที่เรารู้ว่าวันนี้เราจะต้องนั่ง Subway หรือ JR จำนวนกี่เที่ยว เป็นเงินเท่าไร จะทำให้เราคำนวณได้ถูกว่าเราควรซื้อ pass แบบไหน กี่วันที่เหมาะและคุ้มค่ากับการเดินทางของเรา
สำหรับทริปนี้ เราซื้อบัตรรถไฟต่างๆตามนี้ค่ะ
1. บัตรเติมเงิน ICOCA ราคา 2000 เยน - อารมณ์เหมือนบัตรเติมเงิน Rabbit ที่เอาไว้ใช้ขึ้นรถไฟใดๆก็ได้(ทั้ง JR และเอกชน) และเอาไปใช้ซื้อของในseven ซื้อน้ำตามตู้น้ำที่มีอยู่ทั่วญี่ปุ่นได้เลย
2.บัตร Haruka ราคา 1100 เยน - เป็นบัตรรถไฟด่วนค่าย JR สำหรับนั่งจากสนามบินเข้าเมือง หรือจากเมืองกลับสนามบิน (ในที่นี่ใช้สำหรับสนามบินเข้าเมืองค่ะ) โดยใช้เวลาแค่ประมาณ ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น โดยบัตรนี้ต้องจะซื้อคู่กับบัตร ICOCA ได้ในราคา 1100 เยน ค่ะ
** สำหรับรถไฟเข้าออกสนามบิน จะมี 2 ค่าย ก็คือ JR ที่มีรถไฟความเร็วปกติกับรถไฟ ซึ่งถ้าเป็นรถด่วนเรียก Haruka กับอีกค่ายคือ Nankai นะคะ แต่สำหรับทริปนี้เลือกใช้Haruka ค่ะ
3. บัตร JR rail pass แบบ 3 day ราคา5300 เยน - เป็นบัตรเหมาจ่าย นั่งรถไฟJR ได้ไม่อั้น รวมถึงสามารถนั่งรถไฟ JR (แบบไม่ด่วน) กลับสนามบินได้ด้วย ภายในระยะเวลา 3 วันตั้งแต่ใช้ครั้งแรกค่ะ โดยก็จะมีให้เลือกตั้งแต่ 1 วัน-4 วัน ไปจนถึง 7 วัน เป็นต้นไปเลยค่ะ ซึ่งจะรู้ได้ยังไงว่าเราควรเลือกซื้อแบบไหน เราก็ต้องดูว่าตารางเดินทางของเรา มีวันไหนที่ใช้รถไฟ JR เยอะๆ ติดต่อกันหลายวัน วางแผนวันที่ใช้รถไฟประเภทเดียวกันให้อยู่ติดกันค่ะ ซึ่งสำหรับเรา ทริปนี้ใช้ รถไฟ JR เยอะมากค่ะ เพราะที่พักใกล้สถานี JR รวมถึงที่เที่ยวส่วนใหญ่ก็ไปได้ด้วย JR ค่ะ ดังนั้นการซื้อบัตรนี้จึงคุ้ม แต่สำหรับบางคนที่ไม่ได้อยู่ใกล้สถานี JR การซื้อบัตรนี้อาจไม่คุ้มก็ได้จึงควรวางแผนให้ดีก่อนค่ะว่า เราไปที่ไหนพักที่ไหน ซื้อบัตรแบบไหนจะคุ้มที่สุด
** ส่วนสำหรับรถไฟอื่นๆที่ไม่ใช่ JR เช่น Subway ต่างๆที่เราจำเป็นต้องใช้เพราะ JR ไปไม่ถึง เราก็จะใช้การตื้ดบัตร ICOCA ที่เป็นบัตรเติมเงินแทนค่ะก็จะคิดเท่าราคาจริงๆ ไม่เหมาค่ะ
4. บัตร Osaka Amazing Pass ราคา 2300 เยน- บัตรนี้เป็นบัตรรวมที่เที่ยว Osaka ภายใน1วัน แบบว่า ทุกที่เที่ยวใน Osaka แทบ 90 % แค่ซื้อบัตรนี้ก็เข้าได้ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมถึงสามารถใช้นั่งรถไฟ Subway ได้ฟรีด้วยค่ะ บัตรนี้บอกเลยว่าคุ้มมากๆ ไปแค่ 3 ที่ก็คุ้มกว่าจ่ายค่าเข้าแยกแล้วค่ะ ซึ่งก็ควรใช้สำหรับวันที่เราเที่ยวใน Osaka ไม่ได้ข้ามเมืองไปไหนค่ะ
***บัตร ข้อ 1-3 ซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ตั๋วรถไฟ JR ในสนามบิน ส่วนบัตร ข้อ 4 ซื้อที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ภายในสนามบินเช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งจะบอกรายละเอียดเคาน์เตอร์อีกทีข้างล่างนะคะ
บัตรรถเมล์
ถัดจากรถไฟแล้ว สำหรับการเที่ยวในเมืองอื่นๆ เช่น เกียโต นารา รถไฟไม่สามารถไปถึงที่เที่ยวเพราะว่าอาจต้องเดินไกลเกินไปค่ะ เราจึงต้องพึ่งรถเมลบ้างเพราะว่าราคาถูกกว่าและใกล้ที่เที่ยวมากกว่าค่ะ บัตรที่ซื้อก็ตามนี้ค่ะ
1. ตั๋วรถเมล์แบบ One Day Pass ทั่วเกียวโต ราคา 500
2. ตั๋วรถเมล์แบบ One Day Pass ทั่วนารา ราคา 500
ก็คือสามารถนั่งได้ไม่อั้นในราคา 500 เยน ค่ะ ซึ่งปกติรถเมลลงกี่ป้ายก็ได้ ครั้งนึง คือ 200 เยนค่ะ ไปกลับที่นึงก็ 400 เยนแล้วค่ะ ถ้าไปหลายที่ก็คุ้มค่ะ
การเตรียมตัวไปเที่ยวด้วยตัวเองก็มีประมาณนี้ค่ะ ถ้ามีข้อผิดพลาดตรงไหนก็ต้องขอโทษด้วยนะค้าเพราะไปครั้งแรกเหมือนกัน หรือใครอยากถามหรือสงสัยตรงไหน ถ้าช่วยได้จะพยายามตอบนะค้า
ต่อไปก็ไปเริ่มเดินทางกันเล้ยยยย (:
First Time Backpacker แบกเป้พาแม่เที่ยว Kansai Japan (Osaka-Kyoto-Kobe-Nara)
ภาคแรก Day1-Day2 http://pantip.com/topic/35326900
ภาคต่อ Day3-Day6 ตามได้ที่กระทู้นี้นะค้าา http://pantip.com/topic/35390767
ปล. ในช่วงแรกจะเป็นการบอกรายละเอียดการเตรียมตัวไปเที่ยวตั้งแต่เรื่อง ตั๋วเครื่องบิน ที่พัก การเดินทางอย่างละเอียด สำหรับคนที่กำลังหาข้อมูลไปเที่ยวด้วยตนเองเลยนะคะ อาจจะดูลายตาไปหน่อย แต่สำหรับคนที่อยากชมภาพดูที่เที่ยวแบบชิวๆ ไม่เครียด เลื่อนลงไปข้างล่างได้เลยค่าาา
สำหรับทริปนี้เราออกเดินทางกันตามแผนการคร่าวๆดังนี้ค่ะ
Day1 พุธ 25 พ.ค. - ออกเดินทางจากดอนเมือง ลงสนามบิน Kansai ถึงเวลาประมาณ 5 โมงเย็น เข้าที่พัก
Day2 พฤหัส 26 พ.ค. - Universal Studio Japan
Day3 ศุกร์ 27 พ.ค. - Osaka
Day4 เสาร์ 28 พ.ค. - Kyoto
Day5 อาทิตย์ 29 พ.ค. - Kobe
Day6 จันทร์ 30 พ.ค. - Nara ออกจากสนามบิน Kansai ประมาณเที่ยงคืน กลับถึงไทยประมาณตี4
จะขอเริ่มเล่าตั้งแต่การเตรียมตัวก่อนเลยนะค้า
1.ตั๋วเครื่องบิน
สำหรับทริปนี้เริ่มต้นขึ้นจากเราได้จองตั๋วไปญี่ปุ่นในราคาที่คิดว่า ก็คงถูกมั้งนะนั่นก็คือ
-ขาไป Scoot ราคา 4,053
-ขากลับ Air Asia ราคา 4,600
รวมตั๋วไปกลับ ต่อคน คนละ 8,653 โดยราคานี้รวม ซื้อโหลดกระเป๋า 20 KG. แล้วนะค้า
2.ที่พัก
ที่พักสำหรับทริปนี้เราจองผ่าน Airbnb ค่ะ ซึ่งสำหรับคนที่งงไม่รุ้ว่ามันคืออะไร Airbnb ก็คือเว็บจองที่พักคล้ายๆ Agoda ที่เรารู้จักกันแต่ว่าที่พักของเว็บนี้จะค่อนข้างราคาถูกกว่าโรงแรมทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเหมือนคอนโด อพาร์ตเมนท์ที่เจ้าของมาปล่อยให้เช่าผ่านเว็บ ทำให้เราสามารถเซฟค่าใช้จ่ายค่าที่พัก ด้วยการพักที่พักจากAirbnb ได้ แทนที่จะไปพักโรงแรมซึ่งราคาแพงกว่าค่ะ ซึ่งบางคนอาจจะเคยได้ยินกระแสว่าโดนโกงผ่าน Airbnb จ่ายไปแล้วไม่ได้พัก หรือบลาๆ ซึ่งตอนเราจองเราก็กังวลเหมือนกันค่ะ แต่พอหาข้อมูลก็ได้ความว่า เราจะไม่โดนโกงตราบใดที่เราติดต่อกับเจ้าของห้องผ่านหน้าเว็บไซต์และแอพพลิเคชันของ Airbnb คือไม่ควรติดต่อเองทางเมลหรืออะไรแบบนี้ค่ะ คือให้คุยกันผ่านเว็บเลย เวลาจองก็คือกรอกหักบัตรผ่านเว็บ ไม่ไปติดต่อกันเองค่ะ เพราะจะทำให้เว็บไม่มีหลักฐานหรือการันตีความปลอดภัยได้ การจองก็สปีคอิงลิชกันไปค่ะ พอโอเคพอใจก็กรอกบัตรหักเงิน แล้วเจ้าของห้องจะส่งคู่มือการเข้าพักมาให้ค่ะ เช่น เอากุญแจจากล็อคเกอร์ไหน กฎต่างๆ อะไรประมาณนี้ค่ะ
หลังจากเลือกไปเลือกมาเป็นเวลายาวนานมาก เพราะว่าอยากได้ห้องนอน 4 คน ซึ่งใกล้สถานีรถไฟ ที่ผ่านไปได้หลายสถานี และอยากได้ราคาไม่แพงด้วย และแล้วเราก็ได้ห้องพักในราคาประมาณคืนละ 3,932 บาท ตกต่อหัวก็ประมาณคนละ 1,000 บาท ซึ่งราคานี้ถือว่าค่อนข้างถูกนะคะ แต่ห้องก็ไม่ได้หรูหรา เป็นไปตามราคาเลยค่ะ แต่อยู่สบายก็โอเค เดินไม่ไกลสถานีรถไฟ ร้านอาหารเยอะ เดี๋ยวห้องจะมาโพสต์ให้ดูทีหลังนะค้า
3. ตั๋ว Universal Studio
ตั๋วUniversal จะแบ่งเป็น 2 อันนะค้า คือ
-ตั๋ว One Day Pass ราคา 7,400 เยน ซึ่งใครจะเข้าก็ต้องซื้อตั๋วนี้ทุกคนนะคะ ใช้สำหรับอยุ่ในนั้นได้ทั้งวัน เล่นเครื่องเล่นใดๆก็ได้ในนั้น
-ตั๋ว Express Pass มีแบบ 4 เครื่องเล่น(ราคา 4,500 เยน) และ 7 เครื่องเล่น(6,900เยน) ซึ่งคือเหมือนตั๋วเบ่งที่จะเพิ่มสิทธิพิเศษให้เราไม่ต้องไปต่อคิวรอเล่นเครื่องเล่นฮอตฮิตที่ตั๋วปกติต้องรอหลายชั่วโมง ถ้าเรามีตั๋วนี้เราก็จะสามารถเดินเข้าไปสวยๆแบบไม่ต้องเสียเวลาเลยค่ะ
สำหรับคนที่สงสัยว่าแล้วจำเป็นไหมว่าต้องซื้อตั๋ว Express เพราะราคาก็สูงเหมือนกัน ก็ต้องบอกเลยว่าจริงๆถ้าไม่ซีเรียสเรื่องต้องเล่นเครื่องเล่นฮอตฮิต ก็ไม่ต้องก็ได้ค่ะ แต่ให้เลือกไปเที่ยววันธรรมดาซึ่งคนจะน้อยกว่าวันหยุด (แต่ก็เยอะอยู่ดี) แล้วก็เมื่อไปถึงให้พุ่งตรงไปที่โซน Harry ก่อนเลยค่ะ เพระเป็นโซนฮอตฮิตมาก ก็สามารถเล่นเครื่องเล่นได้ไม่นานเท่าไร เดี๋ยวจะบอกรายละเอียอีกทีค่า แต่สำหรับเราซื้อOne Day Pass + Express Pass แบบ 4 รวมแล้วราคา ตกคนละ ประมาณ 3,873 บาทเลยนะคะ นี่ก็ยังสงสัยเหมือนกันว่าตั๋วเครื่องเล่นต้องราคาแพงเบอร์นี้เลยหรอ หมดตูดกันเลยทีเดียว
สำหรับการซื้อนะคะก็ซื้อได้ผ่านเอเจนซี่ในไทย เช่น HIS, Quality Express หรืออื่นๆได้ค่ะ ก็คือเอเจนซี่จะทำการจองตั๋วผ่านเว็บให้ และคิดค่าบริการเราอีกนิดหน่อยค่ะ ประมาณหลักร้อย
แต่ถ้าเราอยากงก แบบว่าค่าบริการหรออย่าหวังจะได้จากฉัน จองเองก็ได้ ก็สามารถค่ะ เราสามารถจองตั๋วผ่านเว็บ USJ ได้เลย แต่ว่าในการจองจะต้องจองผ่านหน้าเว็บภาษาญี่ปุ่น ซึ่งสิ่งที่จะช่วยเราได้ก็คือ http://pantip.com/topic/33072704 กระทู้พลีชีพซื้อตั๋วผ่านเว็บนี้ หรือเราอาจจะให้เพื่อนที่อ่านภาษาญี่ปุ่นออกช่วยจองก็ได้ค่ะ สำหรับเราก็เพื่อนสวยเพื่อนเก่งให้เพื่อนช่วยจองจัดไปค่ะ เมื่อเราจองแล้วกรอกบัตรหักเงินแล้ว เราก็จะสามารถเข้าไปดู QR Code ซึ่งสามารถใช้แทนตั๋วเข้าได้เลยค่ะ ไม่ต้องไปแลกตั๋วแล้วก็ได้ เราแค่ปริ้น หรือ เซฟรูปQR Code ตั๋วของแต่ละคนไว้ แล้วพอถึงประตูเข้าเจ้าหน้าที่ก็จะสแกนเข้าได้เลยค่ะ โดย QR Code ก็จะแยกเป็นตั๋วOne Day Pass กับ ตั๋ว Express นะคะ
4.การเดินทาง
การเดินทางในทริปนี้ เราจะเดินทางด้วยรถไฟเป็นส่วนใหญ่ แซมด้วยรถเมล์บ้างในเมืองเกียวโต โกเบ นาราค่ะ แต่หลักๆคือเราควรรู้ว่าเราต้องนั่งรถไฟอะไรบ้าง โดยรถไฟของญี่ปุ่น ก็จะแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ JR หรือ Japan Rail ซึ่งจะเป็นเป็นรถไฟสายหลักซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของญี่ปุ่น ดำเนินการโดยรัฐบาล กะอีกประเภทคือ Private Line คือรถไฟที่เอาไว้เสริมรถไฟJR ตามเมืองหรือบางที่ที่ JR ไปไม่ถึง ซึ่งก็จะมีรถไฟของหลายบริษัทมากๆ ซึ่งทั้ง 2 สายนี้ก็จะเชื่อมกันบางสถานี อารมณ์เหมือน BTS กับ MRT ที่มีบางสถานีเชื่อมกันประมาณนี้ค่ะ
ซึ่งสำหรับบัตรโดยสาร ก็มีทั้งแบบเติมเงินใช้เท่าไรจ่ายเท่านั้น หรือบัตรเหมากี่วันๆว่าไปเลย ซึ่งถ้าเราเดินทางหลายที่ใน1วัน การซื้อบัตรเหมาก็จะคุ้มกว่า ซึ่งมีหลายบัตรมหาศาลล้านแตก แถมยังมีบัตรรวมที่เที่ยวอะไรอีกมากมาย ซึ่งก่อนเราจะซื้อ Pass อะไร เราก็ควรวางแผนการเดินทางให้เรียบร้อยก่อนว่า เราจะไปที่ไหนบ้างใน 1 วัน โดยสามารถหารอบรถไฟ ตามวันและเวลาที่เราต้องการไปได้เลยจาก เว็บ http://www.hyperdia.com/en/ เราแค่กรอกสถานีเริ่มต้นกับสถานีปลายทาง ก็จะขึ้นมาเลยว่าในเวลาใกล้เคียงที่เราต้องการมีรถไฟสายไหนบ้าง แต่ละขบวนเป็น JR หรือเป็น Subway หรือว่าอะไร ราคาค่าโดยสารเท่าไรต้องเปลี่ยนสายไหม(ถ้ามีลูกศร>> คล้ายๆแบบนี้แปลว่า ไม่ต้องเปลี่ยนสาย นั่งต่อไปได้เลย) การที่เรารู้ว่าวันนี้เราจะต้องนั่ง Subway หรือ JR จำนวนกี่เที่ยว เป็นเงินเท่าไร จะทำให้เราคำนวณได้ถูกว่าเราควรซื้อ pass แบบไหน กี่วันที่เหมาะและคุ้มค่ากับการเดินทางของเรา
สำหรับทริปนี้ เราซื้อบัตรรถไฟต่างๆตามนี้ค่ะ
1. บัตรเติมเงิน ICOCA ราคา 2000 เยน - อารมณ์เหมือนบัตรเติมเงิน Rabbit ที่เอาไว้ใช้ขึ้นรถไฟใดๆก็ได้(ทั้ง JR และเอกชน) และเอาไปใช้ซื้อของในseven ซื้อน้ำตามตู้น้ำที่มีอยู่ทั่วญี่ปุ่นได้เลย
2.บัตร Haruka ราคา 1100 เยน - เป็นบัตรรถไฟด่วนค่าย JR สำหรับนั่งจากสนามบินเข้าเมือง หรือจากเมืองกลับสนามบิน (ในที่นี่ใช้สำหรับสนามบินเข้าเมืองค่ะ) โดยใช้เวลาแค่ประมาณ ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น โดยบัตรนี้ต้องจะซื้อคู่กับบัตร ICOCA ได้ในราคา 1100 เยน ค่ะ
** สำหรับรถไฟเข้าออกสนามบิน จะมี 2 ค่าย ก็คือ JR ที่มีรถไฟความเร็วปกติกับรถไฟ ซึ่งถ้าเป็นรถด่วนเรียก Haruka กับอีกค่ายคือ Nankai นะคะ แต่สำหรับทริปนี้เลือกใช้Haruka ค่ะ
3. บัตร JR rail pass แบบ 3 day ราคา5300 เยน - เป็นบัตรเหมาจ่าย นั่งรถไฟJR ได้ไม่อั้น รวมถึงสามารถนั่งรถไฟ JR (แบบไม่ด่วน) กลับสนามบินได้ด้วย ภายในระยะเวลา 3 วันตั้งแต่ใช้ครั้งแรกค่ะ โดยก็จะมีให้เลือกตั้งแต่ 1 วัน-4 วัน ไปจนถึง 7 วัน เป็นต้นไปเลยค่ะ ซึ่งจะรู้ได้ยังไงว่าเราควรเลือกซื้อแบบไหน เราก็ต้องดูว่าตารางเดินทางของเรา มีวันไหนที่ใช้รถไฟ JR เยอะๆ ติดต่อกันหลายวัน วางแผนวันที่ใช้รถไฟประเภทเดียวกันให้อยู่ติดกันค่ะ ซึ่งสำหรับเรา ทริปนี้ใช้ รถไฟ JR เยอะมากค่ะ เพราะที่พักใกล้สถานี JR รวมถึงที่เที่ยวส่วนใหญ่ก็ไปได้ด้วย JR ค่ะ ดังนั้นการซื้อบัตรนี้จึงคุ้ม แต่สำหรับบางคนที่ไม่ได้อยู่ใกล้สถานี JR การซื้อบัตรนี้อาจไม่คุ้มก็ได้จึงควรวางแผนให้ดีก่อนค่ะว่า เราไปที่ไหนพักที่ไหน ซื้อบัตรแบบไหนจะคุ้มที่สุด
** ส่วนสำหรับรถไฟอื่นๆที่ไม่ใช่ JR เช่น Subway ต่างๆที่เราจำเป็นต้องใช้เพราะ JR ไปไม่ถึง เราก็จะใช้การตื้ดบัตร ICOCA ที่เป็นบัตรเติมเงินแทนค่ะก็จะคิดเท่าราคาจริงๆ ไม่เหมาค่ะ
4. บัตร Osaka Amazing Pass ราคา 2300 เยน- บัตรนี้เป็นบัตรรวมที่เที่ยว Osaka ภายใน1วัน แบบว่า ทุกที่เที่ยวใน Osaka แทบ 90 % แค่ซื้อบัตรนี้ก็เข้าได้ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมถึงสามารถใช้นั่งรถไฟ Subway ได้ฟรีด้วยค่ะ บัตรนี้บอกเลยว่าคุ้มมากๆ ไปแค่ 3 ที่ก็คุ้มกว่าจ่ายค่าเข้าแยกแล้วค่ะ ซึ่งก็ควรใช้สำหรับวันที่เราเที่ยวใน Osaka ไม่ได้ข้ามเมืองไปไหนค่ะ
***บัตร ข้อ 1-3 ซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ตั๋วรถไฟ JR ในสนามบิน ส่วนบัตร ข้อ 4 ซื้อที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ภายในสนามบินเช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งจะบอกรายละเอียดเคาน์เตอร์อีกทีข้างล่างนะคะ
บัตรรถเมล์
ถัดจากรถไฟแล้ว สำหรับการเที่ยวในเมืองอื่นๆ เช่น เกียโต นารา รถไฟไม่สามารถไปถึงที่เที่ยวเพราะว่าอาจต้องเดินไกลเกินไปค่ะ เราจึงต้องพึ่งรถเมลบ้างเพราะว่าราคาถูกกว่าและใกล้ที่เที่ยวมากกว่าค่ะ บัตรที่ซื้อก็ตามนี้ค่ะ
1. ตั๋วรถเมล์แบบ One Day Pass ทั่วเกียวโต ราคา 500
2. ตั๋วรถเมล์แบบ One Day Pass ทั่วนารา ราคา 500
ก็คือสามารถนั่งได้ไม่อั้นในราคา 500 เยน ค่ะ ซึ่งปกติรถเมลลงกี่ป้ายก็ได้ ครั้งนึง คือ 200 เยนค่ะ ไปกลับที่นึงก็ 400 เยนแล้วค่ะ ถ้าไปหลายที่ก็คุ้มค่ะ
การเตรียมตัวไปเที่ยวด้วยตัวเองก็มีประมาณนี้ค่ะ ถ้ามีข้อผิดพลาดตรงไหนก็ต้องขอโทษด้วยนะค้าเพราะไปครั้งแรกเหมือนกัน หรือใครอยากถามหรือสงสัยตรงไหน ถ้าช่วยได้จะพยายามตอบนะค้า
ต่อไปก็ไปเริ่มเดินทางกันเล้ยยยย (: