ลาออกตอนอายุ 29 ค่ะ ตอนออกมาเงินเดือน 4k ไม่ได้บอกที่บ้าน

ที่จริงเราเขียนกระทู้นี้เพื่อตอบอีกกระทู้หนึ่ง  แต่เขียนไปเขียนมา  มันเริ่มยาว  เลยเอามาตั้งเป็นกระทู้ซะเลย
หวังว่าประสบการณ์จริงของเรานี้  จะเป็นอีกแง่มุมให้คนที่กำลังจะออกจากงานหรือเริ่มต้นธุรกิจได้นำไปขบคิด
เรารู้ค่ะ ว่าเวลาที่กำลังตัดสินใจบางอย่าง  หรือกำลังสับสน  ยิ่งได้ข้อมูลเยอะก็จะช่วยให้เรามองทางได้หลากหลายแง่ขึ้น

ไม่ได้ชี้นำให้ออกจากงานประจำหรือไม่ออกนะคะ  ต่างคน ต่างประสบการณ์  ต่างปัจจัย  ต่างความฝันค่ะ
ท้ายที่สุด..  ก็เป็นตัวเรา  ที่ต้องคิดเอง  ตัดสินใจเอง  เลือกเอง  รับผิดชอบเอง



ลาออกตอนอายุ 29 ค่ะ  (พอดีกระทู้นั้นเค้า  จั่วเปิดเรื่องเงินกับอายุมา เลยตอบต่อเนื่องมาค่ะ)

ตอนออกมาเงินเดือน 4xk ไม่ได้บอกที่บ้าน (แก้แล้วค่ะ พิมพ์ตก) เพราะที่บ้านไม่สนับสนุนให้ทำธุรกิจ

เรามีเงินเริ่มต้นประมาณ 1 แสน กะว่าอยู่แบบประหยัด ลุยธรุกิจไปไม่เครียด  เงินพอหมุน
เครียดอย่างเดียวเรื่องที่ต้องปิดบังทำตัวไม่ได้ออกจากงานนี่แหล่ะ พอไม่ได้บอกเรื่องนี้ มันทำให้มีเรื่องปลีกย่อยที่ต้องพลอยโกหกไปด้วย
แต่ไม่ได้โกหกทำร้ายใครนะ  แค่เรื่องวิถีชีวิตประจำวันเรา เวลาถูกที่บ้านถาม (งานเป็นไง งานยุ่งไหม กินข้าวเย็นที่ไหน บลา บลา)
เราไม่สบายใจเลย  ไม่ชอบโกหก  ที่ผ่านมาเราแชร์ทุกเรื่องกันที่บ้านตลอด  แต่ตอนนี้มีเรื่องต้องปิดบัง  เฮ้อ..

เราคุมค่าใช้จ่ายสุดๆ  กินโครตประหยัด  อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ไม่ซื้อ  ความรู้สึกเป็นคนจนมาเต็ม
(แต่แอบพึงพอใจลึกๆ  บอกกับตัวเองว่า  เจอโหมดนี้ซะ  จำไว้  จำให้แม่น  แล้วอย่ากลับมาเป็นอีก)

แต่มันก็จะมีค่าใช้จ่ายต่างๆ มาเรื่อยๆ เช่น  ซ่อมรถ น้ำมันรั่ว คอยล์แตก (เพิ่มเติมจากประกันรถ ค่าต่อภาษี ค่าน้ำมัน)
ซองงานแต่ง (ขยันแต่งกันจริงๆ ไอ้ตอนเราสถาพการเงินปกติ  ไม่มาแต่งกันอ่ะ)
ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายยิบย่อย  เบี้ยประกันชีวิต  ส่งประกันสังคม  ค่าที่พัก

ที่จริงเรามีเงินเก็บอีกประมาณเเสนนึง  แต่ก็ให้ที่บ้านเอาไปหมุน

แต่คงอย่างที่เขาว่า..   เวลาชีวิตลำบาก  ความยุ่งยากก็พร้อมใจกันตบเท้าเข้ามา

อยู่ดีๆ ก็มีแจ๊คพอต มีหนี้ของที่บ้านที่เราต้องมารับผิดชอบ ยอดประมาณ 2 ล้าน ไม่มีใครรู้ว่าเราไม่มีรายได้ประจำแล้ว...
แต่เราก็รับมาผ่อน..  ใช้หนี้ที่บ้าน  และหนี้บัตรเครดิตของตัวเองตกค้าง (ผ่อนค่าประกัน  ค่าคอม ค่าปรินเตอร์)

ตอนนี้เริ่มทำธุรกิจ เราก็ทำทุกสิ่งอย่างคนเดียว  ความเครียดมันก็มีแหล่ะ  กดดันด้วย  เหนื่อยล้าร่างกายด้วย
แต่กระนั้นก็ยังอยากให้วันนึงมี 36 ชม.  

เราทำทุกอย่างเอง  ออกแบบโลโก้  ออกแบบผลิตภัณฑ์  สั่งโรงงานผลิตของ  แพ็คของเอง  ทำเว็บไซต์  ไม่มีคนช่วย..
เรารู้ว่าควรไปจ้างคนอื่นทำในสิ่งที่ตัวเราไม่ถนัด  เพื่อทุ่นแรง  ทุ่นเวลา
แต่งบเราน้อย  บางงานจ้างฟรีแลนซ์  ระดับไม่แพง  ผลงานก็เลยออกมาไม่ค่อยโอเค  และความรับผิดชอบก็ไม่ใช่ระดับมืออาชีพ
ท้ายที่สุดเราออกแบบโลโก้เอง  ดีไซน์ packaging เอง  เว็บไซต์ก็ทำเอง  ใช้เวลาอยู่เหมือนกัน  ความรู้เริ่มจาก 0
อาศัยว่าเราเป็นคนรุ่นใหม่ใช้คอมคล่อง..  ทุกอย่างเรียนรู้เอาใหม่  หาความรู้ใน Internet เอา

5 เดือนผ่านไป.. ในที่สุดเราก็ได้กือบทุกองค์ประกอบที่ต้องใช้ดำเนินธุรกิจ  เราเริ่มต้นขายได้เดือนนึงแล้ว  ยอดขายยังไม่เท่าไหร่
ครึ่งปีแล้ว  เงินทุนหมดแล้ว  ตอนนี้เรากำลังเรียนรู้ด้านการขาย การเป็นนักการตลาด  ภาวนาให้ธุรกิจเราไปรอด
ต้องพยายามให้ตัวเองไม่เครียดแล้วไปโฟกัสกับงาน

ความเครียดไม่ได้แค่มาจากการที่เงินหมด และยอดขายน้อยเท่านั้น  แต่ยังมาจากคนรอบตัวที่ไม่ได้ให้กำลังใจ
"จะเวิร์คเหรอทำตัวนี้น่ะ"
"ออกมาจากงานทำไม"
"ใครจะมาซื้ออ่ะ"
"ขายอันนนั้นดีกว่ามั้ง"

เราต้องเข้มแข็งมากๆ  ให้กำลังใจตัวเองมากๆ  เราต้องข้ามแรงเสียดทานนี้ให้ได้

เราไม่เสียดายงานประจำ  เราฝันอยากทำธุรกิจมานาน ตั้งแต่อยู่มหาลัยแล้ว  แต่ด้วยความไม่กล้า  ประสบการณ์น้อย  ยังหาไม่เจอว่าอยากทำอะไร  เลยทำงานประจำมาโดยตลอด  แอบคิดนิดนึงว่าเริ่มต้นช้าไปหน่อย (แอบเสียดายเวลาที่ผ่านมา) แต่มองอีกมุม  เราได้ประสบการณ์หลายอย่างจากงานประจำ  เรียนรู้ทั้งตัวงาน  เรียนรู้คน  เรียนรู้โครงสร้างองค์กร

นอกเรื่องนิดนึง...  วันก่อนเราอ่านบทความ   เขาบอกคนที่กำลังตามหาความฝันว่า  ให้ทำหลายๆอย่าง คุณจะตัดสินใจว่าชอบหรือไม่ชอบงานไหนไม่ได้จากแค่ความคิดหรือจินตนาการ  คุณจะไม่มีวันรู้ว่าคุณรักอะไร  ถ้ายังไม่ได้ลองอยู่กับมันจริงๆ

เราเป็นอีกคนหนึ่งที่เปลี่ยนงานบ่อย  (เปลี่ยนมา 5 งานในระยะ 6 ปี ที่ทำนานสุดคือ 3 ปี  สั้นที่สุดคือ 4 เดือน)  เราพยายามค้นหาว่าเราชอบงานแบบไหน  บางทีเราก็คิดไปเองนะ  พอทำแล้ว รู้ว่าทำได้  แต่จะให้อยู่กับนานนี้ไปนานกว่านี้  กลับรู้สึกว่าไม่ใช่
แต่บางงานไม่ได้รู้สึกชอบแต่แรก  แต่พอทำไปแล้วกับรู้สึกโครตสนุก

ที่นอกเรื่อง  เพราะอยากให้กำลังใจ  คนที่ชอบเปลี่ยนงานบ่อย(เพราะค้นหาตัวเอง)  ว่า...
คุณต้องอดทนให้มาก  กับแรงเสียดทานต่างๆ ที่จะต้องเจอระหว่างนี้  ทั้งจากคนใกล้ตัวและไกลตัว
เช่น  คนจะคิดว่าคุณเป็น  Job Hopper  เปลี่ยนงาน Up เงินเดือน  เป็นคนไม่มีความอดทน  หนักไม่เอาเบาไม่สู้
(เรื่องบางอย่างคุณ Prove ตัวเองได้ แต่บางอย่างก็ยาก)
อย่าไปสนมันมาก..  อยากให้ทำทุกงานให้สุดความสามารถ  ทำเต็มที่  ส่งมอบงานแบบคุณภาพ  ถึงแม้บางงานทำระยะสั้นแต่คนที่ร่วมงานกับคุณเขาจะสัมผัสได้ถึงความตั้งใจจริงของคุณ  ยิ่งคุณหาตัวเองเจอเร็วเท่าไหร่   คุณก็เข้าใกล้ความสำเร็จเร็วเท่านั้น
(คล้ายๆ การทำข้อสอบตัด choice เลือกข้อถูก เหมือนกันเนอะ)

กลับเข้าเรื่องไม่ถูกเลย สรุปเลยดีกว่า

เรารู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดนี้จริงๆ ว่า "ชีวิตเริ่มต้น  ก็เมื่อวันที่มีเป้าหมาย"
... 3 ปีที่เราสนุกกับงานประจำที่ทำนานที่สุด ในระยะ 6 ปีนี้

มันกลับเทียบไม่ได้เลย กับ  6 เดือนที่ผ่านมา  ที่เหมือนกับเราเพิ่งมาได้ใช้ชีวิตจริงๆ

(ใช่ค่ะ  ประสบการณ์มันได้ ไม่เท่ากันหรอก  เทียบกันไม่ได้  แต่ละช่วงชีวิตมันมีคุณค่าของมัน  แต่มันเป็นความรู้สึกล้วนๆ  ที่เรารู้สึกว่า
เราอยู่กับปัจจุบัน  ใช้ทุกนาทีอย่างคุ้มค่า  เพื่อขับเคลื่อนตัวเองให้เข้าใกล้เป้าหมาย
คือ มันต่างกับช่วงที่ทำงานประจำ  ที่ยังไม่มีเป้าหมายชีวิต ตรงที่ ตอนนั้นเรามีไหลๆเรื่อยๆ บ้าง  มีเงินใช้ทุกเดือน  รูดบัตรเครดิตแบบชิลๆ
หลังเลิกงาน  เสาร์-อาทิตย์  ก็นอนเล่นโทรศัพท์  หรือใช้เวลาไปแบบ  ไม่เสียดายเวลา)

พอมีเป้าหมาย  เเล้วเดินตามฝัน  ทุกนาทีของชีวิตโครตมีค่า
ธุรกิจเรายังไม่รู้จะออกหัวออกก้อย  แต่ตัดสินใจทำตามฝันแล้วก็จะไปให้สุดทางค่ะ

เราอยากทำให้สำเร็จไวๆ  จะได้บอกความจริงกับที่บ้าน  กลับไปทำธุรกิจที่บ้าน  ได้อยู่บ้านดูแลพ่อแม่

ขอให้กำลังใจทุกคนที่มีฝันนะคะ  ท่องไว้ เราทำได้  เราทำได้

เขียนซะยาว  ไปก่อนแล้วค่ะ   รีบไปทำงานต่อ   โชคดีค่ะทุกคน  พาพันไฟท์ติ้ง
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
อ่านดูก็รู้ว่าพิมพ์ผิด ไม่น่าถามเนาะ
ถ้าเงินเดือนสี่พัน จะเอาที่ไหนมาเก็บได้เป็นแสน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่