หวัดดีจะ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับเราเมื่อปี 2537
จำได้แม่นว่าตรงกับช่วงเวลาออกอากาศของละครวิมานมะพร้าวเวอร์ชั่น ปัญญา นิรันดร์กุล กับ ชฎาพร รัตนากร
(สาเหตุที่จำช่วงเวลาได้แม่น โปรดอ่านต่อไปจะเข้าใจ)
ตอนนั้นเรา(ขอแทนตัวว่าเรานะ) เราเพิ่งอายุครบ 7 ปี
แต่น่าแปลกมากทีภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เคยลบเลือนจางหายไปจากสมองของเราเลย
ทั้งๆตอนนั้นยังเด็กน้อยมากนัก ภาพที่จำได้ของจุดเริ่มต้นคือเรานอนเล่นอยู่บนเตียงไม้อันนึง
มีแม่นั่งอยู่ใกล้ๆพร้อมกับเพื่อนสาวของเราที่อายุ 7 ปีเท่ากับเรา
บ้านมันอยู่ใกล้ๆกับเรา สิ่งที่เห็นคือแม่ของมันนำตัวมันมาให้แม่เราผูกข้อมือด้วยเศษผ้าที่มีลักษณะเหมือนจีวรพระ
ขณะที่เรานอนเล่นอยู่บนเตียงนั้นเราก็ได้ยินแม่ของเพื่อนเราพูดประมาณว่า
“อีโบอะมันไม่สบายมาเป็นอาทิตย์ๆ ก็ยังไม่หาย หนู (แม่มันรุ่นน้องแม่เรา)
หนูเลยพามันไปหาพระธุดงค์ ให้ช่วยดูให้ พระเขาบอกให้หาคนที่นับถือช่วยผูกผ้าให้อีโบ อีโบมันก็จะหาย”
เท่าที่เราจำได้ นางพูดประมาณพระบอกว่าลมเพลมพัด อีโบก็เลยถูกผีเขมรกิน
หลังจากที่แม่เราทำการผูกข้อมือเสร็จ คืนนั้นเราก็ไม่สบายหนักทันทีมีไข้ตัวร้อนทุรนทุราย
แม่ก็ให้กินยาตราหัวสิงห์ตามระเบียบ ( ยาตราหัวสิงห์น่าจะทำจากแอสไพริน ผงสีขาวรสชาติหวานๆ แพ็คเกจซองสีชมพู)
อาการของเราก็หนักขึ้นในวันต่อๆมา แต่ไคลแมกซ์มีอยู่คืนนึง
แม่และพี่สาวเรานอนดูทีวีกันอยู่สภาพบ้านตอนนั้นอยู่ชั้นสองเป็นไม้
ไม้แดงที่รื้อมาจากเรือนคุณตาคุณยายมาปลุก
ส่วนตัวเรานอนซมไม่สบายเหมือนโลกจะแตก
แม่รู้ว่าเราติดละครเรื่องวิมานมะพร้าว เลยเรียกเราว่าหนูๆวิมานมะพร้าวมาแล้วไม่ดูเหรอ
ภาพต่อมาที่เราจำได้แต่ควบคุมตัวเองไม่ได้คือ เราเอาสร้อยพระของหลวงพ่อกิ่ง(วัดโพธิ์เลี้ยว)
มาคล้องเท้า แล้วก็เอาเท้าควงสร้อยพระพร้อมกับพูดออกมาเป็นเสียงใครก็ไม่รู้ว่า”วิมานมะพร้าวเหรอ”
เสียยงแบบดุๆ คืนนั้นพี่สาวเรากับแม่ก็ช๊อคและกลัวเหตุการณ์มี่เกิดขึ้นมาก
คืนต่อมาภาพที่เราจำได้คือ คืนนั้นอาการของเรายิ่งหนัก ช่วงเวลารุ่งสางตีสี่ตีห่า
ปากเราแห้งแต่เปิดปากไม่ได้ พ่อกับแม่ก็เลยพาไปโรงบาลมะการักษ์ จากนั้นหมอทำไรกับเราอีกเราจำไม่ได้ส่วนนั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเรามีแต่ทรงกับทรุด แม่จึงจำต้องหันมาพึ่งทางไสยศาสตร์
พอดีว่าคุณลุงของเราเป็นร่างทรงของพ่อปู่ แม่เราจึงให้ลุงเข้าทรง
พ่อปูบอกว่าตอนที่แม่เราผูกข้อมือให้อีโบว์ ผีเขมรตนนั้นจึงตามเข้ามากินในร่างกาย
ด้วยความที่เราชะตาตกขาดอะไรทำนองนั้น ผีเขมรมันเลยฉวยโอกาสได้
พ่อปู่บอกถ้าเราเป็นผู้หญิงเช้าวันนั้นเราต้องตายไปจบชีวิตไปแล้ว
ทางแก้คือพ่อปูบอกให้พ่อเราไปซื้อตุ๊กตาแบบที่ไว้ใช้ในศาลตายาย
พร้อมกับทำกระทงจากกาบกล้วย ให้เอาตุ๊กตาใส่ไว้ในกระทงกาบกล้วย
จากนั้นพ่อปูทำการเป่าคาถาเพื่อเตรียมที่จะปล่อยตะขาบ เอ้ยไม่ใช่
ให้พ่อเราเอากระทงไปลอยน้ำไปซะ พ่อเราจึงเอากระทงไปลอยคลองชลประทานตัดใหม่ที่น้ำไหลเชี่ยวมาก
พ่อกลับมาเล่าต่อว่าตอนที่ปล่อยกระทง พ่อเห็นกระทงพยายามจะลอยทวนน้ำ
อื่มอันนี้ไม่รุ้ว่าพ่อพูดให้เกินจริงปล่าวนะ
ต่อมาเราก็หายไข้ ฟื้นกลับมาได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่ากินเวลา 1 อาทิตย์
ทำให้เราขาดเรียนไปทั้งอาทิตย์เลย เรื่องทั้งหมดก็มีแค่นี้จะ
เราไม่สามารถฟันธงได้ว่ามันเพราะผีเขมรจริงๆๆ
หรือเราแค่ไม่สบายหนักแล้วร่างกายก็หายเองตามปกติแบบเด็กๆที่ชอบไม่สบายทั่วไป
และนี้ก็เป็นแค่หนึ่งในสามครั้งในชีวิตของเราเท่านั้นที่เจอเหตการณ์ลึกลับ.
ประสบการณ์ขนหัวลุกตอนเด็ก เกือบเสียชีวิต
จำได้แม่นว่าตรงกับช่วงเวลาออกอากาศของละครวิมานมะพร้าวเวอร์ชั่น ปัญญา นิรันดร์กุล กับ ชฎาพร รัตนากร
(สาเหตุที่จำช่วงเวลาได้แม่น โปรดอ่านต่อไปจะเข้าใจ)
ตอนนั้นเรา(ขอแทนตัวว่าเรานะ) เราเพิ่งอายุครบ 7 ปี
แต่น่าแปลกมากทีภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เคยลบเลือนจางหายไปจากสมองของเราเลย
ทั้งๆตอนนั้นยังเด็กน้อยมากนัก ภาพที่จำได้ของจุดเริ่มต้นคือเรานอนเล่นอยู่บนเตียงไม้อันนึง
มีแม่นั่งอยู่ใกล้ๆพร้อมกับเพื่อนสาวของเราที่อายุ 7 ปีเท่ากับเรา
บ้านมันอยู่ใกล้ๆกับเรา สิ่งที่เห็นคือแม่ของมันนำตัวมันมาให้แม่เราผูกข้อมือด้วยเศษผ้าที่มีลักษณะเหมือนจีวรพระ
ขณะที่เรานอนเล่นอยู่บนเตียงนั้นเราก็ได้ยินแม่ของเพื่อนเราพูดประมาณว่า
“อีโบอะมันไม่สบายมาเป็นอาทิตย์ๆ ก็ยังไม่หาย หนู (แม่มันรุ่นน้องแม่เรา)
หนูเลยพามันไปหาพระธุดงค์ ให้ช่วยดูให้ พระเขาบอกให้หาคนที่นับถือช่วยผูกผ้าให้อีโบ อีโบมันก็จะหาย”
เท่าที่เราจำได้ นางพูดประมาณพระบอกว่าลมเพลมพัด อีโบก็เลยถูกผีเขมรกิน
หลังจากที่แม่เราทำการผูกข้อมือเสร็จ คืนนั้นเราก็ไม่สบายหนักทันทีมีไข้ตัวร้อนทุรนทุราย
แม่ก็ให้กินยาตราหัวสิงห์ตามระเบียบ ( ยาตราหัวสิงห์น่าจะทำจากแอสไพริน ผงสีขาวรสชาติหวานๆ แพ็คเกจซองสีชมพู)
อาการของเราก็หนักขึ้นในวันต่อๆมา แต่ไคลแมกซ์มีอยู่คืนนึง
แม่และพี่สาวเรานอนดูทีวีกันอยู่สภาพบ้านตอนนั้นอยู่ชั้นสองเป็นไม้
ไม้แดงที่รื้อมาจากเรือนคุณตาคุณยายมาปลุก
ส่วนตัวเรานอนซมไม่สบายเหมือนโลกจะแตก
แม่รู้ว่าเราติดละครเรื่องวิมานมะพร้าว เลยเรียกเราว่าหนูๆวิมานมะพร้าวมาแล้วไม่ดูเหรอ
ภาพต่อมาที่เราจำได้แต่ควบคุมตัวเองไม่ได้คือ เราเอาสร้อยพระของหลวงพ่อกิ่ง(วัดโพธิ์เลี้ยว)
มาคล้องเท้า แล้วก็เอาเท้าควงสร้อยพระพร้อมกับพูดออกมาเป็นเสียงใครก็ไม่รู้ว่า”วิมานมะพร้าวเหรอ”
เสียยงแบบดุๆ คืนนั้นพี่สาวเรากับแม่ก็ช๊อคและกลัวเหตุการณ์มี่เกิดขึ้นมาก
คืนต่อมาภาพที่เราจำได้คือ คืนนั้นอาการของเรายิ่งหนัก ช่วงเวลารุ่งสางตีสี่ตีห่า
ปากเราแห้งแต่เปิดปากไม่ได้ พ่อกับแม่ก็เลยพาไปโรงบาลมะการักษ์ จากนั้นหมอทำไรกับเราอีกเราจำไม่ได้ส่วนนั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเรามีแต่ทรงกับทรุด แม่จึงจำต้องหันมาพึ่งทางไสยศาสตร์
พอดีว่าคุณลุงของเราเป็นร่างทรงของพ่อปู่ แม่เราจึงให้ลุงเข้าทรง
พ่อปูบอกว่าตอนที่แม่เราผูกข้อมือให้อีโบว์ ผีเขมรตนนั้นจึงตามเข้ามากินในร่างกาย
ด้วยความที่เราชะตาตกขาดอะไรทำนองนั้น ผีเขมรมันเลยฉวยโอกาสได้
พ่อปู่บอกถ้าเราเป็นผู้หญิงเช้าวันนั้นเราต้องตายไปจบชีวิตไปแล้ว
ทางแก้คือพ่อปูบอกให้พ่อเราไปซื้อตุ๊กตาแบบที่ไว้ใช้ในศาลตายาย
พร้อมกับทำกระทงจากกาบกล้วย ให้เอาตุ๊กตาใส่ไว้ในกระทงกาบกล้วย
จากนั้นพ่อปูทำการเป่าคาถาเพื่อเตรียมที่จะปล่อยตะขาบ เอ้ยไม่ใช่
ให้พ่อเราเอากระทงไปลอยน้ำไปซะ พ่อเราจึงเอากระทงไปลอยคลองชลประทานตัดใหม่ที่น้ำไหลเชี่ยวมาก
พ่อกลับมาเล่าต่อว่าตอนที่ปล่อยกระทง พ่อเห็นกระทงพยายามจะลอยทวนน้ำ
อื่มอันนี้ไม่รุ้ว่าพ่อพูดให้เกินจริงปล่าวนะ
ต่อมาเราก็หายไข้ ฟื้นกลับมาได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่ากินเวลา 1 อาทิตย์
ทำให้เราขาดเรียนไปทั้งอาทิตย์เลย เรื่องทั้งหมดก็มีแค่นี้จะ
เราไม่สามารถฟันธงได้ว่ามันเพราะผีเขมรจริงๆๆ
หรือเราแค่ไม่สบายหนักแล้วร่างกายก็หายเองตามปกติแบบเด็กๆที่ชอบไม่สบายทั่วไป
และนี้ก็เป็นแค่หนึ่งในสามครั้งในชีวิตของเราเท่านั้นที่เจอเหตการณ์ลึกลับ.