"สคบ" กล่อม "ซีทีเอช" ยอมจ่ายค่าเสียหายย้ำเดินหน้าธุรกิจต่อ
ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559
สคบ. ยันซีทีเอชยอมจ่ายค่าเสียหาย เดินหน้าไกล่เกลี่ยต่อ ส่วนกสทช.รับลูกไปแก้ปัญหาด้านเทคนิคที่สัญญาณไม่ดี ด้านบริษัทแจงเหตุยกเลิกสัญญาไทยคมเพราะต้นทุนสูงเกินจำเป็น ล่าสุดลดขนาดองค์กรพร้อมเดินหน้าธุรกิจเพย์ทีวีต่อ
ร.ต.ไพโรจน์ คนึงทรัพย์ เลขานุการกรม สำนักงานเลขานุการกรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้ได้มีผู้บริโภคประมาณ 20-30 รายที่ได้รับความเสียหายจากกรณีบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) หรือซีทีเอช (บมจ.) ปิดสัญญาณการรับชมของ Z Pay TV (GMMz), PSI และ RS Sunbox ทำให้ไม่สามารถรับสัญญาณโทรทัศน์ของเคเบิลทีวีได้ จึงเข้ามาร้องเรียนกับทางสคบ. ซึ่งผู้เสียหายมีหลายกรณีและมีมูลค่าความเสียหายแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับอายุการสมัครใช้บริการ รูปแบบแพ็กเกจ ซึ่งมีระดับราคาตั้งแต่ 900-8,000 บาท
ส่วนแนวทางการให้ความช่วยเหลือของทางสคบ.นั้น ได้เชิญตัวแทนของซีทีเอชเข้ามาไกล่เกลี่ย และชดเชยค่าเสียหาย ซึ่งซีทีเอชได้ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้บริโภคไปแล้วหลายราย ตามสัดส่วนของมูลค่าแพ็กเกจที่เหลืออยู่จากการใช้งานปัจจุบัน ซึ่งหากทางกสทช.สามารถแก้ไขปัญหาให้มีการรับชมสัญญาณเคเบิลทีวีได้ เชื่อว่าปัญหาน่าจะยุติลงและไม่มีผู้บริโภคเข้ามาร้องเรียนกับทางสคบ. โดยก่อนหน้านี้นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เข้าหารือพร้อมกับชี้แจงปัญหาทางเทคนิคที่เกิดขึ้น และทางกสทช.ได้หามาตรการแก้ไขปัญหา ซึ่งหากเกิดมีกรณีผู้บริโภคได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าว ทางสคบ.จะเป็นผู้ดำเนินการ
ด้านพ.อ. ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีซีทีเอชยกเลิกการให้บริการกับลูกค้า หลังขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ "ทิศทางทีวีดิจิตอลไทย" ในงานครบรอบ 61 ปีโทรทัศน์ไทย ณ กรมประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า กสทช. อยู่ระหว่างพิจารณาว่าซีทีเอชเป็นบริษัทที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการเคเบิ้ลทีวีหรือไม่ โดยเบื้องต้นซีทีเอชต้องส่งแผนเยียวยาผู้บริโภคเข้ามาก่อน หากยังเพิกเฉยต้องลงโทษด้วยการปรับ และหากยังไม่กระทำการใดๆ ก็จะมีบทลงโทษต่อเนื่องตามลำดับ โดยโทษสูงสุดคือการเพิกถอนใบอนุญาตและหลังจากนั้นจะส่งเรื่องต่อไปยังสคบ. แต่หากซีทีเอชไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการเคเบิลทีวี เรื่องนี้จะถูกส่งให้กับสคบ.ดำเนินการโดยตรง ภายหลังจากนั้นสคบ.จะดำเนินการอย่างไรขึ้นอยู่กับสคบ.
"กสทช. ร่วมประชุมกับสคบ. เพื่อหาแนวทางรับมือ โดยต่างฝ่ายจะแบ่งกันทำหน้าที่แต่จะมีการประสานงานกัน เช่น กสทช. จะดูมาตรการบังคับทางปกครอง ส่วน สคบ. จะช่วยเจรจาเยียวยาหรือฟ้องศาลแพ่ง ถ้าผู้บริโภคร้องเรียนมาที่ กสทช.แล้วไม่พอใจมาตรการเยียวยาของซีทีเอช อย่างไรก็ดีการกำกับการประกอบกิจการของเอกชน โทษทางปกครองสูงสุดคือการพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต อันจะทำให้เกิดจอดำ แต่จะมีผลกระทบต่อผู้บริโภคทำให้ไม่สามารถรับชมได้ ในกรณีนี้ผู้บริโภคควรได้รับการชดเชยที่เป็นธรรมเพียงพอ จึงเป็นที่มาของการหารือร่วมกับสคบ. เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคต่อไป ซึ่งหากมีการดำเนินการเจรจาไกล่เกลี่ยของผู้ร้องเรียนแล้ว แต่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ ทาง สคบ.ยินดีจะช่วยผู้บริโภคดำเนินการฟ้องร้องทางแพ่งต่อไป"
สำหรับช่วงที่ผ่านมา กสทช.ได้ให้ใบอนุญาตทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีแล้วกว่า 600 ราย ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการจำนวนกว่า 200 ราย ขอยกเลิกการประกอบกิจการ เนื่องจากไม่สามารถประกอบกิจการต่อได้ และยังคงยื่นขอยกเลิกกิจการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กสทช.ไม่มีมาตรการลงโทษแต่อย่างใดเนื่องจากเป็นความสมัครใจของผู้ประกอบการ
ล่าสุด "ฐานเศรษฐกิจ" ได้สอบถาม นายอมฤต ศุขะวณิช รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีทีเอช กล่าวว่า การประกาศยกเลิกการออกอากาศผ่านดาวเทียมไทยคมตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2559 เป็นต้นไปนั้น สาเหตุเกิดจากบริษัทต้องการลดต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน ที่มีความทับซ้อนหลายด้าน โดยมีการเช่าทรานสปอนเดอร์ 2 แห่ง คือ ไทยคม(Thaicom)และวีนาแซท( Vinasat) ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก จึงจำเป็นต้องขอยกเลิกไทยคม เพื่อลดต้นทุนให้ต่ำลง
"การเช่าทรานสปอนเดอร์ 2 แห่ง ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อนกัน ดังนั้นบริษัทจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นโดยการยกเลิกการเช่าทรานสปอนเดอร์จากไทยคม เพราะฐานสมาชิกของกลุ่มลูกค้าซีทีเอชที่ใช้บริการจากไทยคม ปัจจุบันมียอดผู้ใช้เหลือเพียงหลักหมื่นราย ขณะที่มีผู้ใช้บริการจากวีนาแซทกว่าแสนราย จากสมาชิกซีทีเอชที่ปัจจุบันใช้บริการเพย์ทีวีเหลือเพียง 2 แสนรายเท่านั้น" นายอมฤต กล่าวพร้อมยืนยันว่า
ซีทีเอชจะไม่ปิดกิจการ จะดำเนินธุรกิจต่อไปในรูปแบบธุรกิจเพย์ทีวี โดยจะเน้นคอนเทนต์ด้านเอนเตอร์เทนเมนต์เป็นตัวผลักดันและรักษาฐานลูกค้าที่มีอยู่ให้ยังคงใช้บริการต่อไป ขณะเดียวกันจะเยียวยาผู้ใช้บริการ ด้วยการปรับย้ายผู้ใช้บริการเดิมที่เคยใช้ไทยคม มาอยู่กับวีนาแซท พร้อมกับดำเนินการแผนธุรกิจใหม่ ด้วยโครงสร้างธุรกิจใหม่ทั้งลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป และปรับรูปแบบธุรกิจให้เล็กลงตามความเหมาะสม
อนึ่ง จากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ปัจจุบันนายวิชัย ทองแตงยังมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด โดยมีทุนจดทะเบียน 5,555 ล้านบาท (ชำระเงินแล้ว 3,302 ล้านบาท) โดยช่วงที่ผ่านมาซีทีเอช มียอดสมาชิกราว 3 ล้านรายก่อนที่จะลดลงเหลือ 2 แสนรายในปัจจุบัน ภายหลังจากที่ซีทีเอช ประกาศปิดสัญญาณการให้บริการรับชมของ Z Pay TV บนกล่อง GMM Z, PSI และกล่อง RS SUNBOX และล่าสุดประกาศยกเลิกการออกอากาศผ่านดาวเทียมไทยคม KU-BAND ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2559 เป็นต้นไป ส่งผลให้ผู้บริการหรือสมาชิกที่รับชมผ่านจานดาวเทียม KUBAND ได้รับผลกระทบจำนวนมาก และเป็นที่มาของการไปยื่นร้องเรียนต่อสคบ. และกสทช. ในฐานะผู้กำกับดูแล
แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559 (หน้า 15)
"สคบ" กล่อม "ซีทีเอช" ยอมจ่ายค่าเสียหายย้ำเดินหน้าธุรกิจต่อ
"สคบ" กล่อม "ซีทีเอช" ยอมจ่ายค่าเสียหายย้ำเดินหน้าธุรกิจต่อ
ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559
สคบ. ยันซีทีเอชยอมจ่ายค่าเสียหาย เดินหน้าไกล่เกลี่ยต่อ ส่วนกสทช.รับลูกไปแก้ปัญหาด้านเทคนิคที่สัญญาณไม่ดี ด้านบริษัทแจงเหตุยกเลิกสัญญาไทยคมเพราะต้นทุนสูงเกินจำเป็น ล่าสุดลดขนาดองค์กรพร้อมเดินหน้าธุรกิจเพย์ทีวีต่อ
ร.ต.ไพโรจน์ คนึงทรัพย์ เลขานุการกรม สำนักงานเลขานุการกรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้ได้มีผู้บริโภคประมาณ 20-30 รายที่ได้รับความเสียหายจากกรณีบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) หรือซีทีเอช (บมจ.) ปิดสัญญาณการรับชมของ Z Pay TV (GMMz), PSI และ RS Sunbox ทำให้ไม่สามารถรับสัญญาณโทรทัศน์ของเคเบิลทีวีได้ จึงเข้ามาร้องเรียนกับทางสคบ. ซึ่งผู้เสียหายมีหลายกรณีและมีมูลค่าความเสียหายแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับอายุการสมัครใช้บริการ รูปแบบแพ็กเกจ ซึ่งมีระดับราคาตั้งแต่ 900-8,000 บาท
ส่วนแนวทางการให้ความช่วยเหลือของทางสคบ.นั้น ได้เชิญตัวแทนของซีทีเอชเข้ามาไกล่เกลี่ย และชดเชยค่าเสียหาย ซึ่งซีทีเอชได้ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้บริโภคไปแล้วหลายราย ตามสัดส่วนของมูลค่าแพ็กเกจที่เหลืออยู่จากการใช้งานปัจจุบัน ซึ่งหากทางกสทช.สามารถแก้ไขปัญหาให้มีการรับชมสัญญาณเคเบิลทีวีได้ เชื่อว่าปัญหาน่าจะยุติลงและไม่มีผู้บริโภคเข้ามาร้องเรียนกับทางสคบ. โดยก่อนหน้านี้นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เข้าหารือพร้อมกับชี้แจงปัญหาทางเทคนิคที่เกิดขึ้น และทางกสทช.ได้หามาตรการแก้ไขปัญหา ซึ่งหากเกิดมีกรณีผู้บริโภคได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าว ทางสคบ.จะเป็นผู้ดำเนินการ
ด้านพ.อ. ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีซีทีเอชยกเลิกการให้บริการกับลูกค้า หลังขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ "ทิศทางทีวีดิจิตอลไทย" ในงานครบรอบ 61 ปีโทรทัศน์ไทย ณ กรมประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า กสทช. อยู่ระหว่างพิจารณาว่าซีทีเอชเป็นบริษัทที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการเคเบิ้ลทีวีหรือไม่ โดยเบื้องต้นซีทีเอชต้องส่งแผนเยียวยาผู้บริโภคเข้ามาก่อน หากยังเพิกเฉยต้องลงโทษด้วยการปรับ และหากยังไม่กระทำการใดๆ ก็จะมีบทลงโทษต่อเนื่องตามลำดับ โดยโทษสูงสุดคือการเพิกถอนใบอนุญาตและหลังจากนั้นจะส่งเรื่องต่อไปยังสคบ. แต่หากซีทีเอชไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการเคเบิลทีวี เรื่องนี้จะถูกส่งให้กับสคบ.ดำเนินการโดยตรง ภายหลังจากนั้นสคบ.จะดำเนินการอย่างไรขึ้นอยู่กับสคบ.
"กสทช. ร่วมประชุมกับสคบ. เพื่อหาแนวทางรับมือ โดยต่างฝ่ายจะแบ่งกันทำหน้าที่แต่จะมีการประสานงานกัน เช่น กสทช. จะดูมาตรการบังคับทางปกครอง ส่วน สคบ. จะช่วยเจรจาเยียวยาหรือฟ้องศาลแพ่ง ถ้าผู้บริโภคร้องเรียนมาที่ กสทช.แล้วไม่พอใจมาตรการเยียวยาของซีทีเอช อย่างไรก็ดีการกำกับการประกอบกิจการของเอกชน โทษทางปกครองสูงสุดคือการพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต อันจะทำให้เกิดจอดำ แต่จะมีผลกระทบต่อผู้บริโภคทำให้ไม่สามารถรับชมได้ ในกรณีนี้ผู้บริโภคควรได้รับการชดเชยที่เป็นธรรมเพียงพอ จึงเป็นที่มาของการหารือร่วมกับสคบ. เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคต่อไป ซึ่งหากมีการดำเนินการเจรจาไกล่เกลี่ยของผู้ร้องเรียนแล้ว แต่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ ทาง สคบ.ยินดีจะช่วยผู้บริโภคดำเนินการฟ้องร้องทางแพ่งต่อไป"
สำหรับช่วงที่ผ่านมา กสทช.ได้ให้ใบอนุญาตทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีแล้วกว่า 600 ราย ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการจำนวนกว่า 200 ราย ขอยกเลิกการประกอบกิจการ เนื่องจากไม่สามารถประกอบกิจการต่อได้ และยังคงยื่นขอยกเลิกกิจการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กสทช.ไม่มีมาตรการลงโทษแต่อย่างใดเนื่องจากเป็นความสมัครใจของผู้ประกอบการ
ล่าสุด "ฐานเศรษฐกิจ" ได้สอบถาม นายอมฤต ศุขะวณิช รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีทีเอช กล่าวว่า การประกาศยกเลิกการออกอากาศผ่านดาวเทียมไทยคมตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2559 เป็นต้นไปนั้น สาเหตุเกิดจากบริษัทต้องการลดต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน ที่มีความทับซ้อนหลายด้าน โดยมีการเช่าทรานสปอนเดอร์ 2 แห่ง คือ ไทยคม(Thaicom)และวีนาแซท( Vinasat) ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก จึงจำเป็นต้องขอยกเลิกไทยคม เพื่อลดต้นทุนให้ต่ำลง
"การเช่าทรานสปอนเดอร์ 2 แห่ง ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อนกัน ดังนั้นบริษัทจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นโดยการยกเลิกการเช่าทรานสปอนเดอร์จากไทยคม เพราะฐานสมาชิกของกลุ่มลูกค้าซีทีเอชที่ใช้บริการจากไทยคม ปัจจุบันมียอดผู้ใช้เหลือเพียงหลักหมื่นราย ขณะที่มีผู้ใช้บริการจากวีนาแซทกว่าแสนราย จากสมาชิกซีทีเอชที่ปัจจุบันใช้บริการเพย์ทีวีเหลือเพียง 2 แสนรายเท่านั้น" นายอมฤต กล่าวพร้อมยืนยันว่า
ซีทีเอชจะไม่ปิดกิจการ จะดำเนินธุรกิจต่อไปในรูปแบบธุรกิจเพย์ทีวี โดยจะเน้นคอนเทนต์ด้านเอนเตอร์เทนเมนต์เป็นตัวผลักดันและรักษาฐานลูกค้าที่มีอยู่ให้ยังคงใช้บริการต่อไป ขณะเดียวกันจะเยียวยาผู้ใช้บริการ ด้วยการปรับย้ายผู้ใช้บริการเดิมที่เคยใช้ไทยคม มาอยู่กับวีนาแซท พร้อมกับดำเนินการแผนธุรกิจใหม่ ด้วยโครงสร้างธุรกิจใหม่ทั้งลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป และปรับรูปแบบธุรกิจให้เล็กลงตามความเหมาะสม
อนึ่ง จากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ปัจจุบันนายวิชัย ทองแตงยังมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด โดยมีทุนจดทะเบียน 5,555 ล้านบาท (ชำระเงินแล้ว 3,302 ล้านบาท) โดยช่วงที่ผ่านมาซีทีเอช มียอดสมาชิกราว 3 ล้านรายก่อนที่จะลดลงเหลือ 2 แสนรายในปัจจุบัน ภายหลังจากที่ซีทีเอช ประกาศปิดสัญญาณการให้บริการรับชมของ Z Pay TV บนกล่อง GMM Z, PSI และกล่อง RS SUNBOX และล่าสุดประกาศยกเลิกการออกอากาศผ่านดาวเทียมไทยคม KU-BAND ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2559 เป็นต้นไป ส่งผลให้ผู้บริการหรือสมาชิกที่รับชมผ่านจานดาวเทียม KUBAND ได้รับผลกระทบจำนวนมาก และเป็นที่มาของการไปยื่นร้องเรียนต่อสคบ. และกสทช. ในฐานะผู้กำกับดูแล
แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559 (หน้า 15)