การเดินทางของขุนแผน

สวัสดีครับ ไม่ได้พบเจอกันนาน ทุกคนคงจะสบายดีนะครับ    ผมเองก็ยังสบายดีครับ
ผมนี้หายไปนานมากๆ เลย ไปตามหาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ มาครับ   กลับมาคราวนี้ผมมีเรื่องราว
มากมายหลายๆ อย่างจะมาเล่าให้ฟังเยอะเลยล่ะครับ
ผมคิดถึงทุกๆคนที่อ่านบทความนี้ มากๆเลยล่ะครับ(ไม่รู้มีใครจะเข้ามาอ่านรึเปล่านะครับ 555)    เอาล่ะ เข้าเรื่องเลยดีกว่าต่อจากตอนที่แล้ว
http://pantip.com/topic/33845004




ใช่ครับผมไปบวชมาครับ  พรรษา 1 (120 วันเต็มๆ) การบวชครั้งนี้เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณตามความเชื่อของชาวพุทธ ศึกษา พระธรรมคำสอน และ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อน  
ตอนผมเป็นนาคนั้น ผมได้มีโอกาสใส่ทองทีคอเยอะมากๆ มันทำให้ผมได้รับรู้ว่า ทรัพย์สมบัติที่มีถ้ามันมากเกินไปก็จะนำความทุกข์ทนและลำบากมาให้แก่เรา (แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นผมก็ยังอยากมีเยอะอยู่ล่ะครับ ) ตอนส่งผมเข้าโบสถ์ พี่ๆ น้าๆ เพื่อนๆ ทุกๆคนที่รู้จักผม ต่างมาห้อมล้อมรอบกายแสดงความยินดีให้กับผม รู้สึกเป็นเหมือนดั่ง ซุปเปอร์สตาร์  แต่แล้ว ส่งผมเข้าโบสถ์ปุ๊ป เสียงดนตรีเงียบลง ผมไม่เหลือใคร เลยครับ มีเพียงแค่ตัวผมกับพระอีกสิบกว่ารูป อยู่ในโบสถ์  ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เอาล่ะ ได้เวลาแล้วสินะ ทึ้งทุกสิ่งที่พันธนาการเราไว้จากโลกภายนอกและรถสุดที่รักไว้ นุ่งห่มจีวร เอาล่ะ ต่อจากนี้ ผมคือ พระ มหิทธิกรรณ ฐานารโหร (ผู้สมควรแก่ฐานะ)    
ผมยังไม่หยุดการเดินทาง  แต่แค่ผมเปลี่ยนวิธีการเดินทาง เดินทางเข้าไปในจิตใจของตนเอง
กับธรรมชาติแล้วทุกๆ สิ่งที่อยู่รอบๆกาย ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย แม้กระทั่ง รองเท้า...



ผมเพิ่งจะลาสิกขามาเมื่อปลายปีที่ผ่านมานั่นเอง ผมได้รับรู้ในสิ่งต่างๆ มามากมายที่ผมไม่เคยได้พบเห็นแล้วเจอมาก่อน สิ่งเหล่านั้นมันได้สอนให้ผม ต้อง
มองโลกตามหลักความเป็นจริง มองเห็นในแบบที่มันเป็น ไม่ใช่เห็นมันในแบบที่มันควรจะเป็น
ปรับตัว แล้วอยู่ร่วมกับมันให้ได้ ซึ่ง มันขัดกับความรู้สึกของผมมากๆ เลย เพราะผมคิดว่าโลกใบนี้ เราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ อย่าไป ตามกระแสของสังคม และ ความนิยมของคนอื่นสิ

มีพบพานก็ต้องมีลาจาก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่จีรัง ไม่มีคนซ้อนท้ายเหมือนเดิม เสียงหัวเราะและความสุขต่างๆ กลับกลายเป็นเพียงความทรงจำ  
ช่วงนั้น หลักธรรมะต่างๆ ที่เคยได้ร่ำเรียนมากลับพลันได้หาย ไป ผมจมอยู่กับความทุกข์ นั้นเป็นเดือนๆ ไม่กล้าที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ที่แสนรักคันนั้น เพราะกลัวว่าความทรงจำเก่าๆ มันจะตามหลอกหลอนเรา  จนวันหนึ่ง ผมก็คิดได้ว่า “สุราไม่ได้ช่วยหาคำตอบหรอก แต่มันทำให้เราลืมคำถามนั้นมากกว่า” ผมเสียเงินไปเป็นพัน กับสิ่งที่ ไร้ประโยชน์มากๆ  แล้วผมก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง





ผมเดินทางครั้งนี้ออกเดินเที่ยวไปเรื่อยเปื่อย กับ ความคิดที่ว่างเปล่า หวังไว้แค่ว่า มันจะช่วยบรรเทา ความฟุ้งซ่านในจิตใจลงไปได้บ้าง ถึงแม้ว่าเราจะไม่เหลือใคร แต่โทโมะจังยังคงรอเราอยู่ที่เดิม เป็นแค่เครื่องจักรที่ไม่มีจิตใจ แต่รู้สึกสุขใจทุกครั้ง ที่ได้จ้องมองมัน ขับขี่มัน  ผมไปโดดน้ำลงทะเล ให้มันช่วยชำระล้างจิตใจ ออกเดินทางไปดูต้นปลาม์แพงทีสุดในประเทศไทย แล้วกลับมาที่บ้านเพื่อพักผ่อนจิตใจ ผมเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาสักนิดๆ แล้วล่ะ


แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่