จากการที่ได้เสพย์กระทู้ท่องเที่ยวเกี่ยวกับเลห์ ทำให้ จขกท มีความตั้งใจว่าจะต้องไปเยือนให้ได้ซักครั้ง ทริปนี้จึงเกิดขึ้น โดยการเดินทางครั้งนี้มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 3 คน ซึ่ง 2 คนเป็นเเฟนกัน ส่วน จขกท เป็นตัวเเถมค่ะ ซึ่ง จขกท ก็ไม่ได้หนักใจอะไรอยู่แล้วก็เราไปเที่ยวหนิเนอะ ใครจะกระหนุ๋งกระหนิ๋งกันก็เรื่องของเค้า หึๆ ทริปนี้เราจะใช้เพียงโทรศัพท์ Samsung galaxy 7 edge ถ่าย เพราะเราใช้กล้องโปรไม่เป็นค่ะ ส่วนวีดีโอจะเป็น GoproHero4 เริ่มจากจัดตารางเที่ยวต่างๆ เราก็ได้ตัวอย่างมาจากในกระทู้อื่น เราจึงนำมาปรับให้เหมาะสมกับเรา รายละเอียดเเละราคาคร่าวๆ ก็ประมาณนี้ค่ะ
29-Apr BKK-DEL
30-Apr Leh Palace-Spituk-Sankar
01-May Leh-Shey-Thiksay-Hemis-Stok-Shanti Stupa-Leh
02-3May Leh-Pangong Lake-Spangmik-Leh (2days 1 night)
04-5May Leh-Nubra Valley - Hunder - sand dune -Diskit Monastery-Leh (2days 1 night)
06-May Leh-Alchi Monastery - Lamayuru Monastery - Likir Monastery-Leh
07-May Free
08-May DEL-BKK
สิ่งของจำเป็นที่อยากให้พกมาด้วย ได้เเก่ ยาเเพ้ความดันอากาศในที่สูงค่ะ โดยจะกินก่อนเดินทาง 3 วัน วันละเม็ดหลังอาหาร รวมทั้งยาเเก้เมารถค่ะ เพราะจะต้องนั่งอยู่ในรถเป็นระยะเวลานาน ถนนก็มีความคดเคี้ยว ชวนอ้วกเป็นอย่างมากค่ะ เรามาเริ่มต้นเดินทางไปด้วยกันเลยนะคะ
วันเเรก: เราเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ โดยสายการบิน Jet Airways (BKK-DEL-LEX) ซึ่ง จขกท จองได้ราคาประมาณ 16,000 บาทค่ะ โดยเราจะรอต่อเครื่องที่สนามบินเดลี ซึ่งเกือบทั้งคืนที่รอขึ้นเครื่องไปเลห์นั้น เราแทบจะไม่ได้นอนเลยค่ะ เพราะว่าในสนามบินจะเปิดเพลงดังมากตลอดทั้งคืน ที่นั่งก็นอนลำบากมากค่ะ ดังนั้นใครจะเตรียมผ้าไปปูนอนก็น่าจะดีนะคะ
วันที่สอง: เมื่อมาถึงเราก็เริ่มจากหาแทกซี่ไปยังที่พักเลยค่ะ โดยในคืนแรกและคืนที่สองเราจะพักกันที่ New Royal Guest House ซึ่งที่พักจะอยู่ใกล้ๆ กับ Leh Palace เดินไปได้ค่ะ เมื่อมาถึงที่พักเราก็คุยกับเจ้าของที่พักเรื่องเช่ารถสำหรับเที่ยวในวันอื่น โดยเราให้แผนการคร่าวๆ ที่เราเตรียมไป ให้เค้าดู ซึ่งราคาที่ตกลงกันก็คือ จะลดไปอีก 10% จากราคาที่โชว์ รถที่เราเลือกจะเป็น Lenovo 6 ที่นั่งค่ะ จะได้นั่งกันสบายๆ หน่อย และทุกคนก็จะได้เห็นวิวกันครบทุกคน
หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เพื่อนกับแฟนก็ขอพักก่อน เราก็ขอตัวไปที่ Leh Palace คนเดียวค่ะ เดินไปเรื่อยๆ ก็คงจะถึง ซึ่งทางเดินก็จะเป็นซอยเล็กๆ มีป้ายบอกตลอดทางค่ะ ไม่ยากเลย แค่เหนื่อย และก็เวลาเดินต้องคอยระวังขี้หมา แหะๆ พอขึ้นไปซักพักก็ขอหยุดพักหน่อย เพราะร่างกายยังปรับสภาพไม่ค่อยได้ เดินนิดเดียวก็เหนื่อยแล้วค่ะ เลยได้โอกาสให้น้องที่นั่งอยู่แถวนั้นถ่ายรูปให้หน่อย เพราะวิวข้างหลังสวยมาก มองเห็นหมู่บ้านข้างล่าง และก็ภูเขาสูงใหญ่ที่มีหิมะปกคลุม แต่ๆๆๆๆๆ สิ่งที่เราคิดกับภาพที่เราได้ มันต่างกันลิบลับค่ะ ดูกันเอาเองละกันนะคะ (ไหนวิวภูเขาพี่ละหนู ร้องไห้หนักมากกกกก)
เมื่อเดินมาถึงข้างบนเราก็จะต้องจ่ายค่าเข้า ด้วยความที่ จขกท ขี้เกียจอ่านป้ายว่าค่าเข้าเท่าไหร่ เจ้าหน้าที่จึงเรียกเก็บ 200 รูปี เเต่ จขกท มารู้จากเพื่อนที่ขึ้นไปทีหลังว่าจริงๆ นักท่องเที่ยวไทย ค่าเข้าเพียง 15 รูปเท่านั้น คือถ้าไม่รู้ก็จะไม่เซ็งใช่ไหมคะ เท่าไหร่ก็จ่ายอยู่เเล้ว เเต่พอรู้ว่าคนอื่นเค้าจ่ายเเค่ 15 รูปีนี่ทำเราเซ็งเเบบสุดๆ ค่ะ เเละที่เซ็งกว่านั้นก็คือ เราถ่ายรูปป้ายมาด้วยนะ เเต่ทำไมตัวเองไม่ยอมอ่าน 555 นี่คือหลักฐานว่าถ่ายมาจริงๆค่ะ เห็นไหมคะที่เป็นเเผ่นกระดาษ A4 เเปะอยู่ TT
วิวเเรกที่เห็นเมื่อขึ้นมาถึงบนพระราชวังเลห์ค่ะ
วันที่สาม เราเลือกเที่ยวใกล้ๆ กับเมืองเลห์ก่อน เนื่องจากต้องการปรับสภาพร่างกาย ก่อนเดินทางไปทะเลสาปปันกองในวันต่อไป โดยวันนี้ได้เพื่อนร่วมทางเป็นคุณลุงญี่ปุ่นชื่อ ฮิโรชิ เพิ่มมาอีกหนึ่งคน เนื่องจากคุณลุงเค้าเดินทางมาคนเดียว ไกด์จึงถามเราว่าจะมีปัญหาอะไรรึเปล่าถ้ามีคนขอร่วมเดินทางไปกับพวกเรา พวกเราจะได้ลดค่าใช้จ่ายด้วยนะ ซึ่งพวกเราก็ยินดีที่จะให้คุณลุงมาร่วมเดินทางไปกับเราค่ะ วันนี้เเผนของพวกเราก็คือไป Leh-Shey-Thiksay-Hemis-Stok-Shanti Stupa-Leh
เริ่มจาก Shey Palace เราจะต้องเดินขึ้นไปสักนิดนึงค่ะ ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้สูงมาก เเต่ด้วยร่างกายเรายังปรับสภาพไม่ได้ จึงทำให้เราค่อนข้างจะเหนื่อยเร็วค่ะ
Thiksay Monastery
มุมมหาชน น่าจะเป็นมุมนี้นะคะ ^^
Stok: เราเลือกที่จะขึ้นไปบน Big Buddha ไปถึงก็เห็นลามะกำลังเป่าอะไรซักอย่างอยู่ ทีเเรกให้ลามะหนุ่มๆเป่า เเต่เหมือนจะเป่ายังไม่เป็นเพราะไม่มีเสียงออกมา เลยต้องถึงมือลามะที่มีอายุขึ้นมาหน่อย

Shanti Stupa: มาถึงบนนี้วิวสวยมาก คนข้างข้างเยอะพอสมควรค่ะ เราก็เลยไปยืนดูวิวและก็ถ่ายวิวคนเดียว
ยืนไปสักพักก็มีลุงฝรั่งคนนึงมาทักเรา ซึ่งเราก็สังเกตุว่าลุงยืนมองวิวตรงนี้มาซักพัก โดยที่ไม่ถ่ายรูปเลย ลุงเเกก็ทักว่า รูปสวยนะ (ซึ่งความจริงเเล้วเราก็ถ่ายไปเรื่อย โฟกงโฟกัสอะไรไม่รู้จัก 555 เเต่ก็เข้าใจว่าลุงเเกคงอยากชวนคุย) เลยตอบไปว่าเเต้งกิ้ว เเกก็เลยชวนคุยยาวเลยทีนี้ เริ่มจากประโยคสุดฮิต
ลุง: ยูมาจากไหน
จขกท: มาจากประเทศไทย เเล้วยูหละ
ลุง: โอ้ ไอเคยไปอยู่ไทยมา 1 ปีนะ อยู่ที่เกาะเต่า เเล้วก็บอกว่าเป็นคนอังกฤษ
ลุง: เเล้วยูอยู่ที่ไหนของไทยเหรอ
จขกท: เซ็นทรัลออฟเเบงคอก 5555 ไม่รู้จะตอบยังไง ถ้าตอบว่าอยู่เลียบด่วนรามอินทรา ลุงจะรู้จักไม๊
ลุง: เเล้วยูทำอะไรอยู่ที่ไทย
จขกท: เป็นวิศวกรค่ะ เเล้วยูหละ
ลุง: (ทำหน้าไม่เชื่อ) จริงเหรอ ไอเป็นนักเขียนนะ
จขกท: เริ่มสนใจตรงที่ลุงเป็นนักเขียน เลยถามว่าเขียนเเนวไหนคะ
ลุง: เขียนเเนวนวนิยาย เเบบประมาณว่าเด็กชายคนนึงล่องเรือไปอีกทวีป จุดประสงค์ที่ลุงมาที่นี่เพื่อที่ปิดเล่มให้เสร็จ เลยต้องหาเเรงบันดาลใจ เเล้วก็ถามต่อว่า ทำไมคนไทยมาเที่ยวที่นี่เยอะจัง
จขกท: ตอบจากประสบการณ์ก็คือ คงมาจากสื่อ รีวิวต่างๆ เเละก็ไม่ไกลมากด้วย
ลุง: เเล้วยูเคยไปอังกฤษหรือยัง
จขกท: ยังเลยค่ะ ทำไมเหรอ
ลุง: อ่อ จะบอกว่าดีเเล้ว ไอจะบอกว่ายูไม่ได้พลาดอะไรในชีวิตเลย เพราะไอก็ไม่ชอบอยู่ประเทศตัวเอง ชอบอยู่ที่เเคนาดามากกว่า (ทำไมลุงกัดประเทศตัวเองยังงั้นนนน จขกท ก็ได้เเต่ขำ)
วันที่สี่ เราเดินทางไป Pangong Lake ค่ะ ซึ่งการจะเดินทางไปยัง Pangong Lake นั่นจะต้องมีผู้ร่วมเดินทางอย่างน้อย 2 คนนะคะ ไม่สามารถเดินทางไปคนเดียวได้ ดังนั้นเราจึงได้เพื่อนร่วมทางเป็นคุณลุงญี่ปุ่นชื่อ ฮิโรชิ เพิ่มมาอีกหนึ่งคน เนื่องจากคุณลุงเค้าเดินทางมาคนเดียว นี่จึงเป็นสาเหตุที่คุณลุงจะต้องมาจอยกับกลุ่มของพวกเราค่ะ โดยก่อนจะมาเราไกด์ก็ได้ทำใบผ่านทางให้เราเรียบร้อยค่ะ ตกคนละ 800 รูปี ซึ่งใบผ่านทางนี้จะใช้สำหรับไปนูบร้า ด้วยนะคะ โดยระหว่างทางไปทะเลสาบปันกอง เราก็จะผ่านถนนที่สูงอันดับ 3 ของโลกชื่อว่า Changla Pass
อย่างเเรกที่อยากจะบอกคนที่จะมาก็คือ ถ้าใครเมารถก็ควรเตรียมยาเเก้เมารถมาด้วยนะคะ เพราะเราเดินทางกันหลายชั่วโมงมาก เเล้วถนนก็โค้งเยอะมาก
เหมือนในคลิปนี้ค่ะ คือถ่ายไปเกร็งหน้าท้องไป ส่วนเเตรที่เค้าบีบกันบ่อยๆ เราก็ถามคนขับนะคะว่ามันไม่เสียมารยาทหรอบีบกันบ่อยๆ เค้าบอกว่าเป็นการให้สัญญาณซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่า ซึ่งบีบเเตรวันนึงนี่มากกว่ารถในไทยบีบกันทั้งปีอีกมั้งคะ

วิวระหว่างทางก็สวยมาก

อย่างที่บอกว่าเราจะผ่านทางที่สูงอันดับ 3 ของโลกด้วยค่ะ

ที่เราถ่ายรูปหันหลังเพราะว่า หน้าไม่สวยเชิญถ่ายวิวเลยค่ะ 55555 ไม่ได้จะอยากฮิปสเตอร์อะไรหรอกนะคะ
นั่งกันมาสักพักก็ถึงทะเลสาบปันกอง ซึ่งระหว่างทางเพื่อนที่มาด้วยกันก็เริ่มมีอาการเเพ้ความกดอากาศเเล้วค่ะ ก็จะมีอาการเวียนหัว อยากอาเจียน ทั้งๆที่ก็กินยาเตรียมมาตลอดนะคะ ดังนั้นยาจำเป็นมากเลย พอมาเห็นวิวข้างหน้าเเล้วรู้สึกหายเหนื่อยจากการเดินทางเลยค่ะ สวยมาก ทั้งฟ้าสดใส ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เเต่ลมเเรงมากจริงๆ หนาวสั่นกันไปหมด

วันนี้เราจะพักค้างคืนที่ปันกองกัน 1 คืนค่ะ โดยเราเลือกพักที่ Blue water Camp จะเป็นเต๊นท์ หันหน้าเข้าทะเลสาบเเละหันหลังให้กับภูเขาค่ะ สิ่งอำนวยความสะดวกก็จะมีห้องน้ำในตัว คืนนี้เองค่ะที่ จขกท รู้สึกว่าโดนอาการเเพ้ความสูงเล่นงานจนนอนไม่ได้เพราะรู้สึกจะอาเจียนตลอดเวลา บวกกับอากาศที่หนาวมาก กว่าจะสว่างก็เกือบเเย่ค่ะ

ก่อนเดินทางกลับเราก็ทานอาหารเช้า ซึ่งก็เหมือนทุกวันที่เคยทานกัน ก็จะมีไข่ดาว ขนมปังปิ้ง ชานม คือกินจนเบื่อไข่ไปเลยค่ะ ทริปนี้ เพราะคนที่นี่ส่วนใหญ่ทานมังสวิรัติกัน จขกท ใจจะขาด (
http://pantip.com/topic/35294031)
Leh-Ladakh ดินเเดน Slow Life EP-1
29-Apr BKK-DEL
30-Apr Leh Palace-Spituk-Sankar
01-May Leh-Shey-Thiksay-Hemis-Stok-Shanti Stupa-Leh
02-3May Leh-Pangong Lake-Spangmik-Leh (2days 1 night)
04-5May Leh-Nubra Valley - Hunder - sand dune -Diskit Monastery-Leh (2days 1 night)
06-May Leh-Alchi Monastery - Lamayuru Monastery - Likir Monastery-Leh
07-May Free
08-May DEL-BKK
สิ่งของจำเป็นที่อยากให้พกมาด้วย ได้เเก่ ยาเเพ้ความดันอากาศในที่สูงค่ะ โดยจะกินก่อนเดินทาง 3 วัน วันละเม็ดหลังอาหาร รวมทั้งยาเเก้เมารถค่ะ เพราะจะต้องนั่งอยู่ในรถเป็นระยะเวลานาน ถนนก็มีความคดเคี้ยว ชวนอ้วกเป็นอย่างมากค่ะ เรามาเริ่มต้นเดินทางไปด้วยกันเลยนะคะ
วันเเรก: เราเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ โดยสายการบิน Jet Airways (BKK-DEL-LEX) ซึ่ง จขกท จองได้ราคาประมาณ 16,000 บาทค่ะ โดยเราจะรอต่อเครื่องที่สนามบินเดลี ซึ่งเกือบทั้งคืนที่รอขึ้นเครื่องไปเลห์นั้น เราแทบจะไม่ได้นอนเลยค่ะ เพราะว่าในสนามบินจะเปิดเพลงดังมากตลอดทั้งคืน ที่นั่งก็นอนลำบากมากค่ะ ดังนั้นใครจะเตรียมผ้าไปปูนอนก็น่าจะดีนะคะ
วันที่สอง: เมื่อมาถึงเราก็เริ่มจากหาแทกซี่ไปยังที่พักเลยค่ะ โดยในคืนแรกและคืนที่สองเราจะพักกันที่ New Royal Guest House ซึ่งที่พักจะอยู่ใกล้ๆ กับ Leh Palace เดินไปได้ค่ะ เมื่อมาถึงที่พักเราก็คุยกับเจ้าของที่พักเรื่องเช่ารถสำหรับเที่ยวในวันอื่น โดยเราให้แผนการคร่าวๆ ที่เราเตรียมไป ให้เค้าดู ซึ่งราคาที่ตกลงกันก็คือ จะลดไปอีก 10% จากราคาที่โชว์ รถที่เราเลือกจะเป็น Lenovo 6 ที่นั่งค่ะ จะได้นั่งกันสบายๆ หน่อย และทุกคนก็จะได้เห็นวิวกันครบทุกคน
หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เพื่อนกับแฟนก็ขอพักก่อน เราก็ขอตัวไปที่ Leh Palace คนเดียวค่ะ เดินไปเรื่อยๆ ก็คงจะถึง ซึ่งทางเดินก็จะเป็นซอยเล็กๆ มีป้ายบอกตลอดทางค่ะ ไม่ยากเลย แค่เหนื่อย และก็เวลาเดินต้องคอยระวังขี้หมา แหะๆ พอขึ้นไปซักพักก็ขอหยุดพักหน่อย เพราะร่างกายยังปรับสภาพไม่ค่อยได้ เดินนิดเดียวก็เหนื่อยแล้วค่ะ เลยได้โอกาสให้น้องที่นั่งอยู่แถวนั้นถ่ายรูปให้หน่อย เพราะวิวข้างหลังสวยมาก มองเห็นหมู่บ้านข้างล่าง และก็ภูเขาสูงใหญ่ที่มีหิมะปกคลุม แต่ๆๆๆๆๆ สิ่งที่เราคิดกับภาพที่เราได้ มันต่างกันลิบลับค่ะ ดูกันเอาเองละกันนะคะ (ไหนวิวภูเขาพี่ละหนู ร้องไห้หนักมากกกกก)
เมื่อเดินมาถึงข้างบนเราก็จะต้องจ่ายค่าเข้า ด้วยความที่ จขกท ขี้เกียจอ่านป้ายว่าค่าเข้าเท่าไหร่ เจ้าหน้าที่จึงเรียกเก็บ 200 รูปี เเต่ จขกท มารู้จากเพื่อนที่ขึ้นไปทีหลังว่าจริงๆ นักท่องเที่ยวไทย ค่าเข้าเพียง 15 รูปเท่านั้น คือถ้าไม่รู้ก็จะไม่เซ็งใช่ไหมคะ เท่าไหร่ก็จ่ายอยู่เเล้ว เเต่พอรู้ว่าคนอื่นเค้าจ่ายเเค่ 15 รูปีนี่ทำเราเซ็งเเบบสุดๆ ค่ะ เเละที่เซ็งกว่านั้นก็คือ เราถ่ายรูปป้ายมาด้วยนะ เเต่ทำไมตัวเองไม่ยอมอ่าน 555 นี่คือหลักฐานว่าถ่ายมาจริงๆค่ะ เห็นไหมคะที่เป็นเเผ่นกระดาษ A4 เเปะอยู่ TT
วิวเเรกที่เห็นเมื่อขึ้นมาถึงบนพระราชวังเลห์ค่ะ
วันที่สาม เราเลือกเที่ยวใกล้ๆ กับเมืองเลห์ก่อน เนื่องจากต้องการปรับสภาพร่างกาย ก่อนเดินทางไปทะเลสาปปันกองในวันต่อไป โดยวันนี้ได้เพื่อนร่วมทางเป็นคุณลุงญี่ปุ่นชื่อ ฮิโรชิ เพิ่มมาอีกหนึ่งคน เนื่องจากคุณลุงเค้าเดินทางมาคนเดียว ไกด์จึงถามเราว่าจะมีปัญหาอะไรรึเปล่าถ้ามีคนขอร่วมเดินทางไปกับพวกเรา พวกเราจะได้ลดค่าใช้จ่ายด้วยนะ ซึ่งพวกเราก็ยินดีที่จะให้คุณลุงมาร่วมเดินทางไปกับเราค่ะ วันนี้เเผนของพวกเราก็คือไป Leh-Shey-Thiksay-Hemis-Stok-Shanti Stupa-Leh
เริ่มจาก Shey Palace เราจะต้องเดินขึ้นไปสักนิดนึงค่ะ ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้สูงมาก เเต่ด้วยร่างกายเรายังปรับสภาพไม่ได้ จึงทำให้เราค่อนข้างจะเหนื่อยเร็วค่ะ
Thiksay Monastery
มุมมหาชน น่าจะเป็นมุมนี้นะคะ ^^
Stok: เราเลือกที่จะขึ้นไปบน Big Buddha ไปถึงก็เห็นลามะกำลังเป่าอะไรซักอย่างอยู่ ทีเเรกให้ลามะหนุ่มๆเป่า เเต่เหมือนจะเป่ายังไม่เป็นเพราะไม่มีเสียงออกมา เลยต้องถึงมือลามะที่มีอายุขึ้นมาหน่อย
Shanti Stupa: มาถึงบนนี้วิวสวยมาก คนข้างข้างเยอะพอสมควรค่ะ เราก็เลยไปยืนดูวิวและก็ถ่ายวิวคนเดียว
ยืนไปสักพักก็มีลุงฝรั่งคนนึงมาทักเรา ซึ่งเราก็สังเกตุว่าลุงยืนมองวิวตรงนี้มาซักพัก โดยที่ไม่ถ่ายรูปเลย ลุงเเกก็ทักว่า รูปสวยนะ (ซึ่งความจริงเเล้วเราก็ถ่ายไปเรื่อย โฟกงโฟกัสอะไรไม่รู้จัก 555 เเต่ก็เข้าใจว่าลุงเเกคงอยากชวนคุย) เลยตอบไปว่าเเต้งกิ้ว เเกก็เลยชวนคุยยาวเลยทีนี้ เริ่มจากประโยคสุดฮิต
ลุง: ยูมาจากไหน
จขกท: มาจากประเทศไทย เเล้วยูหละ
ลุง: โอ้ ไอเคยไปอยู่ไทยมา 1 ปีนะ อยู่ที่เกาะเต่า เเล้วก็บอกว่าเป็นคนอังกฤษ
ลุง: เเล้วยูอยู่ที่ไหนของไทยเหรอ
จขกท: เซ็นทรัลออฟเเบงคอก 5555 ไม่รู้จะตอบยังไง ถ้าตอบว่าอยู่เลียบด่วนรามอินทรา ลุงจะรู้จักไม๊
ลุง: เเล้วยูทำอะไรอยู่ที่ไทย
จขกท: เป็นวิศวกรค่ะ เเล้วยูหละ
ลุง: (ทำหน้าไม่เชื่อ) จริงเหรอ ไอเป็นนักเขียนนะ
จขกท: เริ่มสนใจตรงที่ลุงเป็นนักเขียน เลยถามว่าเขียนเเนวไหนคะ
ลุง: เขียนเเนวนวนิยาย เเบบประมาณว่าเด็กชายคนนึงล่องเรือไปอีกทวีป จุดประสงค์ที่ลุงมาที่นี่เพื่อที่ปิดเล่มให้เสร็จ เลยต้องหาเเรงบันดาลใจ เเล้วก็ถามต่อว่า ทำไมคนไทยมาเที่ยวที่นี่เยอะจัง
จขกท: ตอบจากประสบการณ์ก็คือ คงมาจากสื่อ รีวิวต่างๆ เเละก็ไม่ไกลมากด้วย
ลุง: เเล้วยูเคยไปอังกฤษหรือยัง
จขกท: ยังเลยค่ะ ทำไมเหรอ
ลุง: อ่อ จะบอกว่าดีเเล้ว ไอจะบอกว่ายูไม่ได้พลาดอะไรในชีวิตเลย เพราะไอก็ไม่ชอบอยู่ประเทศตัวเอง ชอบอยู่ที่เเคนาดามากกว่า (ทำไมลุงกัดประเทศตัวเองยังงั้นนนน จขกท ก็ได้เเต่ขำ)
วันที่สี่ เราเดินทางไป Pangong Lake ค่ะ ซึ่งการจะเดินทางไปยัง Pangong Lake นั่นจะต้องมีผู้ร่วมเดินทางอย่างน้อย 2 คนนะคะ ไม่สามารถเดินทางไปคนเดียวได้ ดังนั้นเราจึงได้เพื่อนร่วมทางเป็นคุณลุงญี่ปุ่นชื่อ ฮิโรชิ เพิ่มมาอีกหนึ่งคน เนื่องจากคุณลุงเค้าเดินทางมาคนเดียว นี่จึงเป็นสาเหตุที่คุณลุงจะต้องมาจอยกับกลุ่มของพวกเราค่ะ โดยก่อนจะมาเราไกด์ก็ได้ทำใบผ่านทางให้เราเรียบร้อยค่ะ ตกคนละ 800 รูปี ซึ่งใบผ่านทางนี้จะใช้สำหรับไปนูบร้า ด้วยนะคะ โดยระหว่างทางไปทะเลสาบปันกอง เราก็จะผ่านถนนที่สูงอันดับ 3 ของโลกชื่อว่า Changla Pass
อย่างเเรกที่อยากจะบอกคนที่จะมาก็คือ ถ้าใครเมารถก็ควรเตรียมยาเเก้เมารถมาด้วยนะคะ เพราะเราเดินทางกันหลายชั่วโมงมาก เเล้วถนนก็โค้งเยอะมาก
เหมือนในคลิปนี้ค่ะ คือถ่ายไปเกร็งหน้าท้องไป ส่วนเเตรที่เค้าบีบกันบ่อยๆ เราก็ถามคนขับนะคะว่ามันไม่เสียมารยาทหรอบีบกันบ่อยๆ เค้าบอกว่าเป็นการให้สัญญาณซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่า ซึ่งบีบเเตรวันนึงนี่มากกว่ารถในไทยบีบกันทั้งปีอีกมั้งคะ
วิวระหว่างทางก็สวยมาก
อย่างที่บอกว่าเราจะผ่านทางที่สูงอันดับ 3 ของโลกด้วยค่ะ
ที่เราถ่ายรูปหันหลังเพราะว่า หน้าไม่สวยเชิญถ่ายวิวเลยค่ะ 55555 ไม่ได้จะอยากฮิปสเตอร์อะไรหรอกนะคะ
นั่งกันมาสักพักก็ถึงทะเลสาบปันกอง ซึ่งระหว่างทางเพื่อนที่มาด้วยกันก็เริ่มมีอาการเเพ้ความกดอากาศเเล้วค่ะ ก็จะมีอาการเวียนหัว อยากอาเจียน ทั้งๆที่ก็กินยาเตรียมมาตลอดนะคะ ดังนั้นยาจำเป็นมากเลย พอมาเห็นวิวข้างหน้าเเล้วรู้สึกหายเหนื่อยจากการเดินทางเลยค่ะ สวยมาก ทั้งฟ้าสดใส ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เเต่ลมเเรงมากจริงๆ หนาวสั่นกันไปหมด
วันนี้เราจะพักค้างคืนที่ปันกองกัน 1 คืนค่ะ โดยเราเลือกพักที่ Blue water Camp จะเป็นเต๊นท์ หันหน้าเข้าทะเลสาบเเละหันหลังให้กับภูเขาค่ะ สิ่งอำนวยความสะดวกก็จะมีห้องน้ำในตัว คืนนี้เองค่ะที่ จขกท รู้สึกว่าโดนอาการเเพ้ความสูงเล่นงานจนนอนไม่ได้เพราะรู้สึกจะอาเจียนตลอดเวลา บวกกับอากาศที่หนาวมาก กว่าจะสว่างก็เกือบเเย่ค่ะ
ก่อนเดินทางกลับเราก็ทานอาหารเช้า ซึ่งก็เหมือนทุกวันที่เคยทานกัน ก็จะมีไข่ดาว ขนมปังปิ้ง ชานม คือกินจนเบื่อไข่ไปเลยค่ะ ทริปนี้ เพราะคนที่นี่ส่วนใหญ่ทานมังสวิรัติกัน จขกท ใจจะขาด (http://pantip.com/topic/35294031)