มิงกะละบา เที่ยวพม่าหน้าฝน...สวยอย่าบอกใคร (5-7 มิถุนายน 2559)

สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกน๊าาาผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ด้วยค่ะ

การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นแบบกระทันหันและจัดการจองตั๋วเครื่องบินอย่างรวดเร็วเพราะเป็นตั๋วโปรของแอร์เอเชีย (รวมๆ แล้วก็ไม่ได้ถูกเท่าไหร่นะ 555)
กว่าจะเดินทางก็เรียกว่าจองกันข้ามปีล่ะ คือจอง 23 พฤศจิกายน 2558 เดินทาง 5-8 มิถุนายน 2559 ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝนของพม่าล่ะ...
แต่ตอนจองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพม่าเลยเห็นมีที่ว่างก็กดป้าบบบทันที.. อมยิ้ม07อมยิ้ม07




หลังจากจองตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้วก็พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในพม่าตามเว็ปต่างๆ และก็ตามกระทู้ในพันทิปนี่แหล่ะ
แต่...โอ้โห!!ทำไมเขาไปกันหลายวันจัง แล้วเราไปแค่ 3 วันจะเที่ยวได้อย่างเขาไหม แถมแต่ละคนถ่ายรูปกันมาสวยๆ ทั้งนั้นเลย
หลังจากนั่งทำใจอยู่พักนึงก็คิดได้ว่า เอ้ยยยยยย!! ยังไม่ได้จองโรงแรมที่พัก ก็เลยค้นหาและจองผ่าน agoda.com และ booking.com

ก่อนถึงวันเดินทางประมาณ 1 สัปดาห์ ก็เกิดปัญหาให้ต้องปวดหัวเมื่อได้รับคำแนะนำจากเพื่อนๆ พี่ๆหลายท่านว่า
การขึ้นไปนมัสการพระธาตุอินทร์แขวนนั้นควรพักบนเขาไจ้ทิโย (Kyaikhtiyo) นั้นแหล่ะ เพื่อให้สามารถนมัสการได้ครบ 3 ครั้ง
แถมรถบรรทุก 6 ล้อที่จะพาเราขึ้นไปบนเขาไจ้ทิโยเที่ยวสุดท้ายหมดเวลา 18.00 น.

ซวยล่ะสิ!!!

เพราะโรงแรมที่เราจองผ่าน agoda.com นั้น อยู่ด้านล่างและห่างจากพระธาตุประมาณ 14 กิโลเมตรเลยทีเดียว
เราเลยรีบส่งเมล์หาบริษัททัวร์ที่สามารถจองโรงแรมบนเขาไจ้ทิโย ซึ่งส่วนใหญ่จะปฏิเสธเพราะเขาจะรับจองเฉพาะคนที่ไปทัวร์กับเขา
แต่สุดท้ายเราก็ได้รับการติดต่อจากวิลเลี่ยม (บริษัท Around Myanmar Travels & Tours) ว่าเขาสามารถจองที่พักบนเขาไจ้ทิโยให้เราได้

การยกเลิกการจองโรงแรมผ่าน agoda.com จึงเริ่มขึ้นในช่วงเวลา 45 นาทีสุดท้ายก่อนการหักเงินผ่านบัตรเครดิตจะเกิดขึ้น
และจัดการจองโรงแรม The Mountain Top ในราคาห้องละ 78 USD กับวิลเลี่ยมอย่างรวดเร็ว

ก่อนเดินทางก็มีกังวลบ้างทั้งเรื่องภาษา การเช่ารถ อาหารการกิน โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย
แต่หลังจากกลับมาก็ได้รู้ว่าการไปเที่ยวพม่าและการใช้ชีวิตในพม่านั้นไม่ลำบากเลย ออกจะสะดวกสบายด้วยซ้ำไป

อ้อลืมบอกไป..การเดินทางครั้งนี้มีผู้ร่วมชะตากรรมด้วยกัน 4 คนค่ะ

อมยิ้ม17เรามาเตรียมตัวกันสักนิดเนาะอมยิ้ม17

เรื่องแรก คือ เวลาที่พม่าจะช้ากว่าเวลาไทย 30 นาที เมื่อถึงสนามบินย่างกุ้งควรปรับเวลาให้เรียบร้อยนะคะจะได้ไม่งง

เรื่องที่สอง คือ แนะนำให้ใช้ซิมการ์ดของพม่า แทนการเปิด Roaming ขอบอกว่า 3G พม่าเร็วกว่าบ้านเรานะ
เท่าที่เห็นเหมือนจะมีหลายบริษัทแต่ที่จำได้คือ Telenor และ Ooredoo
เราเลือกใช้ซิม Ooredoo ราคา 1500 จ๊าด เติมเงิน 3000 จ๊าด ได้เน็ต 550 mb เพิ่มโบนัส 100% คืออีก 550 mb นะเอออ (คิดเป็นเงินไทยรวมแล้วประมาณ 130 บาท ถูกกว่า Roaming ไปเยอะเลย)

โปรโมชั่นตามนี้ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

นี่เป็นหน้าตาของบัตรเติมเงินค่ะ ราคา 5000 จ๊าด (120 บาท) ขูดๆใช้เหมือนบ้านเราแหล่ะ


เรื่องที่สาม คือ เป็นเรื่องปกติที่คนพม่าทั้งชายและหญิงจะเคี้ยวหมากแล้วบ้วนน้ำหมากลงพื้น ดังนั้นเตรียมผ้าปิดจมูก (Mask) ไปด้วยก็ดีนะ

เรื่องที่สี่ คือ เวลาทานอาหารในร้านใหญ่ๆ นอกจากค่าภาษี Commercial TAX  5% แล้วยังมีค่า Service charge อีก 5% ด้วยนะจ๊ะ


เรื่องที่ห้า คือ การเข้าเยี่ยมชมศาสนสถานของประเทศพม่าทุกแห่ง ต้องถอดรองเท้า ถุงเท้า เดินเท้าเปล่าเข้าไปกราบไหว้บูชาเท่านั้น

เรื่องที่หก คือ ราคาน้ำมันที่พม่า อยู่ที่ประมาณ 15 บาทต่อลิตร (บอกไว้ให้อิจฉาเฉยๆ) 555

เรื่องที่เจ็ด คือ ควรแลกเงินดอลล่าร์ (USD) จากไทยไป แล้วไปแลกเป็นเงินจ๊าด (MMK) ที่สนามบินย่างกุ้ง

อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2559
1 USD = 36 THB = 1200 MMK (1 ดอลลาร์ = 36 บาท = 1200 จ๊าด)
(1 บาท = 33 จ๊าด)

ถ้าคิดเป็นตัวเลขกลมๆ ก็ประมาณ 30 บาท = 1000 จ๊าด (นับแบงก์กันมึนเลยทีเดียวล่ะ)

และนี่คือแผนการเดินทางของเรา
5 มิถุนายน : 1.Kyaik Pun Pagoda 2.Swe Thar Lyaung 3.Baying Nyaung Place 4.Swe Mawdaw Pagoda 5.Kyaikhteeyo Hill Pagoda
6 มิถุนายน : 6.Kyaikpawlaw  7.Sware Taw Pagoda 8.Marble Pagoda, 9.Chauk Htat Gyi, 10.Swedagon Pagoda
7 มิถุนายน : 11.Mahamuni Buddha, 12.MahaBandoola Garden 13.Botadaung Pagoda 14.Shopping souvenir (Scott Market) / Airport

เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้วก็ลุยกันเลย...อมยิ้ม17อมยิ้ม17

วันแรกของการเดินทาง 5 มิถุนายน 2559

เรามาพร้อมกันที่สนามบินดอนเมืองเวลา 05.00 น.ซึ่งเป็นเวลาที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา หลากหลายเชื้อชาติ ทุกคนดูเหมือนจะเร่งรีบเพื่อให้ทันเที่ยวบินของตนเอง...รวมถึงพวกเราด้วย
การเดินทางครั้งนี้พวกเราใช้บริการของสายการบิน AirAsia (Low Fare) เที่ยวบินที่ FD 251
ขาไปออกจากสนามบินดอนเมืองเวลา 07.00 น.
ถึงท่าอากาศยานนานาชาติย่างกุ้งเวลา 08.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นที่ช้ากว่าไทย 30 นาทีนะคะ)

หลังจากนั้นก็ประทับตรา ผ่าน ตม. เข้าประเทศพม่า

พวกเรารีบเดินออกมาหาติน Tint (หนุ่มใหญ่เจ้าของรถเช่าชาวพม่าที่นักท่องเที่ยวไทยหลายต่อหลายคนชื่นชมในการบริการของเขา)
ตินส่งน้องชายของเขามารอรับพวกเราโดยตัวของตินจะขับรถมารับเราที่ด้านหน้าสนามบิน
น้องชายตินเป็นคนพาเราไปแลกเงินจ๊าดและซื้อซิมการ์ดสำหรับใช้งานอินเตอร์เน็ต

หลังจากพบกับตินแล้วเขาก็พาพวกเราออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองพะโคหรือหงสาวดีทันที (ปล.ตินพูดภาษาอังกฤษได้ดี สำเนียงเข้าใจง่าย)
ระหว่างทางตินพาพวกเราแวะทานอาหารเช้า (Myanmar food)

พวกเราหิวมากไปหน่อยเลยไม่ได้ถ่ายภาพอาหารมื้อแรกของเราที่พม่ามาให้เพื่อนๆได้ชม มีแต่ภาพหน้าตาหล่อๆของติน


หลังทานอาหารเสร็จพวกเราก็เดินทางกันต่อ บรรยากาศ 2 ข้างทางก็คล้ายๆกับชานเมืองหรือต่างจังหวัดในบ้านเราทั้งต้นไม้และสภาพความเป็นอยู่

แต่ที่น่าแปลกและประหลาดใจอย่างมากคือ การใช้รถใช้ถนนของคนพม่าที่ดูหวาดเสียว สุ่มเสี่ยงต่อการทะเลาะวิวาทมากเมื่อเทียบกับประเทศไทยของเรา

คนเดินถนนข้ามถนนอย่างไม่กลัวรถ จักรยาน มอเตอร์ไซด์ขี่กลางถนนค่อนมาทางขวา (ประเทศพม่าขับรถเลนขวา)

มีการบีบแตรรัวๆใส่กันอย่างบ้าคลั่งไม่ยั้งในจุดที่การจราจรคับคั่ง

แต่...ไม่มีชนพม่าคนใดหันมามองตาขวาง หรือมองหน้าหาเรื่อง หรือลงจากรถเพื่อมาเคาะกระจกรถคันที่บีบแตรใส่


พวกเขาใจเย็นได้อีก!!!!!!

ฝนตั้งเค้าอีกแล้ว เมฆหมอกไม่แคล้ว ครอบคลุมครึ้มไป....(ฮัมเพลงเบาๆ)

สถานที่แรกที่ตินแวะ คือ สุสานทหาร อากาศดี เย็นสบายไม่มีแดดเพราะฝนกำลังจะตก

สุสานทหารนี้มีลักษณะคล้ายกับสุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก จังหวัดกาญจนบุรี
แต่...ไม่คล้ายตรงที่ที่สุสานทหารพม่าแห่งนี้เราจะพบเห็นคู่รักนั่งพูดคุยจับมือกันนนน อมยิ้ม11


หลังจากถ่ายรูปที่สุสานทหารเสร็จแล้วเราก็ขึ้นรถและเดินทางต่อ ฝนที่ตั้งเค้าก็เริ่มเทลงมา...

จนถึงสถานที่แห่งที่สองคือ เจดีย์ไจ๊ปุ่น

ที่นี่พวกเราต้องซื้อตั๋วสำหรับเข้าชมศาสนสถานต่างๆ (ทุกที่) ในพะโคหรือหงสาวดี ในอัตราคนละ 10000 จ๊าด (300 บาท)
นอกจากนี้ยังมีค่าดอกไม้ธูปเทียน และค่ากล้องถ่ายรูปด้วย คิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ 20-30 บาทค่ะ


"ไจ๊" คือ พระ หรือ เจดีย์   "ปุ่น" คือ 4
ดังนั้น พระเจดีย์จุ่น คือ พระเจดีย์ที่มีพระ 4 ทิศ โดยพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์ อายุกว่า 500 ปี หันพระพักตร์ไปยัง 4 ทิศ
สร้างขึ้นโดย 4 สาวพี่น้อง ที่อุทิศตนแด่พุทธศาสนา จึงสร้างพระพุทธรูปเพื่อแทนตนเอง และได้สาบานไว้ว่าจะไม่ข้องแวะกับบุรุษเพศ
ต่อมาน้องสาวคนสุดท้อง กลับพบรักกับชายหนุ่มและแต่งงานกัน จึงเกิดอาเพศฟ้าผ่าพระพุทธรูปที่แทนตัวของน้องสาวคนสุดท้องพังทลายลงมา จนต้องมีการสร้างขึ้นมาใหม่ตามที่เห็นในปัจจุบัน โดยพระพุทธรูปองค์นี้จะมีลักษณะแตกต่างจากองค์อื่น ๆ คือจะเป็นศิลปะแบบพม่า
เมื่อมีการบูรณะวัดนี้ เมื่อ พ.ศ.2019 พระเจดีย์แห่งนี้ มีพระพุทธรูปปางประทับนั่งโดยรอบทั้ง 4 ทิศ ได้แก่
สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ
พระพุทธเจ้าโกนาคมโน หันพระพักตร์ไปทางทิศใต้
พระพุทธเจ้ากกุสันโธ หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
พระพุทธเจ้ามหากัสสปะ หันพระพักตร์ไปในทิศตะวันตก
(ขอบคุณข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับเจดีย์ไจ๊ปุ่นจาก oceansmile.com ค่ะ)

หลังจากนั้นก็แวะนมัสการพระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว

เป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์อันดับสองของเมืองหงสาวดี รองจากพระมหาธาตุมุเตา
และเป็นพระพุทธไสยาสน์ที่มีความยาว 181 ฟุต สูง 52 ฟุต สร้างโดยพระเจ้าเมงกะติปะ พ.ศ.1537 ในสมัยมอญเรืองอำนาจ มีพุทธลักษณะงดงาม โดยจะวางพระบาทเหลื่อมพระบาท ต่างจากพระพุทธไสยาสน์ของไทยที่นิยมวางพระบาทเสมอกัน
เล่าขานว่าเป็นพระรูปสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน

ด้านหลังองค์พระมีภาพวาดเล่าขานตำนานว่า มีพระราชาองค์หนึ่งไม่ศรัทธาพุทธศาสนา ทรงลุ่มหลงบูชายักษ์ตนหนึ่งขนาดปั้นรูปไว้กราบไหว้ วันหนึ่งขณะที่พระราชาเสด็จประพาสป่าพร้อมพระโอรส และพระโอรสไปพบสาวบ้านกำลังอาบน้ำอยู่ในลำธารก็เกิดความหลงรัก ถึงกับพากลับเข้าวัง แต่สาวเจ้าอันเชิญพระพุทธรูปไปบูชาในวังด้วย ทำให้พระราชากริ้วมาก ถึงขั้นสั่งให้ทหารจับพระโอรสและคนรักมัดรวมกันเพื่อจะประหาร แต่ชาวบ้านได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าถ้าพระพุทธเจ้ามีจริงก็ขอให้นางแคล้วคลาด ปรากฏว่าเชือกขาดโดยพลัน ขณะที่รูปปั้นยักษ์แตกกระจาย พระราชาถึงกับทรงหันกลับมานับถือพุทธศาสนา และขอไถ่บาปด้วยการสร้างพระพุทธไสยาสน์เป็นเครื่องเตือนสติ

(ขอบคุณข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับพระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียวจาก oceansmile.com ค่ะ)

จากนั้นเข้าชมความยิ่งใหญ่ของพระราชวังบุเรงนอง เมืองหงสาวดี



หากพูดถึงกษัตริย์ที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเมืองหงสาวดีก็เห็นจะไม่มีกษัตริย์พระองค์ไหนโดดเด่นเท่า พระเจ้าบุเรงนอง
(หรือที่คนไทยรู้จักในดีจากวรรณกรรมเรื่อง“ผู้ชนะสิบทิศ”) เพราะเป็นผู้สร้างเมืองหงสาวดีให้เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก
โดยพระองค์ได้สร้างพระราชวังบุเรงนองขึ้นในปี พ.ศ. 2109 เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางทางการปกครองและใช้ออกว่าราชการ
ให้มีป้อมปราการเป็นมหานครกว้างขวาง พระราชวังตั้งอยู่ตรงกลางเมือง มีประตูซุ้มยอดด้านละ 3 ประตู
ให้เรียกตามชื่อเมืองประเทศราชที่ถูกเกณฑ์คนไปทำการ

(ขอบคุณข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับพระราชวังบุเรงนอง เมืองหงสาวดีจาก oceansmile.com ค่ะ)

อมยิ้ม02อมยิ้ม02 เดี๋ยวมาต่อนะคะ ^^
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่