แชร์ประสบการณ์ล้มเหลว อายุ27 จนเหลือศูนย์ สู่เงินล้าน

นี่เป็นกระทู้แรกของผมนะครับ
เขียนไม่ค่อยเป็น ผิดพลาดอะไร ก็ด่าได้ แต่อย่าแรงนะครับ

ปกติได้แต่อ่านของคนอื่นที่ประสบความสำเร็จกัน อยากทำได้แบบเค้าบ้าง
เลยมีความฝันว่าสักวันนึงจะได้นำเรื่องของตัวเองมาแชร์บ้าง

จะโพสตั้งแต่วันเสาร์ยังติดปัญหาว่าเลขบัตรประชาชนเคยสมัครแล้วเมื่อ2010
แต่ลืมอีเมลและรหัสเก่าไปละ ต้องมารื้อฟื้นใหม่ ในที่สุดก็ได้ลงแล้ววันนี้

ขอเริ่มต้นที่วัยเรียน ผมจบวัดสุทธิ ช่วงนั้นติดเพื่อน เกเรมาก ไม่เรียนเลย จบมาได้เกรด1.7
พ่อผมดักรอข้างล่างบ้าน เพราะผมกลับตี3-4ทุกวัน พ่อคุยกับผมว่าจะเรียนต่อไหม หรือจะเรียนราม ถ้าเรียนเอกชน เรียนอย่างนี้ พ่อไม่ส่ง เพราะพื้นฐานบ้านผมไม่ได้มีเงิน และเป็นหนี้จากปี40 ต้องขายบ้านทิ้งไป ผมจึงสัญญากับพ่อไว้ว่าจะตั้งใจเรียนมหาวิทยาลัย

ผมตั้งใจเรียนตามสัญญา เพราะอีกส่วนนึงค่าเทอมที่นี่แพงมาก ตกไม่ได้
แต่ผมก็สามารถทำเกรดAตัวแรกในชีวิต คือวิชาเลข
ทำให้ผมตั้งใจเรียนจนจบม.กรุงเทพ ภายใน 3ปีครึ่ง ด้วยเกรด3.27

ผมเริ่มทำงานที่แรกที่3เค แบตเตอรี่ ด้วยความที่ว่าผมอยากมีรายได้หลายทางตั้งแต่จบ
ผมกับพี่ที่บริษัทไปติดต่อเช่าลานเบียร์ เพื่อขายกับแกล้ม
บ้านผมอยู่สามย่าน ไปทำงาน8โมงที่อุดมสุข เลิกงาน6โมง ไปลานเบียร์1ทุ่ม เกษตรนวมินทร์ กลับตี2 เป็นอย่างนี้2เดือน แต่ผมก็พบว่าลานเบียร์ไม่ได้ขายดีทุกวัน ทุกที่
ที่ที่ขายดีที่สุดคือ ลานเซนทรัลเวิลด์ แต่ก็สนุก และมีความสุข แถมมีรายได้เสริมมานิดๆหน่อยๆ

ก่อนลาออกจาก3เค ผมก็เปิดบริษัททำอีเว้นท์ เพราะทำด้านการตลาดมา
แต่ด้วยหุ้นส่วนทุกคนต้องทำงานประจำไปด้วยจึงไม่มีเวลาหาลูกค้า บริษัทก็เลยต้องปิดตัวไป

ผมลาออก สมัครงานที่ใหม่ บริษัทขนมช๊อคโกแลตแท่งชื่อดัง
เห็นหน้าตึกมีร้านขายน้ำส้มขายดีมากเลย จึงไปรับน้ำพันซ์จากอี๊ มาส่งต่อ แรกๆก็ขายหมด
แต่หลังๆเจ้าของคิดว่ากำไรน้ำส้มเยอะกว่า จึงไม่ได้ขายต่อ

ช่วงนั้นเป็นช่วงหยุดสงกรานต์พอดี ผมก็ชอบเล่นน้ำ แต่อยากมีรายได้ด้วย
ผมจึงไปจองที่ขายที่สีลมเพื่อขายของทอด เฟรนซฟราย และน้ำดื่ม เบียร์
แต่ผมคิดผิดเรื่องขายของทอด เพราะ โดนน้ำกระเด็น และเฟรนซฟรายนิ่มหมด
แต่ก็ยังได้กำไรจากการขายน้ำนิดหน่อย

พอกลับไปทำงาน โดนผจกHR ผิดสัญญาที่จะปรับเงินเดือนขึ้น
ทั้งที่เซนต์ไว้ทั้ง2ฝ่าย อ้างว่าทำเอกสารผิด ผมรับไม่ได้กับเหตุผล

จึงย้ายมาอยู่สยามคูโบต้า ซึ่งเป็นบริษัทที่ดีที่สุดที่เคยทำงานมา
ผมทำที่ ทำให้ผมได้คลุกคลีกับเกษตรกร รู้ถึงความลำบากของเกษตรกร
เห็นว่าข้าวเกษตรกรอร่อยมาก แต่ทำการตลาดไม่เป็น
ผมเสนอว่าจะทำการตลาดให้ เค้าก็ตกลงที่จะให้เราดูแล และเอาส่วนต่างกำไรแบ่งกัน

ผมจ้างให้พี่ที่สนิทออกแบบแพคเกจ คิดอะไรเองทุกอย่าง
ทำเสร็จ พอส่งแบบโลโก้ให้ลูกเกษตรกรพิจารณา จากนั้นผมก็ติดต่อเค้าไม่ได้อีก
มาเห็นอีกทีในเฟสบุ๊คเค้า จึงรู้ว่า เค้าเลือกที่จะเอาแบบไปทำเอง ก็เลยต้องล้มเลิกไป

จากนั้นผมตัดสินใจอีกรอบ เอาเงินที่ผมเก็บมาตลอดการทำงาน ไปเรียนภาษา6เดือน
เพราะผมรู้ว่าผมอ่อนภาษา ระหว่างเรียนผมทำงานไปด้วยเก็บเงินมาได้ก้อนนึง

หลังจากกลับมา ก็ทำงานบริษัทนำเข้าส่งออกเหล็ก ได้สักพัก
เห็นว่าสเต็กลุงหนวดขายดีจัง อยากทำบ้าง
ก็ติดต่อไป แต่เค้าไม่ยอมขายแฟรนไชน์

โชคดีที่หน้าบ้านผม สามารถทำขายอาหารได้ ผมจึงตัดสินใจอีก
เอาเงินเก็บจากที่ทำงานต่างประเทศ ไปเปิดร้านสเต็กของตัวเองที่บ้าน แถวสุขสวัสดิ์
ผมไม่บอกใครในบ้าน เพราะรู้ว่าต้องโดนคัดค้านแน่ๆ ผมเลือกที่จะไปทำร่ม ทำป้าย ซื้อเตามาก่อน
เหมือนมัดมือชกแม่ผม ว่าผมซื้อมาแล้ว ยังไงก็ต้องเปิด

พอผมบอกแม่ว่าผมจะเปิดร้าน ก็เป็นอย่างที่ผมคิด แม่ผมคัดค้านทุกอย่าง
ผมก็บอกแม่ผมว่า ผมซื้ออุปกรณ์มาแล้ว แม่ผมจึงต้องยอม
เปิดมาเดือนแรกขายดีมาก จนแม่ผมต้องมาช่วย เป็นสิ่งนึงที่ผมภูมิใจ ที่ทำให้แม่ยอมรับในตัวผม
พอขายไปสักพัก ผมเห็นว่าสลัดกำไรดีมาก จึงไปเรียนทำน้ำสลัด และเปิดร้านสลัด ข้างๆตึกเอมไพร์
แต่ก็ยังขายไม่ดีเท่าที่ควร จึงคิดว่าน่าจะเป็นที่ทำเล และช่วงเวลาการขาย ออฟฟิศได้แค่5วัน
จึงติดต่อห้าง เดอะมอลกับ เซนทรัล ไปนำเสนอสินค้า เอาเข้าห้าง ปรากฎว่าทั้ง2ห้างตอบรับพร้อมกัน
ผมเป็นคนที่จะไม่ทิ้งโอกาส ผมตอบรับทั้ง2ที่ทันที และเร่งหาตู้สลัดมาลง
ดูเหมือนทุกอย่างจะไปได้สวย ผมขับรถผ่านแถวกรุงธน เห็นที่ปล่อยเช่าตรงตีนรถไฟฟ้า
น่าจะเปิดร้านน้ำได้ และคิดว่าหากมีหลายสาขา เราก็น่าจะมีรายได้เยอะขึ้น
ช่วงนั้นผมแทบไม่ได้นอนเลย ขับรถวนร้านโน้น ร้านนี้ตลอด
ผมเปิดทั้งหมด4ร้าน ภายในเวลา6เดือน มันรวดเร็วมาก
สุดท้ายบริหารไม่ไหว สินค้าไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐานของเรา
ต้องปิดร้านเกือบหมด เรียกสั้นๆ "เจ๊ง"
เหลือเพียงร้านสเต็กที่แรกที่เดียว ที่พอสร้างกำไร แต่ก็ลดน้อยลง

ในเวลานั้นผมรู้สึกว่าผมโคตรล้มเหลว ผมขายสเต็กไปน้ำตาไหลไป
กลับบ้านก็นั่งร้องไห้คนเดียวทุกคืน ท้อแท้และ ไม่มีแรงจะทำอะไรเลย
จากเป็นคนที่มีพลังมาก มันหายไปไหนหมดอย่างรวดเร็ว

ผมถามตัวเองตลอด ว่าเป็นเพราะอะไร ก็ตอบตัวเองไม่ได้
สิ่งนึงที่ทำให้ไปต่อเพราะผมนึกถึงป๊า กับม๊า ที่สู้และเลี้ยงผมมา จนทำให้ผมมีทุกวันนี้
ผมจะยอมแพ้ไม่ได้!!!

ผมต้องพัฒนาตัวเอง ผมตัดสินใจว่าผมจะลงเรียนสัมมนาเดือนละครั้ง
อ่านหนังสือ เดือนละ4เล่ม ฟังหนังสือเสียงในรถ ตลอดเวลา ซื้อแล้วซื้ออีก
เรียนสัมมนาทุกเรื่องที่สามารถพัฒนาตัวเอง แม้ไม่มีเงิน ผมก็หามาเรียนจนได้
การเข้าสัมมนา ทำให้ผมรู้จักคนที่ประสบความสำเร็จเยอะขึ้น
ทำให้ผมเห็นโลกอีกแบบนึง โลกที่ทุกอย่างเป็นไปได้!!!

ผมตั้งเป้าหมาย ใหม่ เขียนมันออกมา ทำให้ชัดเจนขึ้น แล้วดูตัวเองว่าอยู่ตรงไหน..
และมองหาว่าสิ่งไหนที่จะทำให้ผมไปถึงเป้าหมายได้

จากที่ผมนั่งคิดทบทวนประสบการณ์ทั้งหมด ทำให้ผมรู้คำตอบ ที่ผมค้นหา ว่าทำไมถึงล้มเหลว คือ
ผมมีเป้าหมายไม่ชัดเจน ไม่โฟกัส เข็นครกขึ้นภูเขาทีละหลายครกในคราวเดียว และที่สำคัญไม่เคยบริหารเงินผมเลย !!! มีเท่าไหร่ใส่ไปหมด จึงรู้ว่า

"การหาเงินเยอะ ไม่สำคัญเท่า การบริหารจัดสรรเงินเป็น "

ผมไปเรียนรู้และลงมือทำจริงอีกครั้ง อสังหา การลงทุน และการบริหารเงินไปด้วย
ทำให้ผมรู้ว่าต้องบริหารเงินอย่างไรให้ถึงเป้าหมาย ผมจึงเอาเทคนิคนี้ไปแบ่งปัน และช่วยบริหารให้คนอื่นๆ
ในการวางเป้าหมาย การลงทุน หุ้น กองทุน อสังหา การออมเงิน การกระจายความเสี่ยง
ทำให้ผมมีรายได้จากอสังหา สินค้าการเงิน และการลงทุน

นี่คือประสบการณ์จริงๆทำให้ผมมี เงินล้าน ได้ในอายุ27

ทั้งหมดนี้แค่อยากจะบอกว่า ผมเคยล้มเลิก และล้มเหลว มาไม่รู้กี่ครั้ง
แต่ผมไม่ยอมแพ้ ผมเข้าใจคนที่ท้อแท้ดีครับ
ใครที่กำลังท้อแท้ เพราะเริ่มจากศูนย์เหมือนกัน
และยังไปไม่ถึงฝัน ถ้าผมสามารถช่วยอะไรได้
ผมจะช่วยเต็มที่ สู้ๆนะครับ

เชียง วศิน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่