ผมยังจำได้ถึงกรณีที่มีแอร์โฮสเตสของสายการบินคาเธย์แปซิฟิกท่านหนึ่งโพสต์ในFacebook ของเธอ ว่าต้องการเอากาแฟราดหัวของผู้โดยสารท่านห
นึ่งที่เธอเกลียดรวมทั้งเอาใบรายชื่อผู้โดยสารออกมาเปิดเผย
ความรับผิดชอบของสายการบินที่มีต่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร และภาพลักษณ์องกรที่รับผิดชอบต่อสังคม คือให้เธอยุติการปฏิบัติงานของเธอในสายการบิน
ผมยังจำได้ถึงกรณีชายหนุ่มคนหนึ่งบอกแอร์โฮสเตสบนเครื่องบินสายการบินไลอ้อนแอร์ว่าในกระเป๋ามีระเบิด.
ความรับผิดชอบของสายการบินที่มีต่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร และภาพลักษณ์องกรที่รับผิดชอบต่อสังคม คือ ระงับเที่ยวบินตรวจสอบเครื่องบินอีกครั้ง และเอาผิดกับชายหนุ่มคนนั้น
ทั้งสองกรณีดูเหมือนเรื่องตลกที่ทำเกินกว่าเหตุในสายตาของหลายๆคนในสังคม
แต่ในสายตาผู้โดยสารกลับรับรู้ได้ถึงความเข้มงวดของสายการบินที่ยึดถือความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเหนืออื่นใด
อาจแตกต่างกันบ้างกับสายการบินในเยอรมันที่ ผู้ช่วยนักบินเคยบ่นและเปรยเล่นๆว่าอยากฆ่าตัวตาย. เนื่องจากมันเป็นคำเปรยธรรมดาจึงไม่มีใครคิดว่าจะกลายเป็นโศกนาฏกรรม ทำลายชีวิตของผู้โดยสารที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยทั้งลำ
ในกรณีล่าสุดที่เกิดกับสายการบินนกแอร์ ก็ดูเป็นเรื่องตลกในคำพูดเล่นๆเปรยเล่นๆ
ของนักบิน. แต่ในฐานะของผู้โดยสารผมคงไม่กล้าเอาความปลอดภัยของผมและครอบครัวไปแขวนอยู่กับทัศนคติทางการเมืองของผู้ให้บริการในการบิน
แม้จะเข้าใจว่ามันเป็นเพียงมุขตลก. เพียงแต่ลึกๆในใจก็แอบระแวงไม่ได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าท่านเกิด"รักชาติ"ขึ้นมาในขณะที่ผมเป็นผู้โดยสารอยู่
ถ้าเลือกได้ผมคงเลือกที่จะไว้วางใจสายการบินที่เข้มงวดต่อความปลอดภัยและยึดถือสวัสดิภาพของผู้โดยสารเป็นสิ่งสำคัญที่สุดมากกว่าจะใช้บริการสายการบินที่ผมต้องเดินทางด้วยความระแวงตลอดเวลา
มีบางท่านแนะนำว่า"ก็อย่าเดินทางในเที่ยวบินเดียวกับคนเหล่านั้นสิ"จะยากอะไร
เรียนตามตรงว่า ผมจะทราบได้อย่างไร(ชื่อผู้โดยสารเป็นความลับของสายการบิน)
และแกนนำเสื้อแดงก็มีตั้งหลายคนจะทราบได้อย่างไรว่าจะต้องหลีกเลี่ยงการเดินทางกับคนไหนบ้าง
และที่สำคัญ ทำไมผมต้องลำบากลำบนหรือพยายาม ทำเช่นนั้นในเมื่อมีอีกอย่างน้อย2สายการบินที่เขาพิสูจน์แล้วว่า เขาเข้มงวดจริงจังต่อกรณีเหล่านี้
"ลมธรรม"
มาตราฐานความปลอดภัยของผู้โดยสารเครื่องบิน เรื่องตลก จริงๆหรือ
นึ่งที่เธอเกลียดรวมทั้งเอาใบรายชื่อผู้โดยสารออกมาเปิดเผย
ความรับผิดชอบของสายการบินที่มีต่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร และภาพลักษณ์องกรที่รับผิดชอบต่อสังคม คือให้เธอยุติการปฏิบัติงานของเธอในสายการบิน
ผมยังจำได้ถึงกรณีชายหนุ่มคนหนึ่งบอกแอร์โฮสเตสบนเครื่องบินสายการบินไลอ้อนแอร์ว่าในกระเป๋ามีระเบิด.
ความรับผิดชอบของสายการบินที่มีต่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร และภาพลักษณ์องกรที่รับผิดชอบต่อสังคม คือ ระงับเที่ยวบินตรวจสอบเครื่องบินอีกครั้ง และเอาผิดกับชายหนุ่มคนนั้น
ทั้งสองกรณีดูเหมือนเรื่องตลกที่ทำเกินกว่าเหตุในสายตาของหลายๆคนในสังคม
แต่ในสายตาผู้โดยสารกลับรับรู้ได้ถึงความเข้มงวดของสายการบินที่ยึดถือความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเหนืออื่นใด
อาจแตกต่างกันบ้างกับสายการบินในเยอรมันที่ ผู้ช่วยนักบินเคยบ่นและเปรยเล่นๆว่าอยากฆ่าตัวตาย. เนื่องจากมันเป็นคำเปรยธรรมดาจึงไม่มีใครคิดว่าจะกลายเป็นโศกนาฏกรรม ทำลายชีวิตของผู้โดยสารที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยทั้งลำ
ในกรณีล่าสุดที่เกิดกับสายการบินนกแอร์ ก็ดูเป็นเรื่องตลกในคำพูดเล่นๆเปรยเล่นๆ
ของนักบิน. แต่ในฐานะของผู้โดยสารผมคงไม่กล้าเอาความปลอดภัยของผมและครอบครัวไปแขวนอยู่กับทัศนคติทางการเมืองของผู้ให้บริการในการบิน
แม้จะเข้าใจว่ามันเป็นเพียงมุขตลก. เพียงแต่ลึกๆในใจก็แอบระแวงไม่ได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าท่านเกิด"รักชาติ"ขึ้นมาในขณะที่ผมเป็นผู้โดยสารอยู่
ถ้าเลือกได้ผมคงเลือกที่จะไว้วางใจสายการบินที่เข้มงวดต่อความปลอดภัยและยึดถือสวัสดิภาพของผู้โดยสารเป็นสิ่งสำคัญที่สุดมากกว่าจะใช้บริการสายการบินที่ผมต้องเดินทางด้วยความระแวงตลอดเวลา
มีบางท่านแนะนำว่า"ก็อย่าเดินทางในเที่ยวบินเดียวกับคนเหล่านั้นสิ"จะยากอะไร
เรียนตามตรงว่า ผมจะทราบได้อย่างไร(ชื่อผู้โดยสารเป็นความลับของสายการบิน)
และแกนนำเสื้อแดงก็มีตั้งหลายคนจะทราบได้อย่างไรว่าจะต้องหลีกเลี่ยงการเดินทางกับคนไหนบ้าง
และที่สำคัญ ทำไมผมต้องลำบากลำบนหรือพยายาม ทำเช่นนั้นในเมื่อมีอีกอย่างน้อย2สายการบินที่เขาพิสูจน์แล้วว่า เขาเข้มงวดจริงจังต่อกรณีเหล่านี้
"ลมธรรม"