สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
อยากบอกว่า
คุณ จขกท.ยังไม่เคยอ่านพระไตรปิฎก
หรืออ่านแล้วไม่รู้เรื่อง จากนั้นก็ฟันธงมั่วๆ
พระพุทธเจ้าชื่อว่า"สัพพัญญู"
สัพพัญญูแปลว่า"ผู้รู้สิ่งทั้งปวง"
ผู้รู้สิ่งทั้งปวงเห็น"มาร"
แต่ยังไม่รู้จักเป็นไปได้ไหม?
คำตอบคือ "เป็น ไป ได้"
เพราะความรู้สิ่งทั้งปวงของพระพุทธเจ้า
จะรู้เมื่อต้องการจะรู้เท่านั้น
ไม่ใช่รู้ตะพึดตะพือ หลับก็รู้ ตื่นก็รู้ ไม่อยากก็รู้
เห็นมารครั้งแรกก็รู้
แบบนั้นมันไม่ใช่...
คนที่เชื่ออย่างนั้น คุณกำลัง
"กล่าวตู่พระพุทธองค์"
เลิกซะ
0 0
สมาชิกหมายเลข 3225704
4 นาทีที่แล้ว [IP: 49.229.184.126]
---------------------- 1. การที่บอกว่า ไม่ใช่ "เห็นมารครั้งแรกก็รู้" เป็นความเข้าใจผิด เพราะ
1.1 เมื่อทรงเห็น และทรงต้องการทราบก็จะรู้ได้ทันทีว่าคือใคร
1.2 ท้งความจริงก็คือ ทรงปราบพญามารในเวลาก่อนอาทิตย์อัสดง ก่อนทรงได้ญาณและตรัสรู้
พระพุทธองค์ทรงรู้จักพญามาร ก่อนที่ทรงตรัสรู้ และแม้ไม่ได้รู้จักมาก่อน เมื่อทรงต้องการทราบก็จะรู้ได้ทันที
ดังนั้น เหตุการณ์ความจริง จึงไม่ใช่อย่างที่ ลัทธิธรรมกายกล่าวว่า เมื่อทรงตรัสรู้ใหม่ ไม่รู้จักพญามาร ซึ่งเป็นคำไม่จริง เป็นเรื่องที่ผิดเพี้ยน และเป็นเรื่องไม่จริง
2. และไม่ใช่กล่าวคำไม่จริง เพียงเท่านั้น "ลัทธิธรรมกาย ยังบอกอีกว่าไม่รู้ว่าเป็น พระพุทธเจ้าภาคปราบหรือภาคโปรด มารถามว่าจะสู้กับมาร หรือไม่สู้ แล้วเป็นภาคโปรด ไม่ใช่ภาคปราบ " นั่นแหละเป็นการกล่าวตู่ พระพุทธองค์ โดยใช้เรื่องผิดเพี้ยนนอกพระศาสนาของลัทธิตน
ผู้ไม่เคยอ่านพระไตรปิฎก ได้แต่เคยฟังคำสอนที่ไม่ใช่ความจริงและผิดเพี้ยนของลัทธิธรรมกาย โดยไม่ได้อ่านพระไตรปิฎก แล้วยังมาว่าคนอื่น จึงเป็นการกระทำบาปรุนแรง กล่าวตู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า โดยความไม่รู้ เพราะเชื่อคำสอนที่ผิดๆของลัทธิธรรมกาย
หากได้รู้ความจริง ได้ทำสติ ตรวจสอบความจริง ให้รู้จริงแล้ว ควรจะได้ กราบของขมาพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยทันที เพื่อลดทอนผลบาปผลกรรมที่ได้กระทำผิดไป
เหตุการณ์เมื่อทรงแรกตรัสรู้ ที่เป็นเรื่องจริงในพระไตรปิฎก
ที่ มาร มาอาราธนา ให้ทรงปรินิพพานครั้งแรก
(ซึ่งไม่ใช่เป็นอย่าง เหตุการณ์ผิดเพี้ยนที่ลัทธิธรรมกายเชื่อ และกล่าวสอนให้สาวกเข้าใจผิด และกล่าวปรามาส พระผู้มีพระภาคเจ้า)
http://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=10&item=102&items=1&preline=0&pagebreak=0
************************
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค
[๑๐๒] ดูกรอานนท์ สมัยหนึ่ง เราแรกตรัสรู้ พักอยู่ที่ต้นไม้
อชปาลนิโครธแทบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลาประเทศ ครั้งนั้น มารผู้มีบาป
ได้เข้าไปหาเราถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นมารผู้มีบาปยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค
จงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลา
ปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค
เมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้ตอบว่า ดูกรมาร
ผู้มีบาป ภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับแนะนำ ไม่
แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่
ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง
บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์
ข่มขี่ปรัปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้ เพียงใด เราจักยังไม่
ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ
ดูกรมารผู้มีบาป ภิกษุณีผู้เป็นสาวิกาของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ...
เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ
ดูกรมารผู้มีบาป อุบาสกผู้เป็นสาวกของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ...
เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ
ดูกรมารผู้มีบาป อุบาสิกาผู้เป็นสาวิกาของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ...
เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ
ดูกรมารผู้มีบาป พรหมจรรย์ของเรานี้จักยังไม่สมบูรณ์ กว้างขวาง
แพร่หลาย รู้กันโดยมาก เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งเทวดามนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว
เพียงใด เราจักไม่ปรินิพพานเพียงนั้น
...
...
***********************************************
ในคัมภีร์อรรถกถา แสดงการถึงการปราบพญามารและเสนา เมื่อก่อนอาทิตย์จะอัสดง ก่อนที่จะทรงได้ญาณและตรัสรู้
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=21&p=8
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ชราวรรคที่ ๑๑
หน้าต่างที่ ๘ / ๙.
๘. เรื่องปฐมโพธิกาล [๑๒๕]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดาประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ ทรงเปล่งอุทานด้วยสามารถเบิกบานพระหฤทัย ในสมัยอื่น พระอานนทเถระทูลถาม
จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อเนกชาติสํสารํ" เป็นต้น.
ทรงกำจัดมารแล้วเปล่งอุทาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล ประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่อัสดงคตเทียว ทรงกำจัดมารและพลแห่งมารแล้ว
ในปฐมยาม ทรงทำลายความมืดที่ปกปิดปุพเพนิวาสญาณ,
ในมัชฌิมยาม ทรงชำระทิพยจักษุให้หมดจดแล้ว,
ในปัจฉิมยาม ทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์ ทรงหยั่งพระญาณลงในปัจจยาการแล้ว ทรงพิจารณาปัจจยาการนั้น ด้วยสามารถแห่งอนุโลมปฏิโลม.
ในเวลาอรุณขึ้น ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณพร้อมด้วยอัศจรรย์หลายอย่าง
เมื่อจะทรงเปล่งอุทาน ที่พระพุทธเจ้ามิใช่แสนเดียวไม่ทรงละแล้ว
จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
๘. อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ
คหการกํ คเวสนฺโต ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ
คหการก ทิฏฺโฐสิ ปุน เคหํ น กาหสิ
สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา คหกูฏํ วิสงฺขตํ
วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา.
เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยว
ไปสู่สงสาร มีชาติเป็นอเนก ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์๑-
แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่านแล้ว, ท่านจะทำเรือน
อีกไม่ได้, ซี่โครงทุกซี่๒- ของท่านเราหักเสียแล้ว
ยอดเรือน เราก็รื้อเสียแล้ว, จิตของเราถึงธรรมปราศจากเครื่อง
ปรุงแต่งแล้ว, เพราะเราบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว.
____________________________
๑- ความเกิด เป็นทุกข์ร่ำไป.
๒- อีกนัยหนึ่ง ผาสุกา เป็นคำเปรียบกับเครื่องเรือน แปลว่า จันทันเรือนของท่านเราหักเสียหมดแล้ว.
-----------------
คุณ จขกท.ยังไม่เคยอ่านพระไตรปิฎก
หรืออ่านแล้วไม่รู้เรื่อง จากนั้นก็ฟันธงมั่วๆ
พระพุทธเจ้าชื่อว่า"สัพพัญญู"
สัพพัญญูแปลว่า"ผู้รู้สิ่งทั้งปวง"
ผู้รู้สิ่งทั้งปวงเห็น"มาร"
แต่ยังไม่รู้จักเป็นไปได้ไหม?
เพราะความรู้สิ่งทั้งปวงของพระพุทธเจ้า
จะรู้เมื่อต้องการจะรู้เท่านั้น
ไม่ใช่รู้ตะพึดตะพือ หลับก็รู้ ตื่นก็รู้ ไม่อยากก็รู้
เห็นมารครั้งแรกก็รู้
คนที่เชื่ออย่างนั้น คุณกำลัง
"กล่าวตู่พระพุทธองค์"
เลิกซะ
0 0
สมาชิกหมายเลข 3225704
4 นาทีที่แล้ว [IP: 49.229.184.126]
---------------------- 1. การที่บอกว่า ไม่ใช่ "เห็นมารครั้งแรกก็รู้" เป็นความเข้าใจผิด เพราะ
1.1 เมื่อทรงเห็น และทรงต้องการทราบก็จะรู้ได้ทันทีว่าคือใคร
1.2 ท้งความจริงก็คือ ทรงปราบพญามารในเวลาก่อนอาทิตย์อัสดง ก่อนทรงได้ญาณและตรัสรู้
พระพุทธองค์ทรงรู้จักพญามาร ก่อนที่ทรงตรัสรู้ และแม้ไม่ได้รู้จักมาก่อน เมื่อทรงต้องการทราบก็จะรู้ได้ทันที
ดังนั้น เหตุการณ์ความจริง จึงไม่ใช่อย่างที่ ลัทธิธรรมกายกล่าวว่า เมื่อทรงตรัสรู้ใหม่ ไม่รู้จักพญามาร ซึ่งเป็นคำไม่จริง เป็นเรื่องที่ผิดเพี้ยน และเป็นเรื่องไม่จริง
2. และไม่ใช่กล่าวคำไม่จริง เพียงเท่านั้น "ลัทธิธรรมกาย ยังบอกอีกว่าไม่รู้ว่าเป็น พระพุทธเจ้าภาคปราบหรือภาคโปรด มารถามว่าจะสู้กับมาร หรือไม่สู้ แล้วเป็นภาคโปรด ไม่ใช่ภาคปราบ " นั่นแหละเป็นการกล่าวตู่ พระพุทธองค์ โดยใช้เรื่องผิดเพี้ยนนอกพระศาสนาของลัทธิตน
ผู้ไม่เคยอ่านพระไตรปิฎก ได้แต่เคยฟังคำสอนที่ไม่ใช่ความจริงและผิดเพี้ยนของลัทธิธรรมกาย โดยไม่ได้อ่านพระไตรปิฎก แล้วยังมาว่าคนอื่น จึงเป็นการกระทำบาปรุนแรง กล่าวตู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า โดยความไม่รู้ เพราะเชื่อคำสอนที่ผิดๆของลัทธิธรรมกาย
หากได้รู้ความจริง ได้ทำสติ ตรวจสอบความจริง ให้รู้จริงแล้ว ควรจะได้ กราบของขมาพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยทันที เพื่อลดทอนผลบาปผลกรรมที่ได้กระทำผิดไป
เหตุการณ์เมื่อทรงแรกตรัสรู้ ที่เป็นเรื่องจริงในพระไตรปิฎก
ที่ มาร มาอาราธนา ให้ทรงปรินิพพานครั้งแรก
(ซึ่งไม่ใช่เป็นอย่าง เหตุการณ์ผิดเพี้ยนที่ลัทธิธรรมกายเชื่อ และกล่าวสอนให้สาวกเข้าใจผิด และกล่าวปรามาส พระผู้มีพระภาคเจ้า)
http://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=10&item=102&items=1&preline=0&pagebreak=0
************************
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค
[๑๐๒] ดูกรอานนท์ สมัยหนึ่ง เราแรกตรัสรู้ พักอยู่ที่ต้นไม้
อชปาลนิโครธแทบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลาประเทศ ครั้งนั้น มารผู้มีบาป
ได้เข้าไปหาเราถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นมารผู้มีบาปยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค
จงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลา
ปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค
เมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้ตอบว่า ดูกรมาร
ผู้มีบาป ภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับแนะนำ ไม่
แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่
ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง
บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์
ข่มขี่ปรัปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้ เพียงใด เราจักยังไม่
ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ
ดูกรมารผู้มีบาป ภิกษุณีผู้เป็นสาวิกาของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ...
เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ
ดูกรมารผู้มีบาป อุบาสกผู้เป็นสาวกของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ...
เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ
ดูกรมารผู้มีบาป อุบาสิกาผู้เป็นสาวิกาของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ...
เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ
ดูกรมารผู้มีบาป พรหมจรรย์ของเรานี้จักยังไม่สมบูรณ์ กว้างขวาง
แพร่หลาย รู้กันโดยมาก เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งเทวดามนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว
เพียงใด เราจักไม่ปรินิพพานเพียงนั้น
...
...
***********************************************
ในคัมภีร์อรรถกถา แสดงการถึงการปราบพญามารและเสนา เมื่อก่อนอาทิตย์จะอัสดง ก่อนที่จะทรงได้ญาณและตรัสรู้
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=21&p=8
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ชราวรรคที่ ๑๑
หน้าต่างที่ ๘ / ๙.
๘. เรื่องปฐมโพธิกาล [๑๒๕]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดาประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ ทรงเปล่งอุทานด้วยสามารถเบิกบานพระหฤทัย ในสมัยอื่น พระอานนทเถระทูลถาม
จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อเนกชาติสํสารํ" เป็นต้น.
ทรงกำจัดมารแล้วเปล่งอุทาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล ประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่อัสดงคตเทียว ทรงกำจัดมารและพลแห่งมารแล้ว
ในปฐมยาม ทรงทำลายความมืดที่ปกปิดปุพเพนิวาสญาณ,
ในมัชฌิมยาม ทรงชำระทิพยจักษุให้หมดจดแล้ว,
ในปัจฉิมยาม ทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์ ทรงหยั่งพระญาณลงในปัจจยาการแล้ว ทรงพิจารณาปัจจยาการนั้น ด้วยสามารถแห่งอนุโลมปฏิโลม.
ในเวลาอรุณขึ้น ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณพร้อมด้วยอัศจรรย์หลายอย่าง
เมื่อจะทรงเปล่งอุทาน ที่พระพุทธเจ้ามิใช่แสนเดียวไม่ทรงละแล้ว
จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
๘. อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ
คหการกํ คเวสนฺโต ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ
คหการก ทิฏฺโฐสิ ปุน เคหํ น กาหสิ
สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา คหกูฏํ วิสงฺขตํ
วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา.
เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยว
ไปสู่สงสาร มีชาติเป็นอเนก ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์๑-
แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่านแล้ว, ท่านจะทำเรือน
อีกไม่ได้, ซี่โครงทุกซี่๒- ของท่านเราหักเสียแล้ว
ยอดเรือน เราก็รื้อเสียแล้ว, จิตของเราถึงธรรมปราศจากเครื่อง
ปรุงแต่งแล้ว, เพราะเราบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว.
____________________________
๑- ความเกิด เป็นทุกข์ร่ำไป.
๒- อีกนัยหนึ่ง ผาสุกา เป็นคำเปรียบกับเครื่องเรือน แปลว่า จันทันเรือนของท่านเราหักเสียหมดแล้ว.
-----------------
ความคิดเห็นที่ 23
เจ้าของกระทู้ ถึงกับกล้า นำเอาคำกล่าวปรามาส พระผู้มีพระภาคเจ้า ของลัทธิธรรมกาย ขึ้นเป็นชื่อกระทู้ และกล่าวสนับสนุนด้วยควมไม่รู้ และไม่ได้ตรวจสอบความจริง จากพระไตรปิฎก(ตามที่ได้กล่าวว่า ท่านอื่นไว้) นับว่าเป็นการกระทำบาปอย่างหนักหน่วง แต่ก็อาจจะเป้นการกระทำด้วยความไม่รู้ ประมาทพลาดพลั้งไป ก็ควรจะกราบขอขมาด้วยความจริงใจเพื่อลดทอนผลบาปผลกรรมนั้น
และผู้ที่สนับสนุน การกระทำบาปใหญ่นั้น ตามแห่ไปตามความเชื่อของลัทธิธรรมกาย โดยไม่เคยตรวจสอบข้อเท็จจริง ก็ควรได้สติ กราบขอขมาเช่นกัน
หากเจ้าของกระทู้ ได้ศึกษาพระไตรปิฎก ไม่ใช่ ไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฏก(อย่างที่ว่ากล่าวคนอื่น) ก็ควรได้อาราธนาเหตุการณ์เมื่อทรงตรัสรู้ใหม่ มาแสดงให้ทุกท่านได้เห็นว่าเป็นอย่างที่ตนเชื่อ(ว่าไม่ทรงรู้จักพญามาร ไม่ได้ทรงปราบมารก่อนอาทิตย์อัสดงในวันก่อนทรงตรัสรู้) ก็ได้ ยินดีรับฟัง
และผู้ที่สนับสนุน การกระทำบาปใหญ่นั้น ตามแห่ไปตามความเชื่อของลัทธิธรรมกาย โดยไม่เคยตรวจสอบข้อเท็จจริง ก็ควรได้สติ กราบขอขมาเช่นกัน
หากเจ้าของกระทู้ ได้ศึกษาพระไตรปิฎก ไม่ใช่ ไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฏก(อย่างที่ว่ากล่าวคนอื่น) ก็ควรได้อาราธนาเหตุการณ์เมื่อทรงตรัสรู้ใหม่ มาแสดงให้ทุกท่านได้เห็นว่าเป็นอย่างที่ตนเชื่อ(ว่าไม่ทรงรู้จักพญามาร ไม่ได้ทรงปราบมารก่อนอาทิตย์อัสดงในวันก่อนทรงตรัสรู้) ก็ได้ ยินดีรับฟัง
แสดงความคิดเห็น
"ก็แค่บรรลุอะนะ แต่ยังไม่รู้จักมาร"
จากกระทู้นี้ ไฮไลต์คือ...
"ตรัสรู้อะไรยังไม่รู้จักมาร
ไม่รู้จักมารจะตรัสรู้ได้ยังไง"
จขกท.ฟันธงแบบนี้ กองแต๊กก็ เฮ ตาม
หนำซ้ำยังอ้างว่า
"พระไตรปิฎกก็เขียนไว้ชัดเจน"
อยากบอกว่า
คุณ จขกท.ยังไม่เคยอ่านพระไตรปิฎก
หรืออ่านแล้วไม่รู้เรื่อง จากนั้นก็ฟันธงมั่วๆ
พระพุทธเจ้าชื่อว่า"สัพพัญญู"
สัพพัญญูแปลว่า"ผู้รู้สิ่งทั้งปวง"
ผู้รู้สิ่งทั้งปวงเห็น"มาร"
แต่ยังไม่รู้จักเป็นไปได้ไหม?
คำตอบคือ "เป็น ไป ได้"
เพราะความรู้สิ่งทั้งปวงของพระพุทธเจ้า
จะรู้เมื่อต้องการจะรู้เท่านั้น
ไม่ใช่รู้ตะพึดตะพือ หลับก็รู้ ตื่นก็รู้ ไม่อยากก็รู้
เห็นมารครั้งแรกก็รู้
แบบนั้นมันไม่ใช่...
คนที่เชื่ออย่างนั้น คุณกำลัง
"กล่าวตู่พระพุทธองค์"
เลิกซะ