สวัสดี พี่ๆทุกคน เราไม่รู้ว่าจะขอคำปรึกษาดี หรือจะเล่าให้ฟังดี เพราะเรารู้สึกทางมันเกือบจะตันแล้วจริงๆ ถ้าได้คำแนะนำมาเราก็ไม่แน่ใจจะทำตามได้หรือเปล่า คือเมื่อหลายปีก่อนเราต้องออกจากมหาวิทยาลัย เพราะความที่กดดันตัวเอง อยากจะทำให้พ่อภูมิใจ เตรียมสอบใหม่คณะๆหนึ่ง แต่ด้วยความที่เป็นคนเพื่อนน้อย พอลาออกมาก็เหงามากๆ หลายเดือนเลยที่คุยกับตัวเอง อืม แล้วที่นี้ ไม่นานเราเกิดรู้สึกสิ้นหวัง หมดหวังที่จะอ่านหนังสือ จะสอบ แม้แต่จะอาบน้ำ จริงๆมันมีรายละเอียดเยอะเหมือนกัน แต่เราไม่ขอเล่า สุดท้ายวันดีคืนดีเราเกิดกลัวเชื้อโรคขึ้นมา ไม่อยากเอามือไปแตะอะไรเลย จะแตะได้ก็แต่สบู่ เวลาจะทานข้าวก็ต้องแน่ใจว่าภาชนะต้องสะอาด เกือบ 24 ชั่วโมงเรายืน และเดินไปรอบๆบ้าน ไม่กล้าแม้แต่จะนั่ง กลัวเชื้อโรคมาติดก้น ขอแค่เท้าเท่านั้นพอที่จะสกปรก ด้วยความที่เรากลัวความสกปรกด้วย เราจึงล้างมือชั่วโมงละหลายรอบ จนสุดท้ายมือมันเปื่อย พอแห้งก็ถลอก เป็นขุย แดงไปทั้งมือ เราจำได้ว่าตอนนั้นไม่กล้าออกจากบ้านเลย เพราะกลัวจะไปรับเชื้อเพิ่ม เราจึงใช้เวลากับการเดินวนในบ้าน และนอนบนที่นอนตัวเองเท่านั้น ผ่านไปไม่กี่เดือนน้ำหนักเราเพิ่มขึ้นมาก โดยแทบจะไม่รู้ตัว เราเริ่มเก็บตัว หงุดหงิด ไม่อยากคุยกับพ่อแม่ จนสุดท้ายไม่ให้แม้กระทั่งพ่อแม่แตะตัวเรา สุดท้ายผ่านไปครึ่งปีได้พ่อแม่เลยพาเราไปพบจิตแพทย์ เราไปหลายที่อยู่ จำได้ว่ามียาประมาณ 3 ตัว ที่จำแม่นเลยคืออบิลิฟาย ชื่อมันดูจำง่ายสุดมั้ง? จากการที่เราคุยกับจิตแพทย์ เราไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด แม้จิตแพทย์จะพูดเปรยๆว่าสิ่งที่เราคิดว่าจะติดเชื้ออะไรง่ายๆขนาดนั้นมันเป็นไปไม่ได้ เรากินยาไป 2-3 เดือน โดยไม่ได้รู้สึกว่าอาการมันจะดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นไม่นานเราตัดสินใจแอดมิชชั่นใหม่ สุดท้ายได้คณะที่คะแนนต่ำกว่าเดิมด้วยซ้ำ เนื่องจากคะแนนเก่าหมดอายุ นำมาใช้แอดมิชชั่นไม่ได้ ผลสอบครั้งใหม่ก็แน่นอนว่าแย่กว่าเดิม เลยต้องกล้ำกลืนที่จะเรียน ด้วยความที่เราหยุดยาเอง เลยลองตัดใจจับเป็นจับ แตะเป็นแตะ สุดท้ายอาการนั้นก็ค่อยๆเน้นว่าค่อยๆหายไป ใช้เวลาเป็นปีๆเหมือนกัน แต่อาการประหม่าไม่อยากสุงสิงยังอยู่ คงเพราะเราอยู่คนเดียวมานาน สุดท้ายด้วยแกบของอายุ(ที่เราคิดไปเอง) ก็ต้องทำให้เราต้องออกจากมหาวิทยาลัยอีกครั้ง สุดท้าย(หลายสุดท้ายจัง5555) เราไม่รู้ปมตอนเด็ก ที่เราขอไม่เล่า น้ำหนักตัว ความสัมพันธ์ในครอบครัว หรือความมั่นใจตัวเอง หรือการกลัวสังคม หรือตอนนี้ที่มีอาการไบโพล่า ที่เหนี่ยวรั้งเราไม่อยากให้ลุกไปต่อ ถ้าจะบอกว่ามันขึ้นอยู่กับใจ เราว่าใช่ แต่ตอนนี้เราล้มเหลวมากเกินไปหรือเปล่าไม่รู้ ครอบครัวเลยเริ่มเมินเฉย จริงๆอยากเล่าสัมพันธภาพในครอบครัวให้ฟังมากๆ แต่เล่าไปก็เท่านั้น แก้ไขอะไรไม่ได้ ที่เรามาเล่าเนี่ยเรารู้เลยว่าใครหลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็นปัญหาเล็กน้อย เปลี่ยนความคิดนิดหน่อยเดี๋ยวก็เดินต่อไปได้ แต่สำหรับเรามันไม่ใช่ เด็กที่โดนไม่ใช่ปูทางให้นะ แต่จำกัดทางเดินให้ มันจะไม่มีวันไม่มีโตไปมีความสุขหรอก คงต้องรอให้เค้าคิดทางเดินเค้าออกเองมั้ง ถึงจะเจอความสุข ซึ่งแม้แต่ตอนนี้ก็ตาม เราก็ยังนึกไม่ออกว่าเราชอบเรียนอะไรเลยซักอย่าง ซึ่งเรายังรอเวลานั้นอยู่ เรารอคำอธิษฐาน หลังจากเราสวดมนต์ทุกคืนทุกคืนตั้งแต่เด็กจะต้องเป็นจริง สิ่งนั้นคือความสุข ที่เราอยากจะสัมผัสมันเหลือเกิน
เราไม่รู้จะเดินไปทางไหนแล้ว ไม่รู้ว่าจะลุกไปทำไมด้วยซ้ำ