^ ขออภัยชื่อกระทู้ด้วยนะครับ สะกดผิด ที่ถูกคือ สัมพั
ทธภาพ ครับ
กระทู้นี้เพียงต้องการนำเสนอแนวคิดในอีกด้านมุมหนึ่งเท่านั้น ไม่มีเจตนาจะทำให้เกิดความขัดแย้งแต่อย่างใด ผมขออภัย หากการตั้งกระทู้ในครั้งนี้ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และกระทบต่อความรู้สึกของผู้อ่าน กราบขออภัยด้วยครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ก่อนที่คุณจะอ่านข้อความต่อไปนี้นะครับ ให้คุณต้ั้งสติ อย่าอคติ และลืมความเชื่อเดิมๆที่คุณได้เรียนมา หรือความรู้สึก รวมทั้งสามัญสำนึกของคุณทั้งหมด
จากนั้นให้เชื่อมมั่นในคำพูดของไอนสไตน์ที่ว่า
จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้
"Imagination is more important than knowledge"
ตอนนี้ถือว่าคุณไม่สนใจในความรู้เดิมแล้วนะครับ ถ้าคุณยังทำไม่ได้ แนะนำให้เลิกอ่านกระทู้นี้ไปเลยนะครับ ตั้งแต่บรรทัดนี้ไปเลยนะครับ
ผมจะขอแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนๆนะครับ เพื่อให้แบ่งแยกประเภท และลักษณะวิธีคิดที่แตกต่างกันในแต่ละแบบ D1-D9
[D1] - ภาพรวมและความหมายของทฤษฎีสัมพัทธภาพ
เอาหละครับกลับมาที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of relativity)
มันคือทฤษฎีที่บอกว่า
"ภาพ" หมายถึงทุกๆสิ่งในจักรวาล ได้
"สัมพัทธ์" หมายถึง เกี่ยวเนื่อง เชื่อมโยง และต่อเนื่องกัน
"สัมพัทธภาพ" จึงหมายถึงภาพ หรือ ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนั้นล้วนมีความเชื่อมโยงกัน
[D2] - ความจริงแห่งจักรวาลในพระพุทธศาสนา
อันนี้หากใครเคยศึกษาพระพุทธศาสนา ให้ระลึกพุทธวจนที่ว่า
"เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี..เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ย่อมดับ"
เมื่อมีภาพ (ชีวิตคือภาพมายา) สิ่งนี้ย่อมเกิด (ย่อมมีจักรวาล โลกของเราและทุกสิ่งทุกอย่าง)
ในทางกลับกันหากไม่มีภาพ (เมื่อเราตายไป ภาพมายานี้จึงหายไปด้วย) สิ่งนี้ย่อมดับ (ทุกสิ่งทุกอย่าง หรือชาตินี้ก็ย่อมจบไปด้วย)
นี่คงเป็นคำตอบของกระทู้ ถ้าโลกนี้ไม่มีมนุษย์จะมีดวงจันทร์ไหม?
[D3] - ภาพรวมของสมการ e = mc^2
ตามสูตร e = mc2 (พลังงาน = มวล x ความเร็วแสง ยกกำลัง 2)
หากมองว่าเราต้องการหา "พลังงาน" แล้วพลังงานนั้นมาจากไหน?
มันมาจาก มวล และ ความเร็วแสงที่สัมพัทธ์กัน ในระดับอนุภาคเล็กๆ (อะตอม)
ซึ่งหากเข้าถึงมันและสามารถปลดปล่อยมันออกมาให้มันเป็นพลังงานได้ จะมีค่ามากมายมหาศาล
[D4] - ความหมายของตัวแปรในสมการ e = mc^2
จากสมการ e = mc^2
M (Mass) คือ มวล มีหน่วยเป็น g (กรัม) [1]
E (Energy) คือ พลังงาน มีหน่วยเป็น J (จูล) [2]
C (Celeritas) คือ ความเร็วแสง มีค่าเท่ากับ 299,792,458 เมตร / วินาที (3 x 10 ^8 m/s) [3]
[D5] - ขยายความตัวแปรในสมาการ e = mc^2
[1] เช่น 1 กิโลกรัม = 1,000 กรัม
[2] คือปริมาณงานที่ทำ (พลังงานที่ต้องการออกแรง จำนวน 1 นิวตัน เป็นระยะทาง 1 เมตร)
จินตนาการว่าเราเป็นแม่นาค และเราจะหยิบมะนาวยักษ์มวล 100 กรัม ที่ตกลงไปใต้ถุนบ้านลึก 1 เมตร ขึ้นมาจะต้องใช้พลังงานเท่าไหร่?
[3] แสงมีค่าความเร็วประมาณ 30,000,000 เมตร / วินาที หรือ 300,000 กิโลเมตร / วินาที
[D6] - ความลับของจักรวาลอยู่ที่ "แสง"
ค่า C : Celeritas มาจากภาษาละตินแปลว่า "ความเร็ว"ความจริงแล้วแสงมีความเร็วไม่คงที่ และแสงไม่ได้เดินทางเป็นเส้นตรงเสมอไป และแสงเป็นตัวควบคุมมิติที่ 4 (กาลเวลา)
สาเหตุที่แสงเดิเดินทางเป็นเส้นโค้งได้เพราะแรงโน้วถ่วงทำให้กาล-อวกาศบิดเบี้ยว ซึ่ง กาล-อวกาศ : Spacetime คือ "กาล" เวลาที่เกี่ยวเนื่องกับ "อวกาศ"
เมื่อแสงวิ่งช้าๆ มันจะดึง "เวลา" ให้ช้าลงด้วย เช่น หากแสงวิ่งช้าลงครึ่งหนึ่งกลายเป็น 150,000 กิโลเมตร / ช.ม. (เพราะกาล-อวกาศบิดเบี้ยว) มันจะทำให้เวลาใน Spacetime นั้นๆ ช้าลงครึ้งหนึ่งด้วย
ส่งผลให้เวลา 1 วิของเราจะถูกทำให้ช้าลงครึ่งหนึ่งด้วย x0.5
จะได้ c = 300,000 x 0.5 = 150,000 km/hr. คือค่าความเร็วแสงที่แท้จริง
นี่คือเหตุผลที่ทำให้ไม่ว่าเราจะวัดความเร็วแสงยังไง ก็จะได้ 300,000 กิโลเมตร / ช.ม. เท่าเดิม
จึงสรุปได้ว่า "ระยะทางและเวลาจะเป็นยังไงนั้นขึ้นอยู่กับตัวเรา "
[D7] - Timespace ที่อยู่ในตัวเรา.....เวลาที่เราเป็นผู้กำหนดเอง
เพราะเราเป็นผู้ทำให้ Spacetime ของเราตัวเราเปลี่ยนแปลงได้เอง เป็นสาเหตุให้ "เวลาชีวิตของแต่ละคนไม่เท่ากัน" และ "24 ชั่วโมงของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน"
สิ่งที่อยู่เหนือเวลาคือ "จิต" และจิตมีการเกิดดับที่เร็วกว่าแสงมากมายมหาศาลนัก
ตัวอย่างในด้านสามัญสำนึกของมนุษย์เช่น
เวลาที่เราทำอะไรแล้วมีความสุข จะรู้สึกเหมือนเวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว เช่น เด็กชายก. เล่นเกมส์ 1 ชม. อย่างสนุกสนาน แต่รู้สึกว่า เวลา 1 ชม.ของเขาทำไมหมดเร็วขนาดนี้
แต่เวลาที่เราทำอะไรแล้วรู้สึกเป็นทุกข์ เช่นหลังจากเด็กชาย ก. กลับบ้านมาโดนทำโทษที่หนีไปเล่นเกมส์โดยให้ไปขัดห้องน้ำ เป็นเวลา 1 ชม. เด็กคนนั้นก็จะรู้สึกว่ามันนานมาก เมื่อไหร่จะครบชั่วโมงซักที
คุณยายอายุ 70 ที่มีความสุขกับชีวิตจะดูเด็กกว่าคุณยายอายุ 70 ที่ทั้งชีวิตมีแต่ความทุกข์
และคนที่ควบคุมจิตได้ ก็สามารถเล่นกับเวลาได้ ย้อนไปมองอดีต หรือ ข้ามไปดูอนาตคได้
[D8] - จินตาการของไอนสไตน์ ที่ให้กำเนิดทฤษฏีสัมพัทธภาพ
จินตนาการในแบบของไอนสไตน์คือ หากเราเอานาฬิกาที่เที่ยงตรงมากๆและเวลาเดินไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย โดยให้นำแต่ละเรือนนั้นไปตั้งไว้ที่ต่างๆในจักรวาล แล้วเอานาฬิกานั้นมาดูเวลาอีกที เวลาบนนาฬิกาแต่ละแห่งจะเป็นอย่างไร?
สมมุติว่าเราวางไว้ 3 ที่คือ
[นาฬิกา1] ดวงจันทร์
[นาฬิกา2] โลก
[นาฬิกา3] ดาวพฤหัสบดี
***กำหนดให้การหมุนรอบตัวเองของแต่ละดวงดาว = 1 วัน (24 ชม.) ที่ปรากฏบนนาฬิกาเรือนนั้นๆ ***
[นาฬิกา1] เวลาบนดวงจันทร์จะเดินช้ามากๆ ตัวอย่างที่เห็นภาพ เช่นเวลานักบินอวกาศเดินบนดวงจันทร์ เขาจะลอย เคว้งคว้าง และต้องเดินช้าๆ เพราะแรงโน้มถ่วงน้อย แสงก็เดินทางช้าลง
และ 1 วันของดวงจันทร์จะเท่ากับ 29 วัน 12 ชม. (เดือนตามจันทรคติ) หรือประมาณ 29.5 วันบนโลก
ทำให้เวลาบนดวงจันทร์จะเดินช้าๆ คือ [นาฬิกา1] เวลาผ่านไป 1 วัน จะเท่ากับ 29 วัน 12 ชม. บนโลก
[นาฬิกา2] เวลาบนโลกก็เดินไปตามที่เราเข้าใจคือ 1 วันมี 24 ชม. (โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ)
[นาฬิกา3] เวลาบนดาวพฤหัสจะเดินไปเร็วกว่าบนโลกคือ [นาฬิกา3] 1 วัน จะเท่ากับเวลา 9.8 ชั่วโมง [นาฬิกา2] ที่เดินบนโลก
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้นักบินอวกาศที่ออกไปปฏิบัติการนอกโลกเมื่อกลับโลกจึงดูหนุ่นสาวไม่เปลี่ยนแปลง เช่นหากออกไปปฏิบัติการบนดวงจันทร์ 1 ปี เวลาบนโลกก็ล่วงเลยไปแล้วเกือบ 30 ปี
[D9] - เวลาที่แตกต่างกันของภพภูมิ โลก สวรรค์ และนรก
หากมองในมุมมองทางพระพุทธศาสนา (ผู้ที่ปฏิบัติถึงระดับได้ญาณ น่าจะมองเห็นในข้อนี้ดี) แนะนำศึกษาเพิ่งเติมในเรื่องไตรภูมิพระร่วงนะครับ
คือบนสวรรค์แสงจะเดินทางช้า และเวลาก็เดินช้าเช่นกัน (ให้จินตนาการว่าบนดวงจันทร์คือสวรรค์) ซึ่งตามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ แสงในมุมมองบนสวรรค์ จะมีความปราณีตสวยงามกว่าบนโลกมนุษย์มาก (เพราะแสงเดินทางช้ากว่า จึงเห็นรายละเอียดได้มากกว่า) และเทวดาบนดวงจันทร์ก็สามารถเดินเหินบนอากาศได้อย่างง่ายดาย เพราะแรงโน้มถ่วงบนสวรรค์ (ดวงจันทร์) น้อยกว่าหากจะนึกสภาพคงน่าจะคล้ายๆกับแสง ออโรร่า ที่มาจากนอกโลก (ในฟิสิกส์อธิบายว่าเกิดจากอนุภาคสุริยะ : Solar Particles) บริเวณขั้วโลกเหนือและใต้ ซึ่งอาจจินตนาการได้ว่าเป็นเทวดาที่มีรัศมีเปล่งประกายออโรร่าเดินทางมายังโลกมนุษย์
ตรงกันข้ามกับดาวพฤหัส (ให้จินตนาการว่าเป็นนรก) ที่เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แรงดึงดูดที่สูง ทำให้สัตว์นรกติดอยู่ในนั้นด้วยความทรมาน ไม่สามารถไปไหนได้ เมื่อทรมามจนตายแล้ว ดวงจิตดับไปก็จะ ถูกลมพัด ให้มาทรมานใหม่อีก (บนดาวพฤหัสมีก๊าซที่เคลื่นที่อยู่ตลอดเวลา) วนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนครบ หากตกตายจากโลกไป 1 ปี แล้วกลับมาเกิดใหม่ เวลาที่ 1 ปีบนโลกมนุษย์จะเทียบได้เป็น 12 ปีนรกดาวพฤหัสบดี
เข้าใจครับว่าถ้าหากใครที่ได้ศึกษาทฤษฏีของไอนสไตน์มา อาจมองแนวคิดผมเป็นเรื่องไร้สาระหรือหลอกลวงไปได้ง่ายๆ แต่ไม่เป็นไรครับ เพราะขนาด ไอนสไตน์เอง ยังใช้เวลาหลาย 10 ปีในการพิสูจน์ให้คนเชื่อว่า สิ่งที่เขาคิด มันเป็นจริง
คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อสิ่งที่ผมพูด จนกว่าคุณจะได้คิดและใช้จินตนาการ เพราะว่า "จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้" ขอบคุณครับ...
กระทู้นี้ ได้แรงบัลดาลใจจากหนังสือ "ไอนสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น II"
จักรวาล เข้าใจได้ด้วยทฤษฏีสัมพันธภาพ....มองเห็นได้ด้วยพระพุทธศาสนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
กระทู้นี้ ได้แรงบัลดาลใจจากหนังสือ "ไอนสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น II"